ผู้จัดการรายวัน-กรมส่งเสริมการส่งออกคาดปีนี้ธุรกิจบริการสุขภาพ และความงาม จะโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% มูลค่าเฉียด 1.3 แสนล้านบาท ส่วนปีหน้ายังโตต่อนเอง เหตุต่างชาติยังต้องการซื้อทั้งสินค้าและบริการ แนะผู้ประกอบการไทยพัฒนาคุณภาพให้น่าเชื่อถือก่อนลุยลงทุนนอก โดยเฉพาะธุรกิจสปา หลังโรงพยาบาลเอกชนออกโกอินเตอร์ได้แล้ว เอกชนระบุต่างชาติกล้าๆ กลัวๆ เข้าร่วมงานแสดงสินค้าธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม 2551
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ในปีนี้ คาดว่า สินค้าธุรกิจบริการสุขภาพ ความงาม สปา และสินค้าที่เกี่ยวข้อง จะขยายตัวได้ประมาณ 20% จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 127,000 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน มูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 35,000 ล้านบาท ธุรกิจสปา 425 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 14,500 ล้านบาท สินค้าเครื่องสำอาง 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 54,400 ล้านบาท ยาและผลิตภัณฑ์ 270 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9,280 ล้านบาท และเครื่องมือแพทย์ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 13,700 ล้านบาท
ส่วนในปีหน้า คาดว่า จะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่าปีนี้ แม้จะมีปัจจัยลบมากมาย ทั้งเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว แต่ชาวต่างชาติยังมีความต้องการซื้อสินค้า และใช้บริการอยู่มาก และในอนาคต เชื่อว่า จะขยายตัวได้อีกหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในธุรกิจสปา ปรับปรุงระบบ และคุณภาพของบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน เพื่อจะได้ออกทำธุรกิจในต่างประเทศได้ มากกว่าการขายเพียงแรงงาน หรือหมอนวดเท่านั้น ซึ่งดูได้จากธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ขณะนี้ สามารถออกไปลุยตลาดต่างประเทศและนำรายได้เข้าประเทศแต่ละปีเป็นจำนวนมาก
นางนภารัตน์ ศรีละพันธุ์ อุปนายกสมาคมสปาไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ธุรกิจสปาไทยมีปัญหาเรื่องขาดแคลนคนนวด ทั้งในธุรกิจที่เปิดในประเทศ และต่างประเทศ แต่ผู้ประกอบการแก้ปัญหาด้วยการเปิดสถาบันสปา (สปา อะคาเดมี หรือสปา อินสติติวท์) ที่สอนทุกหลักสูตร ทั้งการนวดแบบสปา การบริหารจัดการสปา เป็นต้น เพื่อป้อนบุคลากรเข้าสู่ธุรกิจ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการอีกทางหนึ่งด้วย เพราะมีชาวต่างประเทศสนใจเข้ามาเรียนเป็นจำนวนมาก จากค่าหลักสูตรถูกกว่าการเดินทางไปเรียนในยุโรปมาก
สำหรับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา จนทำให้การท่องเที่ยวในไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วยนั้น ขณะนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจสปาได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากคนไทยให้เท่ากับชาวต่างชาติ หรือสัดส่วน 50 ต่อ 50 จากเดิมจะเน้นรายได้จากชาวต่างชาติมากถึง 80% และจากคนไทยเพียง 20% เท่านั้น
นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย กล่าวถึงการจัดงานแสดงสินค้าธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม ปี 2551 ระหว่างวันที่ 5-9 พ.ย.นี้ ที่อิมแพคเมืองทองธานีว่า ขณะนี้ มีลูกค้าจากต่างประเทศหลายรายโทรศัพท์มาสอบถามถึงความวุ่นวายทางการเมืองในไทย และต้องการความมั่นใจในการเดินทางเข้าร่วมงาน เพราะเห็นภาพข่าวจากโทรทัศน์รู้สึกน่ากลัวมาก จึงได้ชี้แจงไปว่า เหตุการณ์ไม่น่ากลัวเหมือนที่เห็นในโทรทัศน์ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะจุด ไม่ได้ลุกลามไปทั่วกรุงเทพฯ อีกทั้ง ขณะนี้ไม่มีการปราบจลาจลอีกแล้ว จึงไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ปัญหาอยู่ที่คนในประเทศไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย จึงทำให้ตลาดสินค้าเครื่องสำอางในประเทศซบเซาลงบ้าง
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ในปีนี้ คาดว่า สินค้าธุรกิจบริการสุขภาพ ความงาม สปา และสินค้าที่เกี่ยวข้อง จะขยายตัวได้ประมาณ 20% จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 127,000 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน มูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 35,000 ล้านบาท ธุรกิจสปา 425 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 14,500 ล้านบาท สินค้าเครื่องสำอาง 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 54,400 ล้านบาท ยาและผลิตภัณฑ์ 270 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9,280 ล้านบาท และเครื่องมือแพทย์ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 13,700 ล้านบาท
ส่วนในปีหน้า คาดว่า จะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่าปีนี้ แม้จะมีปัจจัยลบมากมาย ทั้งเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว แต่ชาวต่างชาติยังมีความต้องการซื้อสินค้า และใช้บริการอยู่มาก และในอนาคต เชื่อว่า จะขยายตัวได้อีกหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในธุรกิจสปา ปรับปรุงระบบ และคุณภาพของบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน เพื่อจะได้ออกทำธุรกิจในต่างประเทศได้ มากกว่าการขายเพียงแรงงาน หรือหมอนวดเท่านั้น ซึ่งดูได้จากธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ขณะนี้ สามารถออกไปลุยตลาดต่างประเทศและนำรายได้เข้าประเทศแต่ละปีเป็นจำนวนมาก
นางนภารัตน์ ศรีละพันธุ์ อุปนายกสมาคมสปาไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ธุรกิจสปาไทยมีปัญหาเรื่องขาดแคลนคนนวด ทั้งในธุรกิจที่เปิดในประเทศ และต่างประเทศ แต่ผู้ประกอบการแก้ปัญหาด้วยการเปิดสถาบันสปา (สปา อะคาเดมี หรือสปา อินสติติวท์) ที่สอนทุกหลักสูตร ทั้งการนวดแบบสปา การบริหารจัดการสปา เป็นต้น เพื่อป้อนบุคลากรเข้าสู่ธุรกิจ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการอีกทางหนึ่งด้วย เพราะมีชาวต่างประเทศสนใจเข้ามาเรียนเป็นจำนวนมาก จากค่าหลักสูตรถูกกว่าการเดินทางไปเรียนในยุโรปมาก
สำหรับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา จนทำให้การท่องเที่ยวในไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วยนั้น ขณะนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจสปาได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากคนไทยให้เท่ากับชาวต่างชาติ หรือสัดส่วน 50 ต่อ 50 จากเดิมจะเน้นรายได้จากชาวต่างชาติมากถึง 80% และจากคนไทยเพียง 20% เท่านั้น
นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย กล่าวถึงการจัดงานแสดงสินค้าธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม ปี 2551 ระหว่างวันที่ 5-9 พ.ย.นี้ ที่อิมแพคเมืองทองธานีว่า ขณะนี้ มีลูกค้าจากต่างประเทศหลายรายโทรศัพท์มาสอบถามถึงความวุ่นวายทางการเมืองในไทย และต้องการความมั่นใจในการเดินทางเข้าร่วมงาน เพราะเห็นภาพข่าวจากโทรทัศน์รู้สึกน่ากลัวมาก จึงได้ชี้แจงไปว่า เหตุการณ์ไม่น่ากลัวเหมือนที่เห็นในโทรทัศน์ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะจุด ไม่ได้ลุกลามไปทั่วกรุงเทพฯ อีกทั้ง ขณะนี้ไม่มีการปราบจลาจลอีกแล้ว จึงไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ปัญหาอยู่ที่คนในประเทศไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย จึงทำให้ตลาดสินค้าเครื่องสำอางในประเทศซบเซาลงบ้าง
