ดิฉันออกจากบ้านเดินตามถนนราชดำเนินนอกมุ่งสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อถึงหน้ากองทัพภาคที่ 1 เวลาเกือบ 17.00 น. มีคนกำลังลำเลียงอาหารกล่องใส่ถุงก็อบแก็บประมาณถุงละ 8 กล่อง ดิฉันเองยังไม่รู้สึกหิว แต่เจ้าของอาหารร้องบอกว่าช่วยถือติดมือไปด้วยเผื่อนำไปแจกพวกที่อยู่หน้ารัฐสภา พวกเขาจำนวนมากยังไม่ได้รับประทานมื้อเที่ยงด้วยซ้ำ ดิฉันจึงถือติดมือไป 1 ถุง เดินต่อไปอีกนิดแวะรับแจกแว่นตาป้องกันแก๊สน้ำตา รับแจกผ้าขนหนูผืนยาวสีขาว ตลอดแนวทางเท้าพบน้ำบรรจุขวดวางกองอยู่เป็นระยะๆ แต่ละกองนับเป็นพันๆ ขวด
จากนั้นเดินไปตามถนนรูปเกือกม้าที่ล้อมปีกขวาของพระที่นั่งอนันตสมาคม ตรงกึ่งกลางถนนรูปเกือกม้า ฝั่งซ้ายมือเป็นประตูเข้าสู่ด้านปีกขวาของพระที่นั่งอนันตสมาคม ฝั่งตรงข้ามเป็น “ประตูอู่ทอง” ของสวนสัตว์ดุสิต พบเด็กหนุ่มสวมเครื่องแบบทหารเกณฑ์คนหนึ่งนั่งอยู่ มีคนห้อมล้อม หญิงคนหนึ่งกำลังรินน้ำออกจากขวดล้างตาทั้งสองข้างให้เขา ตอนนั้นดิฉันไม่ทราบว่าเป็นน้ำอะไร จากนั้นเธอผู้นี้บอกกับคนที่ห้อมล้อมว่ามีใครสูบบุหรี่ไหม สูบแล้วให้พ่นควันบุหรี่ใส่ที่นัยตา ควันบุหรี่จะลดฤทธิ์ของแก๊สน้ำตาได้เช่นกัน พอดีมีหญิงสาวที่อยู่ในหมู่คนที่ห้อมล้อมพูดว่าตนสูบบุหรี่ แล้วรีบดำเนินการตามคำแนะนำดังกล่าว
ตาทั้งสองข้างของเขายังแดงก่ำ ดิฉันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเด็กหนุ่มคนนี้ ได้แต่คอยเตือนเขาเบาๆ ว่าอย่าขยี้ตานะ ชุดทหารของเขาเปียกปอนไปหมด ถามเขาว่าจะกินข้าวไหม เขาตอบปฏิเสธ
ดิฉันหิ้วถุงอาหารกล่องเดินต่อไปจนถึงจุดหักเลี้ยวของถนนอู่ทองใน ตรงนั้นมีประตูทางเข้าพระที่นั่งวิมานเมฆซึ่งอยู่ใกล้กับแนวรั้วของรัฐสภา ด้านหน้าอาคารรัฐสภามีประตูทางออกและประตูทางเข้าห่างกันราว 50 เมตร ทางเท้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐสภามีความกว้างเป็นพิเศษ มีเต๊นท์ที่ทาง พธม. ไปกางไว้อิงตลอดแนวกำแพงของสวนสัตว์ดุสิตสำหรับผู้ที่ไปล้อมรัฐสภาตั้งแต่ค่ำคืนวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคมได้พักแรม รีบถามผู้ชุมนุมที่อยู่ใกล้ตัวว่าต้องการอาหารไหม ไม่นานก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งรับถุงอาหารนั้น
ดิฉันต้องหยุดยืนฝั่งตรงข้ามประตูพระที่นั่งวิมานเมฆที่ติดกับรั้วรัฐสภา เคลื่อนตัวต่อไปไม่ได้เพราะมีคนยืนเบียดกันแน่นมาก ผู้คนส่วนใหญ่ยืนเบียดกันอยู่ใต้เต๊นท์คล้ายกับจะหวังให้หลังคาเต๊นท์ป้องกันภัยแก๊สน้ำตา ผู้ชุมนุมอีกส่วนหนึ่งต้องยืนนอกเต๊นท์และบนพื้นถนน ดิฉันชะโงกหน้ามองไปทางขวามือเห็นรถเวทีของ พธม. ห่างจากดิฉันราว 80 เมตร
ก่อนหน้าที่จะเดินและหยุดอยู่จุดนี้ดิฉันได้ยินเสียงดังตูมนานๆ ครั้ง แต่ตอนที่มาหยุดตรงจุดนี้เริ่มได้ยินเสียงดังตูมถี่ขึ้นและดังมากเป็นพิเศษ แกนนำบนรถเวที พธม. ประกาศให้ผู้ชุมนุมถอยหลบมาทางพระที่นั่งอนันตสมาคม ดิฉันไม่ได้ถอยตามคำสั่ง แต่รีบยืนชิดติดกำแพง ผู้ชุมนุมเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผ่านหน้าดิฉัน ได้ยินเสียงตนเองตะโกนพูดออกไปซ้ำๆ ว่า “ตั้งสติๆ อย่าตกใจๆ ระวังหกล้มๆ” ได้ยินเสียงแกนนำบนรถเวทีกล่าวเตือนในทำนองเดียวกัน สังเกตอย่างไม่เข้าข้างตนเองว่าเมื่อดิฉันตะโกนไปแล้วผู้ชุมนุมเคลื่อนตัวช้าลง
จากนั้นเป็นช่วงของรถพยาบาลของโรงพยาบาลต่างๆ วิ่งเข้าวิ่งออกติดต่อกันนานเกือบหนึ่งชั่วโมง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เสียงดังตูมๆ ยังดำเนินอยู่ นอกจากรถพยาบาลในกรุงเทพฯ แล้วยังมีมาจากจังหวัดใกล้เคียงด้วย นอกจากนี้ยังมีคนหามแปลคนเจ็บผ่านหน้าอีกจำนวนมาก
ตอนนี้สิ้นเสียงดังตูมๆ แล้ว แกนนำบนรถเวทีประกาศว่าพวกนักการเมืองที่อยู่ในอาคารรัฐสภาหนีออกจากรัฐสภาไปหมดแล้ว ภาระกิจการล้อมรัฐสภาจึงเสร็จสิ้นแล้ว และท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว ถ้าอยู่ต่อไปจะเป็นอันตราย ขอร้องให้ผู้ชุมนุมทุกคนถอนตัวออกจากบริเวณหน้ารัฐสภา ให้ไปรวมกันที่ทำเนียบรัฐบาล
ก่อนที่จะเดินกลับออกจากหน้ารัฐสภา ดิฉันร่วมกับผู้ชุมนุมสตรีกลุ่มหนึ่งพยายามจะเก็บขวดน้ำเปล่าใส่ถุงตามวิสัยผู้ชุมนุมที่มีอารยธรรม แต่ทำได้สักครู่ก็ต้องหยุดเพราะไม่มีถุงใส่ขยะพอเพียง จากนั้นช่วยกันหิ้วเป้และกระเป๋าถือที่ผู้ชุมนุมทิ้งไว้ คงจะเป็นของคนที่บาดเจ็บ ดิฉันแรงน้อยอาสาหิ้วเป้ 1 ชิ้นและร่ม 1 คัน ขณะเดียวกันก็ช่วยกันหิ้วหม้อขนาดยักษ์ซ้อนกันจำนวนหลายใบ หิ้วมาถึงลานพระบรมรูปทรงม้า บริเวณนี้ไฟฟ้าสว่างไสว จึงนำหม้อไปวางลง ณ จุดที่มองเห็นได้ชัด เพื่อให้รถกองทัพธรรมมาตามเก็บในภายหลัง (ส่วนเป้และร่มนำไปฝากไว้ที่หลังเวทีที่ทำเนียบฯ ในภายหลัง)
จากนั้นดิฉันเดินข้ามถนนไปยืนหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม มองไปทั่วบริเวณพื้นถนนเกลื่อนไปด้วยขวดน้ำที่เปิดแล้วเทน้ำออกรดพื้นถนนเพื่อลดฤทธิ์แก๊สน้ำตา เท่าที่ดิฉันมองเห็นตลอดช่วงตั้งแต่กองทัพภาคที่ 1 จนถึงหน้ารัฐสภา มีน้ำขวดกองใหญ่ๆ กองอยู่ติดๆ กัน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นน้ำขวดจำนวนมหาศาลนับล้านขวดอยู่บนท้องถนนเช่นนี้
ระหว่างที่หยุดอยู่ตรงรั้วหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม มีรถบัสวิ่งผ่านหน้าไปทางรัฐสภา 3 คัน กลุ่มผู้ชุมนุมหญิงโบกมือต้อนรับด้วยความยินดี เพียงครู่เดียวก็มีคนในกลุ่มนี้พูดว่า “โธ่เอ๋ย หลงดีใจ ที่แท้มันจะไปช่วยตำรวจปราบพวกเรา” ผู้หญิงอีกคนหนึ่งก็พูดสนับสนุนว่า “ใช่ เขาไม่ได้ยกมือขึ้นสูงโบกตอบ แต่ยกมือแบบนี้แหละ” พร้อมกับแสดงมือโบกตรงใบหน้าในความหมายว่า “ไม่ใช่ๆ”
พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงดังตูมๆ ทางเบื้องหน้า ผู้ชุมนุมพึมพำกันว่า “ตำรวจบุกทำเนียบหรือเปล่า” โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากต่างพากันเดินมุ่งหน้ามาทางสะพานมัฆวานฯ ยิ่งใกล้สี่แยกวังปารุสก์ ดิฉันมีน้ำมูกน้ำตาไหลพรากทั้งๆ ที่ยังสวมแว่นกันแก๊สน้ำตาอยู่ ทางพีธีกรตรงจุดนั้นประกาศให้ผู้คนเร่งรีบเดินไปสะพานมัฆวานฯ ตลอดเวลา
หันไปมองตรงหัวมุมกองบัญชาการตำรวจนครบาลเห็นมีควันหนา ขณะนั้นไม่มีความคิดแว่บเข้ามาในสมองสักนิดว่า นาทีนั้นดวงวิญญาณของผู้ชุมนุมคนหนึ่ง น้องโบว์-คุณอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ได้ละจากร่างของเธอไป เธอได้เดินจากสถานภาพมนุษย์คนหนึ่ง เข้าสู่ความเป็น “วีรสตรี 7 ตุลาทมิฬ” ผู้พลีชีพเพื่อล้มล้างการเมืองเน่าหนอนชอนไชที่กดคนไทยเป็นทาสของระบบเลือกตั้งที่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง เข้าสู่ระบบการเมืองใหม่ที่เป็นอารยะประชาธิปไตย
ขอดวงวิญญาณของคุณอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ จงไปสู่สุขคติ ขอให้การสละชีพของน้องโบว์จงนำการเมืองใหม่มาสู่ประชาชาติไทยเป็นผลสำเร็จสมดังเจตนารมย์ของเธอทุกประการเทอญ