xs
xsm
sm
md
lg

ชัด ตร.ฆ่าปชช.หมอรามาฯยัน “น้องโบว์”ตายจากแก๊สน้ำตา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แพทย์รามาฯ ฟันธง “น้องโบว์” เสียชีวิตจากแก๊สน้ำตาคุณภาพต่ำระเบิด ชี้เป็นไปไม่ได้ผู้บาดเจ็บพกระเบิด หากหนีบใกล้ตัวร่างกายเสียหายหนักกว่านี้ แถมอีกรายระเบิดที่ใบหน้า หัว และพบวัตถุคล้ายกระบอกฝังข้อมือ คาดเป็นชิ้นส่วนวัตถุที่ทำให้ระเบิด ด้าน ผอ.รามาฯ ชี้ “ตี๋” ไม่ได้กุมระเบิด แต่เป็นวัตถุคล้ายพวงกุญแจ หรือกรอบพระ ด้านวีรบุรุษพันธมิตรฯ ขาขาดเปิดใจ อยากได้ขาเทียม เพื่อจะทำให้เดินได้เหมือนเดิม ขณะที่ศพของ “สารวัตรเมธี” ญาติได้มารับศพจากรามาฯ เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดโสมนัสฯ ด้าน“รุ่งทิวา” ถูกส่งตัวไปผ่าตัดที่ รพ.จุฬาฯ ส่วนภรรยา "ตี๋-ศิลปินกู้ชาติ" เผยหมอบอกต้องนอนไอซียูอีก 1 เดือน

เมื่อเวลา 16.30 น. วานนี้ ( 10 ต.ค.) ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี นายสุรสิงห์ โกศลนาวิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบ เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เดินทางมาขอข้อมูลของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดีและโรงพยาบาลราชวิถี เพื่อนำมาประมวลข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เข้าใจตรงกัน

**ยัน”น้องโบว์”ตายเพราะแก๊สน้ำตา
ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี้ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช ภาควิชาพยาธิวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการชันสูตรศพน.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ วัย 27 ปี ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า พบว่า มีแผลขนาดใหญ่มาก เป็นรอยไหม้ มีเขม่า ดำ กระดูกต้นแขนหัก ซี่โคร่งหักเป็นแนวยาวตรง อวัยวะภายในเลือดออก เยื่อหุ้มปอดซ้ายและผนังหัวใจทะลุ ม้ามและตับซ้ายแตก
“ลักษณะบาดแผลไม่เรียบ แสดงว่าเกิดจากความแข็ง มีรอยไหม้ เนื่องจากวัตถุมีความร้อน ตับและม้ามแตกจากวัตถุที่มีแรงอัด ซึ่งเข้ากับลักษณะของระเบิดมากที่สุด และเกิดการระเบิดในระยะใกล้ตัว ไม่ติดกับลำตัว เนื่องจากซี่โครงร้าวเป็นแนวยาว หากระเบิดในระยะติดตัวซี่โครงจะต้องแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากกว่านี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เสียชีวิตจะพกวัตถุระเบิดไว้ประชิดติดตัว น่าจะเป็นการที่วัตถุมากระทบโดนตัวและกระเด็นตกใกล้ตัวก่อนจะเกิดการระเบิดมากกว่า”
ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้ส่งเสื้อชั้นในไปให้พนักงานพิสูจน์หลักฐานตรวจหาสารเคมีที่พบที่ตัวศพแล้ว ซึ่งเป็นการทำตามขั้นตอน แต่หากญาติไม่เชื่อในการตรวจสอบของหน่วยงานดังกล่าว สามารถมาร้องเพื่อขอให้โรงพยาบาลส่งไปตรวจที่หน่วยงานอื่นได้
“กรณีศพของน้องโบว์ เสียชีวิตจากการระเบิดของแก๊สน้ำตาคุณภาพต่ำแน่ เพราะเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปชันสูตรศพยังแสบตามากจนต้องออกมาล้างหลายรอบ และที่ตัวศพไม่พบสะเก็ดระเบิดที่เป็นโลหะ แต่หากเป็นระเบิดจากแก๊สน้ำตาที่มีบรรจุภัณฑ์เป็นพลาสติกเมื่อเกิดการระเบิดจะไม่พบสะเก็ด “ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญกล่าว
ด้าน ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตหัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะคณะอนุกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมฯ กล่าวว่า ภาพที่เห็นจากสื่อต่างๆ มีการตกกระทบของวัตถุแล้วเกิดเปลวไฟ ควันและระเบิด ทั้งยังพบปลอกสลักแก๊สน้ำตา จึงเป็นการยืนยันว่าตำรวจมีการใช้แก๊สน้ำตาจริง แต่เมื่อกระทบพื้นหรือตัวบุคคลจะมีแรงอัดระเบิดเป็นไฟไหม้ผิวหนัง เนื้อเกิดการฉีกขาดจากหน้าไปหลัง
ทั้งนี้ เมื่อนำผลการชันสูตรศพ และพิสูจน์หลักฐานมาประมวลร่วมกัน สามารถระบุได้ว่า ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาคุณภาพต่ำ ที่สามารถจุดระเบิดได้ ซึ่งในประเทศสหรัฐฯจะใช้แก๊สน้ำตาชนิดที่ทำให้เกิดควันฟุ้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งสิ่งที่ต้องสอบสวนต่อไปก็คือ การยิงแก๊สน้ำตาใส่ฝูงชน กระทำโดยผู้เชี่ยวชาญหรือไม่และมีความรู้หรือไม่ว่าวัตถุนั้นสามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้
“กรณีศพน.ส.อังคณาก็น่าจะเข้าข่ายแก๊สน้ำตาคุณภาพต่ำระเบิดแต่ยังไม่ 100 % จะต้องส่งเสื้อผ้าหรือชิ้นเนื้อไปตรวจนิติวิทยาศาสตร์ว่ามีสารเคมีที่ใช้ในการผลิตแก๊สน้ำตาหรือไม่ ถ้ามีก็ยืนยันได้100%”ศ.นพ.วิรัติกล่าว

**สรุป“ตี๋”ศิลปินกล้าไม่ได้ถือระเบิด
รศ.นพ.ธันย์ สุภัทร์พันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล กล่าวว่า กรณีของนายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือนายตี๋ ที่มือขวาขาดและมีการกล่าวอ้างว่ามือซ้ายกำระเบิดนั้น เจ้าหน้าที่รายงานสรุปลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เวลาประมาณ 19.05 น. ว่า ชายไทยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลรามาฯ โดยรถพยาบาลของโรงพยาบาลบางคล้า ผู้ป่วยยังมีสติสามารถชูสองนิ้วซ้ายได้ แพทย์จึงทำการล้างตัวด้วยความรวดเร็วและไม่ได้ทำการเก็บสัมภาระหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าใดๆ
กระทั่งเวลา 19.09 น. ผู้ป่วยได้รับการย้ายเข้าห้องฉุกเฉิน ผู้ป่วยยังสวมใส่เสื้อผ้าและกางเกงของตนเอง เริ่มมีอาการซึมลง ผู้ตรวจสอบค้นหาหลักฐานเพื่อระบุตัวตนของผู้ป่วยแต่ไม่พบ จึงระบุเป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ
ขณะที่บริเวณมือขวาถูกพันด้วยผ้ายืด มือซ้ายกำสิ่งของลักษณะกลมแบนคล้ายฝาขนมครก 2 ชิ้น ประกบกัน ใหญ่ขนาดเหรียญ 10 บาท ขนาดไม่เท่ากันหุ้มด้วยพลาสติกใสคล้ายกรอบพระ ภายในเป็นก้อนคล้ายหินสีดำ แต่เห็นไม่ชัดเนื่องจากมีคราบเลือดอยู่ ขอบนอกถักด้วยหนังหรือเชือก โดยทั้ง 2 อัน ผูกติดกันด้วยหนังคล้ายพวงกุญแจ จึงเก็บใส่ถุงพลาสติก ไม่ได้เขียนระบุชื่อที่ถุง และวางไว้ที่บริเวณหน้าขาผู้ป่วย
เวลา 19.19 น.ผู้ป่วยถูกนำตัวไปห้องผ่าตัดทันที พยาบาลห้องผ่าตัดรายงานว่า ไม่พบสิ่งของที่วางไว้บนตัวผู้ป่วย คาดการณ์ว่าอาจมีการสูญเสียระหว่างทางขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมายังห้องผ่าตัด และผู้ป่วยรายนี้ทางนิติเวชที่ห้องฉุกเฉินยังไม่ทันถ่ายภาพ เนื่องจากผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

**เผยแผล“รุ่งทิวา”มีสารเคมีทำให้หายช้า
นพ.อากาศ พัฒนเรืองไล นิติเวชแพทย์ กลุ่มพยาธิแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมี 2 ราย คือ 1.นางรุ่งทิวา ธาตุนิยม อายุ 46 ปี ชาวอำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา และ2.นายอดิศร สนใจแท้ อายุ 36 ปี สำหรับบาดแผลของนางรุ่งทิวา จากการตรวจวิเคราะห์พบว่า เกิดจากเนื้อเยื่อถูกทำลายจากวัตถุที่มีแรงระเบิด ส่งผลให้กระดูกเบ้าตา ตา กะโหลก เนื้อสมองเสียหายมีเลือดออกบอบช้ำมากและยังอยู่ในภาวะช็อก
“การทำลายล้างของวัตถุชนิดนี้สูงมาก โดยทำลายกระดูกเบ้าตา ตา กะโหลกศีรษะ สมองซีกซ้ายทั้งบริเวณส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนท้ายทอยฉีกขาดเยอะมาก มีอาการบวมจนไปทับก้านสมอง บาดแผลที่เกิดขึ้นค่อนข้างลึก ไม่พบสะเก็ดระเบิด แต่มีเขม่าร่วมกับบาดแผลที่เกิดการระเบิด พบมีจุดสีดำรอบๆ แผล แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึง 2-3 วัน การสมานแผลก็ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากมีสารเคมีทำให้แผลหายช้า และยืนยันว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ผู้ได้รับบาดเจ็บจะพกระเบิดมาเอง แล้วเกิดการระเบิดทำลายที่บริเวณใบหน้าและศีรษะ”
นพ.อากาศ กล่าวต่อว่า ส่วนบาดแผลที่บริเวณข้อมือก็ค่อนข้างลึก พบว่ามีวัตถุฝังอยู่ในบาดแผลด้วย ซึ่งวัตถุดังกล่าวเป็นพลาสติกทรงกระบอก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร เป็นวัสดุที่มีลักษณะพิเศษไม่ใช่สิ่งของที่อยู่บริเวณเกิดเหตุอย่างแน่นอน แต่น่าจะเป็นชิ้นส่วนที่มาจากแก็สน้ำตาที่สามารถระเบิดได้ และขณะนี้ยังไม่มีการขอหลักฐานไปตรวจพิสูจน์ ดังนั้นวัตถุดังกล่าวจึงยังอยู่ที่ห้องผ่าตัดโรงพยาบาลราชวิถี อย่างไรก็ตาม ผู้ได้รับบาดเจ็บรายนี้ถูกส่งตัวต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้ว
ส่วนบาดแผลของผู้ได้รับบาดเจ็บอีกรายนั้น ลักษณะบาดแผลเกิดจากวัตถุที่มีแรงระเบิดทำให้มีการทำลายของเนื้อเยื่อด้านข้างลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร นอกจากนี้พบว่าบาดแผลเป็นจุดกระจายไปทั่วบริเวณ และมีบาดแผลที่ลึกและถูกทำลายสูงเป็นบางจุดด้วย

**วีรบุรุษขาขาดไม่ได้พิการมาก่อน
นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ผู้บาดเจ็บรายที่มีบาดแผลที่เท้าขวา มีการฉีกของเนื้อเยื้อ กล้ามเนื้อและผิวหนังกระดูกแตก อยู่ในสภาพเละแหลกละเอียดจึงต้องทำการตัดขาในระดับใต้เข่าออกไป ซึ่งจากบาดแผลที่แพทย์ได้ทำการรักษานั้น ผู้บาดเจ็บไม่ได้พิการมาก่อนอย่างแน่นอน เพราะพบยังมีบางส่วนของนิ้วเท้าด้วย
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บที่ลำคอและหน้าอก พบว่าหลอดลมส่วนต้น กระเดือกฉีกขาด ต้องใส่ท่อหายใจ ซึ่งในรายเดียวกันพบว่ามือขวา บริเวณนิ้วและกระดูกมือได้รับความเสียหายอย่างมาก ซึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 ราย ไม่พบชิ้นส่วนของโลหะเช่นเดียวกัน
ด้านนายแกละ (นามสมมติ) ซึ่งได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาข้างขวาจากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุม เปิดเผยว่า ในวันนั้น ช่วงเวลาประมาณ 06.20 น.ที่บริเวณหน้ารัฐสภา ตนกำลังเดินอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ประมาณ 3-4 คน จากนั้นในจังหวะที่กำลังก้าวเท้าเหยียบลงไปบนพื้นโดยมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่หรือไม่ เนื่องมีควันของแก๊สน้ำตาลอยอยู่เต็มไปบน รวมทั้งแก๊สน้ำตาทำให้แสบตา แต่เมื่อก้าวเท้าเหยียบลงไปก็เกิดระเบิดและขาก็กระเด็นหายไป ซึ่งขณะนั้นตนเองรู้สึกช็อกเป็นอย่างมาก
จากนั้นเมื่อสติเริ่มกลับคืนมาจึงได้เขย่งขาข้างที่เหลือไปนั่งอยู่ที่ข้างประตู ซึ่งความรู้สึกขณะนั้นไม่รู้สึกเจ็บ และขอยืนยันว่าก่อนหน้านี้ตนเองมีอวัยวะครบ 32 ประการ ไม่ได้ขาด้วนมาก่อนตามที่มีข้อสงสัยกัน ซึ่งหลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปประกอบอาชีพหรืออาชีพทำมาหากินอะไร เพราะการไม่มีขาก็ถือเป็นอุปสรรคก็รู้สึกเครียดบ้างเล็กน้อยและอยากได้ขาเทียมเพื่อที่จะได้เดินได้เหมือนเดิม
“ผมเป็นการ์ดของพันธมิตรฯ เป็นคนศรีสะเกษ แต่มาทำงานที่มาบตาพุด และเข้าร่วมกับพันธมิตรฯ ระยอง ตอนที่ก้าวเหยียบลงไปไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร เพราะมองไม่เห็น จากนี้คงต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้านที่ศรีสะเกษ ก็ขอให้พันธมิตรฯ สู้ต่อไป ผมขอฝากไปถึงตำรวจด้วยว่าขอให้ยุติความรุนแรง เพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงเกินไป ตำรวจบอกว่าไม่รุนแรงแล้วทำไมผู้ชุมนุมจำนวนกว่า 400 คนถึงได้รับบาดเจ็บ”นายแกละกล่าว

**ตั้งศพสารวัตรเมธีวัดโสมฯ
สำหรับศพของพ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี วีรชนนักสู้ภาคประชาชน ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุรถจี๊ปเชอโกกีระเบิดที่หน้าพรรคชาติไทยนั้น เมื่อเวลา 11.15 น.ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านก็เดินทางมาเพื่อเตรียมรอรับศพ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งในเวลา 11.30 น.ญาติก็ได้นำศพของสารวัตรเมธีออกจากโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดโสมนัสฯ ซึ่งโลงที่บรรจุศพของ พ.ต.ท.เมธีนั้น ได้เขียนคำว่า “นักรบบุรีรัมย์” เอาไว้ด้วย

**ย้าย “รุ่งทิวา”ผ่าตัดรพ.จุฬาฯ
รศ.นพ.ธีรพงษ์ เจริญวิทย์ รักษาการณ์ผอ.รพ.จุฬาฯ กล่าวว่า ขณะนี้อาการนางรุ่งทิวา ธาตุนิยม สาหัสมาก มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะบริเวณซีกซ้าย กะโหลกแตก สมองบวมช้ำ เบื้องต้นได้มีการผ่าตัดไปแล้ว 3 ครั้ง โดยเป็นการผ่าตัดซ่อมแซมในส่วนของบริเวณสมอง กะโหลก, ตกแต่งบริเวณใบหน้าเพราะตาด้านซ้ายหลุด, ผ่าตัดเพื่อนำเลือดที่คั่งอยู่ออก ขณะนี้ยังคงอยู่ที่ห้องไอซียูและมีโอกาสที่จะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเนื่องจากเนื้อสมองบางส่วนได้หายไปและไม่สามารถบอกได้ว่าเซลล์สมองตายมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากต้องรอให้สมองหายบวมก่อน อย่างไรก็ตาม จากสภาพที่เกิดขึ้นมีโอกาสรอดเพียง 5%
ทั้งนี้ นางรุ่งทิวาได้ถูกนำตัวส่งต่อจากโรงพยาบาลราชวิถีมายังโรงพยาบาลจุฬาตั้งแต่ 19.00 น.วันที่ 9 ต.ค.เพื่อเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าอาการเป็นเช่นไร

**40 องค์กรเด็กแจกริบบิ้นดำประณาม
ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสศาลาแดง ย่านสีลม เครือข่ายองค์กรครอบครัวและคณะทำงานด้านเด็ก 40 องค์กรกว่า 50 คน ได้เดินรณรงค์พร้อมแจกริบบิ้นสีดำเพื่อแสดงการประณามรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์
นายวันชัย บุญประชา ประธานเครือข่ายองค์กรครอบครัวและคณะทำงานด้านเด็ก 40 องค์กร ได้ขึ้นอ่านแถลงการณ์ของเครือข่ายฯ โดยขอประณามรัฐบาลภายใต้การนำของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ว่าเป็นรัฐบาลฆาตกร จงใจเข่นฆ่าประชาชนคนไทยด้วยกันอย่างไร้มนุษยธรรม เลือดเย็น ซ้ำยังตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ปฏิเสธว่าผู้ที่บาดเจ็บ ล้มตาย ไม่ได้เกิดจากฝีมือของตำรวจ การออกมาปฏิเสธแสดงถึงการปัดปัญหาให้พ้นตัวโดยยังไม่มีความพยายามตรวจสอบข้อเท็จจริง ดังนั้น จึงเรียกร้องให้รัฐบาล แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยุติบทบาทบริหารประเทศ เพื่อคืนความสงบเรียบร้อยให้แก่บ้านเมือง ขณะที่ทางเครือข่ายฯ เองก็มีมติตรงกันว่า จะตั้งโครงการ “เพื่อนผู้บริสุทธิ์ ตุลา 51” โดยจะทำหน้าที่ในการดูแลและเยี่ยมผู้บริสุทธิ์ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวในระยะยาว
สำหรับบรรยากาศที่เครือข่ายเดินรณรงค์ตลอดแนวถนนสีลมจนถึงซอยละลายทรัพย์ มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้า พนักงาน ตลอดจนประชาชนที่เดินซื้อสินค้าทุกคนเต็มใจรับริบบิ้นโดยบางรายให้ติดที่เสื้อ บางรายรับริบบิ้นแล้วติดเสื้อด้วยตนเอง นอกจากนี้ ประชาชนหลายรายต่อต้านรัฐบาลด้วยการตะโกนเต็มเสียงว่า “เจอที่ไหนกระทืบมันเลย” “ต้องให้นายกฯขาขาดก่อนจะรู้สึกว่ารุนแรงใช่มั้ย”

**เครือข่ายศิลปินเยี่ยม “ชิงชัย”
ที่รพ.รามาธิบดี นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นายวสันต์ สิทธิเขต แนวร่วมกลุ่มศิลปินเพื่อประชาธิปไตย พร้อมเพื่อนศิลปินกว่า 30 คน ได้เดินทางมาเยี่ยมอาการ นายชิงชัย อุดมเจริญกิจหรือตี๋ ซึ่งเป็นศิลปินอิสระ หนึ่งในแนวร่วมศิลปินฯ ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม และได้นำตัวส่ง รพ.รามาฯ โดยนายชิงชัยได้รับบาดเจ็บบริเวณลำคอและสูญเสียมือข้างขวา ขณะนี้ยังคงรักษาตัวอยู่ห้องไอซียู 5 ตึกศัลยกรรมชาย โดยนายเนาวรัตน์อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 ระบุว่า นายชิงชัย เป็นศิลปินอิสระได้ลงชื่อในแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 7 ต.ค. เพื่อร่วมประณามและคัดค้านความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชน ผู้ใช้สิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ จนเกิดบาดเจ็บเป็นจำนวนมากในเช้าวันดังกล่าว หลังจากนั้น นายชิงชัยพร้อมกลุ่มแนวร่วมกลุ่มศิลปินฯ ได้ไปเยี่ยมผู้เจ็บป่วย ที่ร.พ.วชิระพยาบาล ร่วมกับสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับ
ต่อมาวันที่ 8 ต.ค.ภาพที่ปรากฏหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ลงภาพนายชิงชัย ได้รับบาดเจ็บสาหัส แขนขวาขาดหมดสติ หน้า บชน. ในช่วงเย็น ซ้ำยังตกเป็นเหยื่อการใส่ร้าย ด้วยภาพมีระเบิดอยู่ในมือซ้าย แนวร่วมศิลปินและญาติ จึงได้ไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
ทั้งนี้แถลงการณ์ดังกล่าว มีรายนามชื่อศิลปิน 25 คน ศิลปินที่ร่วมลงชื่อ เช่น นายอังคาร กัลยาณพงษ์ ศิลปินแห่งชาติ นายรงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ นายอาจินต์ ปันจะพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ นางจิระนันท์ พิตรปรีชา กวีซีไรต์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสมาคมต่างๆ เช่น สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ รวม 6 สมาคมร่วมลงชื่อด้วย นอกจากนั้นศิลปิน และเพื่อนศิลปิน จะจัดนิทรรศการ รายได้ทั้งหมดจะไปมอบให้ครอบครัวของนายชิงชัยด้วย

**เพื่อนเผยนาทีวิกฤต
นายประเสริฐ พุทธศร อายุ 40 ปี เพื่อนนายชิงชัยซึ่งอยู่ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมบริเวณ บชน. เล่าให้ฟังว่า ตนเอง นายชิงชัยและนายณัฐ ตั้งใจจะขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แต่เกิดเหตุการณ์สลายชุมนุมหน้า บชน.ก่อน ซึ่งจังหวะนั้นพวกเรา 3 คนหันหลังพิงกำแพงเพื่อป้องกันตนเอง แต่สังเกตเห็นว่าบริเวณกำแพงมีตำรวจซุ่มอยู่จำนวนมาก โดยในการสลายการชุม ตนได้รับบาดเจ็บบริเวณหลัง นายณัฐมีอาการแก้วหูแตก โดยนายชิงชัยได้แสดงความเป็นห่วง แต่พูดไม่ได้เพราะบริเวณคอมีบาดแผล มือขาด แต่ก็พยายามเขียน ต. เพื่อถามว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นพี่น้องหน่วยกาชาด นำตัวไปส่งที่ รพ.ศิริราช และมาทราบภายหลังว่า นายชิงชัยถูกใส่ร้ายว่ามีระเบิดอยู่ในมือ
“ผมร้องไห้ อย่างไม่ได้มีจริต แต่เสียใจในการกระทำของตำรวจมากและรับไม่ได้ กับสิ่งที่ตำรวจทำ เพราะเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงต่อวงศ์ตระกูล ลูกหลาน ขอให้สังคมให้ความเป็นธรรม ต่อพี่ตี๋ด้วย”นายประเสริฐกล่าว

**"ตี๋"ต้องนอนไอซียูอีก1 เดือน
นางเมตตา อุปมัย อายุ 41 ภรรยาของนายชิงชัย อุดมเจริญกิจ กล่าวว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาแถลงว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้พกระเบิดไว้ในมือ ถือเป็นการใส่ร้าย ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร ทั้งๆ ที่สามีเป็นคนธรรมะธรรมโม บุหรี่ไม่สูบเหล้าก็ไม่เคยดื่ม แม้มดสักตัวยังไม่การฆ่า เป็นคนจิตใจอ่อนไหว อ่อนหวาน อ่อนโยน รักครอบครัว ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้บริหารบ้านเมือง ก็ยังไม่ได้ไตร่ตรองหรือถามมายังญาติของผู้เสียหาย แต่กลับแถลงความเห็นสร้างความเสียหายให้แก่วงศ์ตระกูลทำให้มีคนรักและเกลียดคนในครอบครัว การที่ตำรวจออกมาพูดในลักษณะนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบ ตนไม่อยากได้อะไรจากรัฐบาลหรือตำรวจ แค่อยากให้สามีของตนปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งหมอแจ้งว่าขณะนี้อาการวิกฤติ จะต้องอยู่ห้องไอซียูประมาณ 1 เดือน
"ตำรวจบอกว่าการสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตาเป็นไปตามหลักวิธีสากล แต่ตามหลักสากลจริงๆ ต้องมีการเจรจาก่อน และที่ผ่านมารัฐบอกว่าจะมีการเจรจา แต่ในทางปฏิบัติไม่ใช่"
นางเมตตากล่าวว่า สามีเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว มีลูกชายวัย 5 ขวบ และ 9 ขวบ ตนเองก็เป็นเพียงแม่บ้าน ตอนนี้ต้องให้น้องสาวลางานไม่มีกำหนดมาเพื่อดูอาการ ตนเองก็ต้องดูแลลูก เมื่อวันที่ภาพข่าวเผยแพร่ออกโทรทัศน์ ลูกชายคนเล็กชี้ไปโทรทัศน์ก็กล่าวว่า "นั่นพ่อนี่" ซึ่งตนและยายของเด็กว่าไม่ใช่เพราะสามีไม่อยากให้ลูกรู้
กำลังโหลดความคิดเห็น