ใช่ไหมว่า ที่สุดแห่งสงคราม ความสูญเสียทางร่างกายหาได้เป็นปัญหามากเท่ากับจิตใจที่สูญเสียดุลยภาพความดีความงามตามครรลองคลองธรรมลงไป ไม่เว้นแม้แต่สมรภูมิความคิดที่การบาดเจ็บล้มตายกลายเป็นขวากหนามน้อยกว่าจิตวิญญาณที่จักอุดมด้วยความเกลียดกลัวชิงชัง คับแคบ ปัดปฏิเสธความคิดต่างอันอธิบายเหตุปัจจัยได้มากกว่าเพียงเพื่อจะชนะคะคานกัน
มิจฉาทิฐิสร้างผู้คนขลาดเขลาจำนวนมากอุบัติขึ้นในสมรภูมิสงครามธรรมะอธรรม
ทว่ากระนั้นการเปิดเผยตัวตนเป็นปรปักษ์ศัตรูชัดเจนก็น่านับถือกว่ากลุ่มคนพยายามวางตัวเป็นกลางที่เพิกเฉยยอมจำนนต่อการโกงบ้านกินเมือง ฟอกผิดเป็นถูกเปื้อนถูกเป็นผิด ถากถางปรามาสผ่านทัศนะคลุมเครือแอบอิงอำนาจประโยชน์โภชผลภายใต้แพรพรรณรายหรูเลิศ
การเป็นนักรบต่อกรกับกลุ่มก้อนกลวงกลางนับว่ายากมาก หากกระนั้นก็จำเป็นยิ่งยวดต้องกระทำให้สำเร็จด้วยการดึงพวกเขาเข้าเป็นพวกพ้องพันธมิตรปัญญามากกว่าผลักอกคนเป็นกลางหรือกระทั่งเห็นต่างเป็นปฏิปักษ์ ก่อนถักถ้อยร้อยรัดปัจเจกบุคคลจำนวนมหาศาลเหล่านี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเคลื่อนไหวทางสังคมที่ทรงอานุภาพเปลี่ยนแปลงองคาพยพสังคม
กระนั้น การปวารณาตัวเป็น ‘นักรบ’ ผดุงยุติธรรมขจัดอยุติธรรมนั้นหาใช่หักหาญรบรากับผู้อื่น เนื่องจากความก้าวร้าวรุนแรงไม่ได้แก้วิกฤต แต่แท้จริงเพาะแพร่พันธุ์ปัญหานานัปการประดุจสายธารยาวเหยียด ขณะเดียวกันก็ตีบตันปฏิบัติการปัญญาแสวงหาทางออกด้วยจินตนาการใหม่เนื่องเพราะทัศนะเก่าล่ามร้อยทางสว่างจากวิกฤตการณ์ต่างๆ ไว้ด้วยโซ่ตรวนอวิชชาแน่นหนา
ล่ามร้อยตรวนตราเช่นนี้มิเพียงผูกร้อยผู้คนเข้าไว้ด้วยกันอันเนื่องมาจากครอบครองผลประโยชน์ร่วมกันตามธรรมชาติของมนุษย์ที่จะผูกพันตนเองกับผู้อื่น โดยเหตุแห่งคุณประโยชน์ที่พวกเขาได้ให้ไป ไม่แพ้เหตุแห่งคุณประโยชน์ที่พวกเขาได้รับมา โดยเฉพาะในกรณีผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง ดังที่นิโคโล มาคิอาเวลลี (Niccolò Machiavelli) กล่าวเป็นสัจจะไว้ในเจ้าผู้ปกครอง (The Prince) เท่านั้น ทว่ายังสกัดกั้นการแยกตัวของปัจเจกชนออกจากเส้นทางพังพินาศคุณธรรมของมหาชนส่วนใหญ่เพราะกลัวการเป็น ‘แกะดำ’ ของสังคมคอร์รัปชันที่นิยมคนเก่งแต่โกงอีกด้วย
การกลัวเป็นแกะดำของสังคมฉ้อฉลเช่นนี้นับได้ว่ามาจากความจริงแรกเริ่มที่ปัจเจกบุคคลไม่ยอมรับว่าตนเอง ‘กลัวความขลาดเขลาในตัวเอง’ และ ‘กลัวภัยคุกคามจากผู้ลุอำนาจรัฐ’ เป็นสำคัญ กระทั่งทอถักรังดักแด้หุ้มห่อตัวเองไว้ในความปลอดภัยเทียมและมืดบอดปัญญา
ทั้งความจริงแล้วควรสลายสายใยขลาดเขลาของปัจเจกที่ห่อหุ้มตัวเองราวดักแด้ด้วยการรังสรรค์พลังปัญญารวมหมู่ (Collective wisdom) เพื่อทะลุทะลวงรังทึมทึบโบยบินเป็นผีเสื้อสวยที่พร้อมจะขยับปีกกระเทือนถึงดวงดาว (Butterfly effect)
จักว่าไปแล้วผีเสื้อเหล่านี้คือพลานุภาพประชาชนคนปลายอ้อปลายแขมที่เปลี่ยนแปรเป็นพลเมืองกระตือรือร้นว่าท้ายสุดแล้วสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกและกว้างของสังคมได้ ยิ่งถ้ารวมตัวกันเหนียวแน่นเท่าไร ยิ่งกระพือพัดพาสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงมาเยือนเร็วเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้สังคมอุดมคอร์รัปชันวันนี้ของสังคมไทยจักเรียกร้องการหลอมรวมตัวภาคพลเมืองเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement Organization) ขนาดใหญ่เพื่อพิชิตรัฐบาลฉ้อราษฎร์บังหลวงก็ตามที หากแต่ก้าวแรกแห่งชัยชนะจะต้องได้นักรบปัจเจกหาญกล้าอาสาช่วยเหลือเอื้ออาทรโลก ไม่วางเฉยต่อปัญหา ตลอดจนทุ่มเทแรงกายใจในภาคสนามมากขวากหนามแหลมคม แทนที่จะห้อยโหนหอคอยงาช้างแล้วยัดเยียดทฤษฎีที่ขาดข้อเท็จจริงแห่งสังคมไทยปัจจุบันขณะรองรับ ประหนึ่งพยายามปรับเปลี่ยนโลกความจริงให้เข้าไปอยู่ใต้กรอบทฤษฎีที่ตนเองยึดมั่นถือมั่นราวบุตร เพราะจะก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายตามมามากกว่า
การรู้ทฤษฎีทว่าพร่องปฏิบัตินั้นใช่หรือไม่ว่าสะท้อนภาพความขลาดเขลาประเภท ‘นักคิดอยู่นักสู้ตาย’ ได้นัยสำคัญหนึ่ง
กล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าความคิดนักคิดไม่สำคัญ หากยอมรับว่าเป็นกลจักรผลักดันปัจเจกชนหลอมรวมทัศนะอุดมการณ์เป็นเครือข่ายต่างๆ ทั้งทางบวกและลบ มรรคาทางสังคมนับแต่ระดับปฏิรูป (Reform) จนถึงปฏิวัติ (Revolution) นั้นก็เรียกร้องความคิดนักคิดใหม่ทั้งสิ้น
ความคิดใหม่ไม่ใช่ใหม่ถอดด้าม ด้วยนวัตกรรมทั้งทางวิทยาศาสตร์สังคมศาสตร์ที่ผลิดอกออกผลในห้วงหลังนั้นมาจากการยืนหยัดบนบ่าไหล่ของนักคิดเก่าความคิดเก่าทั้งสิ้น โดยเฉพาะสายสังคมที่ความคิดใหม่เท่ากับแตกหักกับความคิดเก่าเท่านั้น มากบ้างน้อยบ้างก็แค่นั้น
ฉะนั้นสายธารการเมืองใหม่ในสังคมไทยปัจจุบันจึงหมายถึงการแตกหักกับการเมืองเก่าในประเด็นหมักหมม เช่น ทุจริตคอร์รัปชัน และการขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จะกำหนดนโยบายสาธารณะโดยอิงอาศัยภูมิปัญญาวัฒนธรรมอันเป็นทุนเดิมของสังคมไทย
การแก้วิกฤตสังคมเช่นนี้ต้องการสารัตถะมากกว่ารูปแบบที่ไร้จิตสำนึก
กระนั้นที่ผ่านมาเมฆหมอกมืดครึ้มคลี่คลุมท้องนภาเมืองไทยไว้นานนักหนานับแต่คนส่วนใหญ่ใหลหลงได้ปลื้มกับ ‘รูปแบบเลือกตั้ง’ ตามลัทธิพิธีประชาธิปไตยว่าคือทางออกของทุกวิกฤตการณ์ทางสังคมการเมืองไทย แม้นแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปก็ตามที!
ภารกิจศักดิ์สิทธิ์แห่งนักรบเพื่อปรับเปลี่ยนการเมืองไทยไปสู่อารยะประชาธิปไตยและสังคมอริยะนั้นไม่เพียงร้องขอปัจเจกบุคคลหาญกล้าเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ทว่ายังต้องสลายอัตตารวมหมู่ (Collective ego) ของพันธกิจเบื้องหน้าไม่ให้สูงส่งสุดเอื้อม จนคนส่วนใหญ่ที่เข้าถึงไม่ได้ไร้ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้ที่เราต้องการหักหาญเท่านั้น
กล่าวคือแม้เห็นคนเห็นต่างกลุ่มนั้นเป็นปรปักษ์ แต่ก็ต้องขจัดพวกเขาให้สิ้นสุดไปด้วยการทบเท่าทวีปัญญาแก่พวกเขาด้วยดวงจิตกัลยาณมิตร พิชิตอริศัตรูด้วยความเพียรทำดีที่ถึงที่สุดแล้วมีคุณค่าประมาณไม่ได้เพราะทุกคนสัมผัสสัมพันธ์ความดีความงามแท้จริงนี้เหมือนกัน
ถ้าไม่ช่วงชิงนิยามใหม่ว่าทุจริตคอร์รัปชันเป็นวัฒนธรรมหลักสังคมไทย ใครก็ทำกัน!
แน่นอนละว่าในสมรภูมิความขัดแย้ง การแยกผิดถูกชั่วดีนี้ยังเป็นแง่มุมสำคัญสำหรับการทำสงครามทุกประเภท โดยเฉพาะสงครามความคิดอุดมการณ์ที่จักต้องนิยามศัตรูชัดแจ้งเห็นชัด (Obvious enemy) เพื่อผลักดันอุดมการณ์หรือคุณค่าอีกชุดที่แตกต่างสู่สังคม
ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเช่นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เช่นกันที่ต้องปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของปัจเจกบุคคลผู้เข้าร่วมให้หาญกล้าองอาจควบคู่กับเมตตาการุณย์ เพราะการกำชัยชนะแท้จริงต้องกุมหัวใจผู้คนด้วยการเปิดหัวใจตนเองให้กว้างขวางและมีขันติธรรมยอมรับความคิดเห็นแตกต่างมากกว่ามุ่งคว้าชัยชนะถ่ายเดียว อีกทั้งยังต้องเรียนรู้ว่าสภาวะสงครามครานี้ทั้งโดยอัตวิสัยและภววิสัยไม่อาจสร้างผู้ชนะที่ได้ทุกอย่าง 100% ผู้แพ้สูญเสีย 100%
ด้วยความเกื้อการุณย์ช่วยขัดเกลาตัวเองให้สงบงามมีสติมั่นคงได้แม้กำลังร่วมสัประยุทธ์ในสงครามความคิด ขณะเดียวกันก็ดึงกลุ่มคนตรงข้ามให้เข้ามาอยู่ในระนาบแนวราบเดียวกันมากกว่าแนวดิ่งที่เราในฐานะสูงส่งคุณธรรมกว่ากระทำต่อผู้ด้อยคุณธรรมกว่า
ถ้าทำได้เช่นนี้ การเคลื่อนไหวในท่วงทำนองของพันธมิตรฯ จักอยู่บน ‘มรรควิถีศักดิ์สิทธิ์แห่งนักรบ’ ที่เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติทางจริยธรรมจริง ไม่ใช่อ่านจากตำราหรืออธิบายด้วยทฤษฎี ที่ว่าไปแล้วก็เป็นสัจจะที่รู้ได้แต่ตนเท่านั้น
ถ้าปรารถนาการเมืองปลอดทุจริตคอร์รัปชัน นักรบพันธมิตรฯ จักต้องใช้ ‘มือตบ’ อย่างหาญกล้าก้าวข้ามขอบเขตขัณฑสีมาความเห็นแก่ตัวโดยไม่ล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นบนฐานคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีความดีพื้นฐานและปรีชาญาณอยู่แล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดหลงทิศผิดทางโดยสิ้นเชิง แม้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองที่ได้อำนาจรัฐมาโดยโชคชะตาผสานอาชญากรรมมากกว่าคุณธรรมก็ตามที.-
คอลัมน์เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
มิจฉาทิฐิสร้างผู้คนขลาดเขลาจำนวนมากอุบัติขึ้นในสมรภูมิสงครามธรรมะอธรรม
ทว่ากระนั้นการเปิดเผยตัวตนเป็นปรปักษ์ศัตรูชัดเจนก็น่านับถือกว่ากลุ่มคนพยายามวางตัวเป็นกลางที่เพิกเฉยยอมจำนนต่อการโกงบ้านกินเมือง ฟอกผิดเป็นถูกเปื้อนถูกเป็นผิด ถากถางปรามาสผ่านทัศนะคลุมเครือแอบอิงอำนาจประโยชน์โภชผลภายใต้แพรพรรณรายหรูเลิศ
การเป็นนักรบต่อกรกับกลุ่มก้อนกลวงกลางนับว่ายากมาก หากกระนั้นก็จำเป็นยิ่งยวดต้องกระทำให้สำเร็จด้วยการดึงพวกเขาเข้าเป็นพวกพ้องพันธมิตรปัญญามากกว่าผลักอกคนเป็นกลางหรือกระทั่งเห็นต่างเป็นปฏิปักษ์ ก่อนถักถ้อยร้อยรัดปัจเจกบุคคลจำนวนมหาศาลเหล่านี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเคลื่อนไหวทางสังคมที่ทรงอานุภาพเปลี่ยนแปลงองคาพยพสังคม
กระนั้น การปวารณาตัวเป็น ‘นักรบ’ ผดุงยุติธรรมขจัดอยุติธรรมนั้นหาใช่หักหาญรบรากับผู้อื่น เนื่องจากความก้าวร้าวรุนแรงไม่ได้แก้วิกฤต แต่แท้จริงเพาะแพร่พันธุ์ปัญหานานัปการประดุจสายธารยาวเหยียด ขณะเดียวกันก็ตีบตันปฏิบัติการปัญญาแสวงหาทางออกด้วยจินตนาการใหม่เนื่องเพราะทัศนะเก่าล่ามร้อยทางสว่างจากวิกฤตการณ์ต่างๆ ไว้ด้วยโซ่ตรวนอวิชชาแน่นหนา
ล่ามร้อยตรวนตราเช่นนี้มิเพียงผูกร้อยผู้คนเข้าไว้ด้วยกันอันเนื่องมาจากครอบครองผลประโยชน์ร่วมกันตามธรรมชาติของมนุษย์ที่จะผูกพันตนเองกับผู้อื่น โดยเหตุแห่งคุณประโยชน์ที่พวกเขาได้ให้ไป ไม่แพ้เหตุแห่งคุณประโยชน์ที่พวกเขาได้รับมา โดยเฉพาะในกรณีผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง ดังที่นิโคโล มาคิอาเวลลี (Niccolò Machiavelli) กล่าวเป็นสัจจะไว้ในเจ้าผู้ปกครอง (The Prince) เท่านั้น ทว่ายังสกัดกั้นการแยกตัวของปัจเจกชนออกจากเส้นทางพังพินาศคุณธรรมของมหาชนส่วนใหญ่เพราะกลัวการเป็น ‘แกะดำ’ ของสังคมคอร์รัปชันที่นิยมคนเก่งแต่โกงอีกด้วย
การกลัวเป็นแกะดำของสังคมฉ้อฉลเช่นนี้นับได้ว่ามาจากความจริงแรกเริ่มที่ปัจเจกบุคคลไม่ยอมรับว่าตนเอง ‘กลัวความขลาดเขลาในตัวเอง’ และ ‘กลัวภัยคุกคามจากผู้ลุอำนาจรัฐ’ เป็นสำคัญ กระทั่งทอถักรังดักแด้หุ้มห่อตัวเองไว้ในความปลอดภัยเทียมและมืดบอดปัญญา
ทั้งความจริงแล้วควรสลายสายใยขลาดเขลาของปัจเจกที่ห่อหุ้มตัวเองราวดักแด้ด้วยการรังสรรค์พลังปัญญารวมหมู่ (Collective wisdom) เพื่อทะลุทะลวงรังทึมทึบโบยบินเป็นผีเสื้อสวยที่พร้อมจะขยับปีกกระเทือนถึงดวงดาว (Butterfly effect)
จักว่าไปแล้วผีเสื้อเหล่านี้คือพลานุภาพประชาชนคนปลายอ้อปลายแขมที่เปลี่ยนแปรเป็นพลเมืองกระตือรือร้นว่าท้ายสุดแล้วสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกและกว้างของสังคมได้ ยิ่งถ้ารวมตัวกันเหนียวแน่นเท่าไร ยิ่งกระพือพัดพาสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงมาเยือนเร็วเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้สังคมอุดมคอร์รัปชันวันนี้ของสังคมไทยจักเรียกร้องการหลอมรวมตัวภาคพลเมืองเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement Organization) ขนาดใหญ่เพื่อพิชิตรัฐบาลฉ้อราษฎร์บังหลวงก็ตามที หากแต่ก้าวแรกแห่งชัยชนะจะต้องได้นักรบปัจเจกหาญกล้าอาสาช่วยเหลือเอื้ออาทรโลก ไม่วางเฉยต่อปัญหา ตลอดจนทุ่มเทแรงกายใจในภาคสนามมากขวากหนามแหลมคม แทนที่จะห้อยโหนหอคอยงาช้างแล้วยัดเยียดทฤษฎีที่ขาดข้อเท็จจริงแห่งสังคมไทยปัจจุบันขณะรองรับ ประหนึ่งพยายามปรับเปลี่ยนโลกความจริงให้เข้าไปอยู่ใต้กรอบทฤษฎีที่ตนเองยึดมั่นถือมั่นราวบุตร เพราะจะก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายตามมามากกว่า
การรู้ทฤษฎีทว่าพร่องปฏิบัตินั้นใช่หรือไม่ว่าสะท้อนภาพความขลาดเขลาประเภท ‘นักคิดอยู่นักสู้ตาย’ ได้นัยสำคัญหนึ่ง
กล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าความคิดนักคิดไม่สำคัญ หากยอมรับว่าเป็นกลจักรผลักดันปัจเจกชนหลอมรวมทัศนะอุดมการณ์เป็นเครือข่ายต่างๆ ทั้งทางบวกและลบ มรรคาทางสังคมนับแต่ระดับปฏิรูป (Reform) จนถึงปฏิวัติ (Revolution) นั้นก็เรียกร้องความคิดนักคิดใหม่ทั้งสิ้น
ความคิดใหม่ไม่ใช่ใหม่ถอดด้าม ด้วยนวัตกรรมทั้งทางวิทยาศาสตร์สังคมศาสตร์ที่ผลิดอกออกผลในห้วงหลังนั้นมาจากการยืนหยัดบนบ่าไหล่ของนักคิดเก่าความคิดเก่าทั้งสิ้น โดยเฉพาะสายสังคมที่ความคิดใหม่เท่ากับแตกหักกับความคิดเก่าเท่านั้น มากบ้างน้อยบ้างก็แค่นั้น
ฉะนั้นสายธารการเมืองใหม่ในสังคมไทยปัจจุบันจึงหมายถึงการแตกหักกับการเมืองเก่าในประเด็นหมักหมม เช่น ทุจริตคอร์รัปชัน และการขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จะกำหนดนโยบายสาธารณะโดยอิงอาศัยภูมิปัญญาวัฒนธรรมอันเป็นทุนเดิมของสังคมไทย
การแก้วิกฤตสังคมเช่นนี้ต้องการสารัตถะมากกว่ารูปแบบที่ไร้จิตสำนึก
กระนั้นที่ผ่านมาเมฆหมอกมืดครึ้มคลี่คลุมท้องนภาเมืองไทยไว้นานนักหนานับแต่คนส่วนใหญ่ใหลหลงได้ปลื้มกับ ‘รูปแบบเลือกตั้ง’ ตามลัทธิพิธีประชาธิปไตยว่าคือทางออกของทุกวิกฤตการณ์ทางสังคมการเมืองไทย แม้นแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปก็ตามที!
ภารกิจศักดิ์สิทธิ์แห่งนักรบเพื่อปรับเปลี่ยนการเมืองไทยไปสู่อารยะประชาธิปไตยและสังคมอริยะนั้นไม่เพียงร้องขอปัจเจกบุคคลหาญกล้าเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ทว่ายังต้องสลายอัตตารวมหมู่ (Collective ego) ของพันธกิจเบื้องหน้าไม่ให้สูงส่งสุดเอื้อม จนคนส่วนใหญ่ที่เข้าถึงไม่ได้ไร้ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้ที่เราต้องการหักหาญเท่านั้น
กล่าวคือแม้เห็นคนเห็นต่างกลุ่มนั้นเป็นปรปักษ์ แต่ก็ต้องขจัดพวกเขาให้สิ้นสุดไปด้วยการทบเท่าทวีปัญญาแก่พวกเขาด้วยดวงจิตกัลยาณมิตร พิชิตอริศัตรูด้วยความเพียรทำดีที่ถึงที่สุดแล้วมีคุณค่าประมาณไม่ได้เพราะทุกคนสัมผัสสัมพันธ์ความดีความงามแท้จริงนี้เหมือนกัน
ถ้าไม่ช่วงชิงนิยามใหม่ว่าทุจริตคอร์รัปชันเป็นวัฒนธรรมหลักสังคมไทย ใครก็ทำกัน!
แน่นอนละว่าในสมรภูมิความขัดแย้ง การแยกผิดถูกชั่วดีนี้ยังเป็นแง่มุมสำคัญสำหรับการทำสงครามทุกประเภท โดยเฉพาะสงครามความคิดอุดมการณ์ที่จักต้องนิยามศัตรูชัดแจ้งเห็นชัด (Obvious enemy) เพื่อผลักดันอุดมการณ์หรือคุณค่าอีกชุดที่แตกต่างสู่สังคม
ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเช่นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เช่นกันที่ต้องปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของปัจเจกบุคคลผู้เข้าร่วมให้หาญกล้าองอาจควบคู่กับเมตตาการุณย์ เพราะการกำชัยชนะแท้จริงต้องกุมหัวใจผู้คนด้วยการเปิดหัวใจตนเองให้กว้างขวางและมีขันติธรรมยอมรับความคิดเห็นแตกต่างมากกว่ามุ่งคว้าชัยชนะถ่ายเดียว อีกทั้งยังต้องเรียนรู้ว่าสภาวะสงครามครานี้ทั้งโดยอัตวิสัยและภววิสัยไม่อาจสร้างผู้ชนะที่ได้ทุกอย่าง 100% ผู้แพ้สูญเสีย 100%
ด้วยความเกื้อการุณย์ช่วยขัดเกลาตัวเองให้สงบงามมีสติมั่นคงได้แม้กำลังร่วมสัประยุทธ์ในสงครามความคิด ขณะเดียวกันก็ดึงกลุ่มคนตรงข้ามให้เข้ามาอยู่ในระนาบแนวราบเดียวกันมากกว่าแนวดิ่งที่เราในฐานะสูงส่งคุณธรรมกว่ากระทำต่อผู้ด้อยคุณธรรมกว่า
ถ้าทำได้เช่นนี้ การเคลื่อนไหวในท่วงทำนองของพันธมิตรฯ จักอยู่บน ‘มรรควิถีศักดิ์สิทธิ์แห่งนักรบ’ ที่เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติทางจริยธรรมจริง ไม่ใช่อ่านจากตำราหรืออธิบายด้วยทฤษฎี ที่ว่าไปแล้วก็เป็นสัจจะที่รู้ได้แต่ตนเท่านั้น
ถ้าปรารถนาการเมืองปลอดทุจริตคอร์รัปชัน นักรบพันธมิตรฯ จักต้องใช้ ‘มือตบ’ อย่างหาญกล้าก้าวข้ามขอบเขตขัณฑสีมาความเห็นแก่ตัวโดยไม่ล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นบนฐานคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีความดีพื้นฐานและปรีชาญาณอยู่แล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดหลงทิศผิดทางโดยสิ้นเชิง แม้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองที่ได้อำนาจรัฐมาโดยโชคชะตาผสานอาชญากรรมมากกว่าคุณธรรมก็ตามที.-
คอลัมน์เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org