เอเอฟพี/รอยเตอร์ - "ซิตี้กรุ๊ป"ตกลงซื้อกิจการด้านการธนาคารของวาโคเวีย และได้ลงนามในสัญญาระหว่างกันเมื่อวันจันทร์ (29) โดยมีรัฐบาลสหรัฐฯเข้ามาเป็นตัวกลางและให้ความช่วยเหลือสนับสนุนเป็นบางส่วน ขณะที่ภาคการเงินการธนาคารกำลังเกิดความปั่นป่วนผันผวนอย่างรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่คราวเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา
แผนการช่วยชีวิตวาโคเวียภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลคราวนี้ เป็นเครื่องแสดงถึงกระแสการกระชับรวมศูนย์กิจการในภาคการธนาคารของสหรัฐฯ ที่กำลังดิ้นรนให้รอดพ้นการพังทลายจากการขาดทุนจำนวนมหาศาลหลังฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์อันนำไปสู่ภาวะสินเชื่อตึงตัวอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา
วาโคเวีย ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับสี่ของสหรัฐฯเมื่อวัดจากสินทรัพย์ เกือบจะล้มครืนลง และราคาหุ้นแทบไม่เหลือมูลค่าอยู่เลย จากการเทขายของนักลงทุนที่คลายความเชื่อมั่นในธนาคาร ซึ่งนับเนื่องมาจากการขาดทุนในวิกฤตซับไพรม์เมื่อต้นปีนี้
การเทคโอเวอร์วาโคเวียได้รับการเปิดเผยออกมา เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯจะเริ่มพิจารณาและในที่สุดก็ไม่อนุมัติแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์
หลายฝ่ายหวังไว้สูงมากว่ารัฐสภาจะผ่านมาตรการกอบกู้ระบบการเงินคราวนี้ได้โดยง่ายดาย ภายหลังจากในวันอาทิตย์(28ก.ย.) พวกผู้นำของเดโมแครตและรีพับลิกันในรัฐสภา สามารถตกลงกับคณะรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ว่าจะสนับสนุนหลักการของแผนฟื้นฟูภาคการเงิน
รัฐบาลเน้นว่าการกอบกู้พวกสถาบันการเงินที่กำลังง่อนแง่นจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่อยู่อาศัยนั้น มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมที่อาจจะทรุดลงจากแรงฉุดของภาคการเงินในไม่ช้า
สำหรับในกรณีวาโคเวีย บรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางซึ่งเป็นหน่วยงานประกันและกำกับดูแลภาคธนาคาร แถลงในระหว่างประกาศการเข้าเทคโอเวอร์ของซิตี้กรุ๊ปว่า วาโคเวียไม่ได้ล้มละลายแต่อย่างใด
ภายใต้สัญญาเทคโอเวอร์ดังกล่าว รัฐบาลจะได้รับหุ้นของซิตี้กรุ๊ป เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการรับประกันสินทรัพย์มีปัญหาจำนวนมากของวาโคเวียที่เกี่ยวข้องภาคอสังหาริมทรัพย์
ส่วนซิตี้กรุ๊ปจะต้องจ่ายเงิน 2,160 ล้านดอลลาร์ในรูปของหุ้น เพื่อซื้อกิจการส่วนที่เป็นธนาคารของวาโคเวีย รวมทั้งตราสารหนี้บุริมสิทธิ์และไร้สิทธิ์ทั้งหลายของวาโคเวีย คอร์ปอเรชั่น ในขณะเดียวกันซิตี้กรุ๊ปก็จะต้องรับภาระหนี้ 42,000 ล้านดอลลาร์ จากการขาดทุนในสินเชื่อที่วาโคเวียปล่อยออกไป 312,000 ล้านดอลลาร์ด้วย ส่วนบรรษัทรับประกันเงินฝาก จะดูดซับการขาดทุนที่เกินจำนวนนั้นไปแล้ว
ซิตี้กรุ๊ปจะต้องให้หุ้นบุริมสิทธิ์รวมทั้งวอร์แรนท์แก่บรรษัทฯเป็นมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อชดเชยการที่เข้ามาแบกรับความเสี่ยงให้ ซึ่งทางซิตี้กรุ๊ปก็ประกาศว่าจะออกหุ้นสามัญเพื่อระดมทุน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อนำมาซื้อวาโคเวีย
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ออกมาประกาศว่าได้ใส่รายชื่อของทั้งซิตี้กรุ๊ป และ วาโคเวีย เข้าไปใน "เครดิตวอทช์" ซึ่งมีความหมายให้ระมัดระวังผลในทางลบที่อาจตามมา
อย่างไรก็ตามเอสแอนด์พีก็บอกว่า การควบรวมวาโคเวียครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงในการประกอบการของซิตี้กรุ๊ปเพิ่มขึ้น "เนื่องจากเป็นการควบรวมเอาส่วนการธนาคารที่ "ไร้ปัญหา" เข้าไป"
การควบรวมคราวนี้ยังจะทำให้ซิตี้กรุ๊ปกลายเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯเมื่อวัดจากยอดจำนวนเงินฝาก
ทว่าราคาหุ้นของซิตี้กรุ๊ปก็ร่วงลง 11.9% มาอยู่ที่ 17.75 ดอลลาร์เพราะการเทขายหนักหน่วงของนักลงทุนหลังจากสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติแผนตามคำขอของรัฐบาล และดึงให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลงไป 777.68 จุด อันเป็นการร่วงลงในวันเดียวสูงที่สุดเท่าเคยมีมาของดัชนีตัวนี้
หุ้นของวาโคเวียเองก็เกือบไม่ค่าอันใดเพราะควงสว่านลงมา 81% เหลือแค่ 1.84 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น
ทางซิตี้กรุ๊ปกล่าวว่าการควบรวมนี้จะทำให้เกิดธนาคารสำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีส่วนแบ่งตลาดถึง 9.8% ในตลาดเงินฝากของประเทศโดยมีเงินฝากมั้งหมด 1,300,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนวาโคเวียก่อนที่จะประสบปัญหานั้นมีสินทรัพย์ที่เป็นเงินฝาก, สินเชื่อ หลักทรัพย์และอื่น ๆอยู่ราว 812,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ตามการรายงานเมื่อเดือนมิถุนายน
บรรษัทประกันเงินฝากกล่าว่าการเทคโอเวอร์ครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารกลางสหรัฐฯและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เฮนรี พอลสัน และก็ได้หารือกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชแล้ว
นับตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นของวาโคเวียร่วงไป 73% และช่วงที่หนักหนามากที่สุดก็คือหลายวันที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนตื่นตระหนกว่าแบงก์จะล้มลงมาเหมือนอย่างวอชิงตัน มิวฌวล (วามิว) ซึ่งเป็นคู่แข่งของวาโคเวียมาตลอด
วามิวนั้นถูกทางการเข้ายึดอำนาจการบริหารอย่างสายฟ้าแลบ จากนั้นก็ขายให้แก่เจพีมอร์แกน เชสไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว กรณีของวามิวกลายเป็นการพังครืนของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
บรรษัทประกันเงินฝากออกมาเน้นว่าผู้ฝากเงินไว้กับวาโคเวียจะได้รับการคุ้มครองเต็มที่ ภายใต้ระเบียบของรัฐบาลกลางที่ว่าบัญชีเงินฝากไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์จะได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวน รวมทั้งธุรกรรมใด ๆที่ไม่ส่งผลกระทบถึงกองทุนประกันเงินฝากก็จะได้รับการคุ้มครองไปด้วย
อนึ่งในวันจันทร์ นอกจากซิตี้กรุ๊ปเทคโอเวอร์กิจการธนาคารของวาโคเวียแล้ว มอร์แกนสแตนลีย์ก็ยังประกาศว่าได้ขายหุ้น 21% ของตนเองมูลค่า 9,000 ล้านดอลลาร์ให้กับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ธนาคารอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นแล้ว ส่วนเลห์แมน บราเธอร์สที่กำลังอยู่ใต้ความคุ้มครองของกฎหมายล้มละลาย ก็ขายนิวเบอร์เกอร์ เบอร์แมน หน่วยงานบริหารสินทรัพย์ที่ทำกำไรสูง ออกไปแล้วเป็นเงิน 2,150 ล้านดอลลาร์
"ดูเหมือนว่าตอนนี้ในวงการการเงินสหรัฐฯจะเหลือธนาคารอยู่สองแบบ ก็คือ แบบที่หนึ่งอยู่รอดและได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น และอีกแบบก็คือ ธนาคารที่ถูกสถาบันการเงินอื่นกลืนกินเข้าไปและไม่สามารถจะเติบโตได้อีก" แมท แมคคอร์มิค ผู้จัดการพอร์ทโฟลิโอ ของบาห์ลแอนด์เกเนอร์ เคาน์เซล ในเมืองซินซินเนติกล่าว
กรณีของมอร์แกน สแตนลีย์นั้น มิตซูบิชิจะซื้อหุ้นสามัญของมอร์แกน 9.9% ที่ 25.25ดอลลาร์ต่อหนึ่งหุ้นหรือคิดเป็นเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ และต่อไปมิตซูบิชิก็จะเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพอีก 6,000 ล้านดอลลาร์ที่ 29 ดอลลาร์ต่อหนึ่งหุ้น โดยที่ราคาที่ธนาคารญี่ปุ่นได้ไปนี้ถูกกว่าราคาตลาดอย่างมาก
และในตอนนี้ตลาดก็เต็มไปด้วยข่าวว่าธนาคารหลายแห่งทั้งนอกและในสหรัฐฯกำลังประสบกับปัญหาอันเนื่องมาจากราคาหุ้นที่ทรุดลงเรื่อยมา เนชั่นแนล ซิตี้คอร์ปราคาหุ้นลดลงมากกว่า 60% เหลือแค่ 1.36 ดอลลาร์เท่านั้น ขณะที่โซเวอเรน แบงคอร์ป อิงค์ราคาหุ้นก็ลดลง 72% มาอยู่ที่มากกว่า 2 ดอลลาร์ต่อหุ้นเพียงเล็กน้อย
ส่วนด้านฟากฝั่งยุโรป ธนาคารแบรดฟอร์ด แอนด์ บิงลีย์ ก็ถูกทางการอังกฤษควบรวมไปแล้ว เช่นเดียวกับ ฟอร์ทิส กลุ่มธนาคารและบริการประกันยักษ์ใหญ่ก็เพิ่งถูกรัฐบาลในกลุ่มเบเนลักซ์ยึดอำนาจการบริหาร ด้าน ไฮโป เรียล เอสเตท สถาบันปล่อยกู้รายใหญ่ของเยอรมนีก็ขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาลเยอรมนีไปแล้ว ขณะที่เดกเซีย ธนาคารสัญชาติเบลเยียม-ฝรั่งเศส ก็มีราคาหุ้นร่วงลงจนถึงขั้นว่าอาจต้องการการอัดฉีดเงินฉุกเฉินในไม่ช้า ที่ไอซ์แลนด์, รัสเซีย และเดนมาร์กก็มีรายงานว่าทางการเข้าแทรกแซงควบรวมสถาบันการเงินในประเทศเช่นเดียวกัน
แผนการช่วยชีวิตวาโคเวียภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลคราวนี้ เป็นเครื่องแสดงถึงกระแสการกระชับรวมศูนย์กิจการในภาคการธนาคารของสหรัฐฯ ที่กำลังดิ้นรนให้รอดพ้นการพังทลายจากการขาดทุนจำนวนมหาศาลหลังฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์อันนำไปสู่ภาวะสินเชื่อตึงตัวอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา
วาโคเวีย ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับสี่ของสหรัฐฯเมื่อวัดจากสินทรัพย์ เกือบจะล้มครืนลง และราคาหุ้นแทบไม่เหลือมูลค่าอยู่เลย จากการเทขายของนักลงทุนที่คลายความเชื่อมั่นในธนาคาร ซึ่งนับเนื่องมาจากการขาดทุนในวิกฤตซับไพรม์เมื่อต้นปีนี้
การเทคโอเวอร์วาโคเวียได้รับการเปิดเผยออกมา เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯจะเริ่มพิจารณาและในที่สุดก็ไม่อนุมัติแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์
หลายฝ่ายหวังไว้สูงมากว่ารัฐสภาจะผ่านมาตรการกอบกู้ระบบการเงินคราวนี้ได้โดยง่ายดาย ภายหลังจากในวันอาทิตย์(28ก.ย.) พวกผู้นำของเดโมแครตและรีพับลิกันในรัฐสภา สามารถตกลงกับคณะรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ว่าจะสนับสนุนหลักการของแผนฟื้นฟูภาคการเงิน
รัฐบาลเน้นว่าการกอบกู้พวกสถาบันการเงินที่กำลังง่อนแง่นจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่อยู่อาศัยนั้น มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมที่อาจจะทรุดลงจากแรงฉุดของภาคการเงินในไม่ช้า
สำหรับในกรณีวาโคเวีย บรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางซึ่งเป็นหน่วยงานประกันและกำกับดูแลภาคธนาคาร แถลงในระหว่างประกาศการเข้าเทคโอเวอร์ของซิตี้กรุ๊ปว่า วาโคเวียไม่ได้ล้มละลายแต่อย่างใด
ภายใต้สัญญาเทคโอเวอร์ดังกล่าว รัฐบาลจะได้รับหุ้นของซิตี้กรุ๊ป เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการรับประกันสินทรัพย์มีปัญหาจำนวนมากของวาโคเวียที่เกี่ยวข้องภาคอสังหาริมทรัพย์
ส่วนซิตี้กรุ๊ปจะต้องจ่ายเงิน 2,160 ล้านดอลลาร์ในรูปของหุ้น เพื่อซื้อกิจการส่วนที่เป็นธนาคารของวาโคเวีย รวมทั้งตราสารหนี้บุริมสิทธิ์และไร้สิทธิ์ทั้งหลายของวาโคเวีย คอร์ปอเรชั่น ในขณะเดียวกันซิตี้กรุ๊ปก็จะต้องรับภาระหนี้ 42,000 ล้านดอลลาร์ จากการขาดทุนในสินเชื่อที่วาโคเวียปล่อยออกไป 312,000 ล้านดอลลาร์ด้วย ส่วนบรรษัทรับประกันเงินฝาก จะดูดซับการขาดทุนที่เกินจำนวนนั้นไปแล้ว
ซิตี้กรุ๊ปจะต้องให้หุ้นบุริมสิทธิ์รวมทั้งวอร์แรนท์แก่บรรษัทฯเป็นมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อชดเชยการที่เข้ามาแบกรับความเสี่ยงให้ ซึ่งทางซิตี้กรุ๊ปก็ประกาศว่าจะออกหุ้นสามัญเพื่อระดมทุน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อนำมาซื้อวาโคเวีย
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ออกมาประกาศว่าได้ใส่รายชื่อของทั้งซิตี้กรุ๊ป และ วาโคเวีย เข้าไปใน "เครดิตวอทช์" ซึ่งมีความหมายให้ระมัดระวังผลในทางลบที่อาจตามมา
อย่างไรก็ตามเอสแอนด์พีก็บอกว่า การควบรวมวาโคเวียครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงในการประกอบการของซิตี้กรุ๊ปเพิ่มขึ้น "เนื่องจากเป็นการควบรวมเอาส่วนการธนาคารที่ "ไร้ปัญหา" เข้าไป"
การควบรวมคราวนี้ยังจะทำให้ซิตี้กรุ๊ปกลายเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯเมื่อวัดจากยอดจำนวนเงินฝาก
ทว่าราคาหุ้นของซิตี้กรุ๊ปก็ร่วงลง 11.9% มาอยู่ที่ 17.75 ดอลลาร์เพราะการเทขายหนักหน่วงของนักลงทุนหลังจากสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติแผนตามคำขอของรัฐบาล และดึงให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลงไป 777.68 จุด อันเป็นการร่วงลงในวันเดียวสูงที่สุดเท่าเคยมีมาของดัชนีตัวนี้
หุ้นของวาโคเวียเองก็เกือบไม่ค่าอันใดเพราะควงสว่านลงมา 81% เหลือแค่ 1.84 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น
ทางซิตี้กรุ๊ปกล่าวว่าการควบรวมนี้จะทำให้เกิดธนาคารสำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีส่วนแบ่งตลาดถึง 9.8% ในตลาดเงินฝากของประเทศโดยมีเงินฝากมั้งหมด 1,300,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนวาโคเวียก่อนที่จะประสบปัญหานั้นมีสินทรัพย์ที่เป็นเงินฝาก, สินเชื่อ หลักทรัพย์และอื่น ๆอยู่ราว 812,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ตามการรายงานเมื่อเดือนมิถุนายน
บรรษัทประกันเงินฝากกล่าว่าการเทคโอเวอร์ครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารกลางสหรัฐฯและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เฮนรี พอลสัน และก็ได้หารือกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชแล้ว
นับตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นของวาโคเวียร่วงไป 73% และช่วงที่หนักหนามากที่สุดก็คือหลายวันที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนตื่นตระหนกว่าแบงก์จะล้มลงมาเหมือนอย่างวอชิงตัน มิวฌวล (วามิว) ซึ่งเป็นคู่แข่งของวาโคเวียมาตลอด
วามิวนั้นถูกทางการเข้ายึดอำนาจการบริหารอย่างสายฟ้าแลบ จากนั้นก็ขายให้แก่เจพีมอร์แกน เชสไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว กรณีของวามิวกลายเป็นการพังครืนของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
บรรษัทประกันเงินฝากออกมาเน้นว่าผู้ฝากเงินไว้กับวาโคเวียจะได้รับการคุ้มครองเต็มที่ ภายใต้ระเบียบของรัฐบาลกลางที่ว่าบัญชีเงินฝากไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์จะได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวน รวมทั้งธุรกรรมใด ๆที่ไม่ส่งผลกระทบถึงกองทุนประกันเงินฝากก็จะได้รับการคุ้มครองไปด้วย
อนึ่งในวันจันทร์ นอกจากซิตี้กรุ๊ปเทคโอเวอร์กิจการธนาคารของวาโคเวียแล้ว มอร์แกนสแตนลีย์ก็ยังประกาศว่าได้ขายหุ้น 21% ของตนเองมูลค่า 9,000 ล้านดอลลาร์ให้กับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ธนาคารอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นแล้ว ส่วนเลห์แมน บราเธอร์สที่กำลังอยู่ใต้ความคุ้มครองของกฎหมายล้มละลาย ก็ขายนิวเบอร์เกอร์ เบอร์แมน หน่วยงานบริหารสินทรัพย์ที่ทำกำไรสูง ออกไปแล้วเป็นเงิน 2,150 ล้านดอลลาร์
"ดูเหมือนว่าตอนนี้ในวงการการเงินสหรัฐฯจะเหลือธนาคารอยู่สองแบบ ก็คือ แบบที่หนึ่งอยู่รอดและได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น และอีกแบบก็คือ ธนาคารที่ถูกสถาบันการเงินอื่นกลืนกินเข้าไปและไม่สามารถจะเติบโตได้อีก" แมท แมคคอร์มิค ผู้จัดการพอร์ทโฟลิโอ ของบาห์ลแอนด์เกเนอร์ เคาน์เซล ในเมืองซินซินเนติกล่าว
กรณีของมอร์แกน สแตนลีย์นั้น มิตซูบิชิจะซื้อหุ้นสามัญของมอร์แกน 9.9% ที่ 25.25ดอลลาร์ต่อหนึ่งหุ้นหรือคิดเป็นเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ และต่อไปมิตซูบิชิก็จะเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพอีก 6,000 ล้านดอลลาร์ที่ 29 ดอลลาร์ต่อหนึ่งหุ้น โดยที่ราคาที่ธนาคารญี่ปุ่นได้ไปนี้ถูกกว่าราคาตลาดอย่างมาก
และในตอนนี้ตลาดก็เต็มไปด้วยข่าวว่าธนาคารหลายแห่งทั้งนอกและในสหรัฐฯกำลังประสบกับปัญหาอันเนื่องมาจากราคาหุ้นที่ทรุดลงเรื่อยมา เนชั่นแนล ซิตี้คอร์ปราคาหุ้นลดลงมากกว่า 60% เหลือแค่ 1.36 ดอลลาร์เท่านั้น ขณะที่โซเวอเรน แบงคอร์ป อิงค์ราคาหุ้นก็ลดลง 72% มาอยู่ที่มากกว่า 2 ดอลลาร์ต่อหุ้นเพียงเล็กน้อย
ส่วนด้านฟากฝั่งยุโรป ธนาคารแบรดฟอร์ด แอนด์ บิงลีย์ ก็ถูกทางการอังกฤษควบรวมไปแล้ว เช่นเดียวกับ ฟอร์ทิส กลุ่มธนาคารและบริการประกันยักษ์ใหญ่ก็เพิ่งถูกรัฐบาลในกลุ่มเบเนลักซ์ยึดอำนาจการบริหาร ด้าน ไฮโป เรียล เอสเตท สถาบันปล่อยกู้รายใหญ่ของเยอรมนีก็ขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาลเยอรมนีไปแล้ว ขณะที่เดกเซีย ธนาคารสัญชาติเบลเยียม-ฝรั่งเศส ก็มีราคาหุ้นร่วงลงจนถึงขั้นว่าอาจต้องการการอัดฉีดเงินฉุกเฉินในไม่ช้า ที่ไอซ์แลนด์, รัสเซีย และเดนมาร์กก็มีรายงานว่าทางการเข้าแทรกแซงควบรวมสถาบันการเงินในประเทศเช่นเดียวกัน
