เอสเอสไอ ขยายธุรกิจสู่ตลาดเหล็กแผ่นไฮ-เอนด์ ทุ่มทุนเกือบ 3.5 พันล้านบาท ถือหุ้นใหญ่ “เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย” กว่า 50% พร้อมผนึกกำลังผู้ถือหุ้นเดิมชาวญี่ปุ่น “เจเอฟอี-มารูเบนิ” เชื่อมโยงอุตสาหกรรมขั้นกลางน้ำ-ปลายน้ำ เสริมความมั่นคงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หวังสร้างความแข็งแกร่ง-ยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยให้ทัดเทียมผู้ผลิตที่สำคัญของโลก
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการลงทุนในบริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TCRSS ว่า ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการซื้อหุ้นของบมจ. เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จากผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวญี่ปุ่น 2 ราย คือ บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น จำกัดเรียบร้อยแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 335,790,500 หุ้น คิดเป็นจำนวนเงินลงทุนรวม 3,453,256,973.22 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินภายในประเทศ โดยการซื้อหุ้นครั้งส่งผลทำให้เอสเอสไอถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนรวมทั้งสิ้น 50.15% บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด 22.4% บริษัท มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด 22.2% ส่วนที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย
นายวิน กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมความมั่นคงทางด้านปริมาณการผลิต และการตลาดของเอสเอสไอให้มีช่องทางในการกระจายสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มมากขึ้น และมีความยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้งสามารถร่วมกับบมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทยบริหารจัดการการจัดซื้อวัตถุดิบ สินค้าคงคลัง และการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
“การบริหารงานภายใต้ผู้ถือหุ้นหลักทั้ง 3 รายนั้น เอสเอสไอจะเพิ่มบทบาทในการบริหารจัดการ บมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทยมากขึ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวญี่ปุ่นทั้งสองรายคือ เจเอฟอี และมารูเบนินั้น ยังคงให้การสนับสนุนทั้งในด้านเทคโนโลยี การเงิน การตลาด การส่งเสริมการขาย ตลอดจนการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง”
ขณะเดียวกันลูกค้าทั้งในส่วนของเอสเอสไอ และบมจ. เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย รวมถึงลูกค้ารายใหม่จะได้รับผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพมาตรฐานที่ขยายขอบข่ายครอบคลุมถึงกันเพิ่มมากขึ้น ภายใต้ความร่วมมือในการบริหารจัดการที่เปี่ยมประสิทธิภาพของทั้งสองบริษัท ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในธุรกิจของลูกค้าให้ยั่งยืนและนับได้ว่าเป็นการทำธุรกิจที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน
สำหรับการลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยให้เป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน และทัดเทียมประเทศผู้ผลิตเหล็กรายสำคัญของโลก เนื่องจากการลงทุนของเอสเอสไอในโครงการต่อเนื่องต่างๆ ในอุตสาหกรรมเหล็กแผ่น อาทิ เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบ ท่าเรือน้ำลึกสำหรับขนส่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจวิศวกรรมบริการ จะเกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กทรงแบนที่มีขบวนการผลิตต่อเนื่องในแนวดิ่งจากขั้นกลางน้ำถึงขั้นปลายน้ำ ทำให้ฐานการผลิตของกลุ่มบริษัทฯ ที่อำเภอบางสะพานกลายเป็นฐานการผลิตเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษ (High-end) ครบวงจรแห่งเดียวในภูมิภาค
“ตลาดเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษในอาเซียนยังมีแนวโน้มการเติบโตที่สูง และอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี สินค้าของเอสเอสไอมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนามาตรฐานการครองชีพในหลายด้าน อาทิ การพลังงาน การคมนาคม ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ไอที เฟอร์นิเจอร์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งการบริโภคจะเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปกับมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นของประเทศต่างๆ ในอาเซียน” นายวิน กล่าว
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการลงทุนในบริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TCRSS ว่า ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการซื้อหุ้นของบมจ. เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จากผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวญี่ปุ่น 2 ราย คือ บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น จำกัดเรียบร้อยแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 335,790,500 หุ้น คิดเป็นจำนวนเงินลงทุนรวม 3,453,256,973.22 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินภายในประเทศ โดยการซื้อหุ้นครั้งส่งผลทำให้เอสเอสไอถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนรวมทั้งสิ้น 50.15% บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด 22.4% บริษัท มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด 22.2% ส่วนที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย
นายวิน กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมความมั่นคงทางด้านปริมาณการผลิต และการตลาดของเอสเอสไอให้มีช่องทางในการกระจายสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มมากขึ้น และมีความยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้งสามารถร่วมกับบมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทยบริหารจัดการการจัดซื้อวัตถุดิบ สินค้าคงคลัง และการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
“การบริหารงานภายใต้ผู้ถือหุ้นหลักทั้ง 3 รายนั้น เอสเอสไอจะเพิ่มบทบาทในการบริหารจัดการ บมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทยมากขึ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวญี่ปุ่นทั้งสองรายคือ เจเอฟอี และมารูเบนินั้น ยังคงให้การสนับสนุนทั้งในด้านเทคโนโลยี การเงิน การตลาด การส่งเสริมการขาย ตลอดจนการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง”
ขณะเดียวกันลูกค้าทั้งในส่วนของเอสเอสไอ และบมจ. เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย รวมถึงลูกค้ารายใหม่จะได้รับผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพมาตรฐานที่ขยายขอบข่ายครอบคลุมถึงกันเพิ่มมากขึ้น ภายใต้ความร่วมมือในการบริหารจัดการที่เปี่ยมประสิทธิภาพของทั้งสองบริษัท ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในธุรกิจของลูกค้าให้ยั่งยืนและนับได้ว่าเป็นการทำธุรกิจที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน
สำหรับการลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยให้เป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน และทัดเทียมประเทศผู้ผลิตเหล็กรายสำคัญของโลก เนื่องจากการลงทุนของเอสเอสไอในโครงการต่อเนื่องต่างๆ ในอุตสาหกรรมเหล็กแผ่น อาทิ เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบ ท่าเรือน้ำลึกสำหรับขนส่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจวิศวกรรมบริการ จะเกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กทรงแบนที่มีขบวนการผลิตต่อเนื่องในแนวดิ่งจากขั้นกลางน้ำถึงขั้นปลายน้ำ ทำให้ฐานการผลิตของกลุ่มบริษัทฯ ที่อำเภอบางสะพานกลายเป็นฐานการผลิตเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษ (High-end) ครบวงจรแห่งเดียวในภูมิภาค
“ตลาดเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษในอาเซียนยังมีแนวโน้มการเติบโตที่สูง และอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี สินค้าของเอสเอสไอมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนามาตรฐานการครองชีพในหลายด้าน อาทิ การพลังงาน การคมนาคม ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ไอที เฟอร์นิเจอร์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งการบริโภคจะเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปกับมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นของประเทศต่างๆ ในอาเซียน” นายวิน กล่าว