ผู้จัดการรายวัน - ผู้ว่าแบงก์ชาติเผยยินดีทำงานร่วมกับ รมว.คลังคนใหม่ไม่ว่าจะเป็น "สุชาติ" หรือไม่ เสนอช่วยดูแลภาวะการเงินและเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว และความผันผวนค่อนข้างมาก เผยสภาพคล่องในระบบยังไม่มีปัญหา ระบุเงินบาทแข็งแต่เป็นไปตามทิศทางเดียวกับภูมิภาค ด้านสุชาติขอเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจตามหมอเลี้ยบ
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กระแสข่าวนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รักษาการ รมช.คลังจะขึ้นเป็น รมว.คลัง ว่า ธปท.ยินดีร่วมงานกับบุคคลใดก็ได้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งนี้ แม้มีบางฝ่ายมองว่าอาจมีมุมมองต่างกันบ้าง อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วเมื่อ รมว.คลังคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ ธปท.จะเข้าไปรายงานข้อมูลและงานต่างๆ ที่ยังค้างคาอยู่ รวมถึงแผนงานในระยะต่อไปด้วย จึงเชื่อว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหาอะไร
โดยเรื่องแรกที่อยากฝากให้ รมว.คลังคนใหม่ช่วยดู คือ ภาวะการเงินและเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว และความผันผวนค่อนข้างมาก แม้ผลกระทบกับสถาบันการเงินไทยค่อนข้างน้อย แต่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันภาคการส่งออกเริ่มชะลอตัวบ้างเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แต่หากดูเป็นรายไตรมาส โดยไตรมาสที่สองเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ยังลดลงไม่มากนัก แต่ก็ต้องไม่ประมาทและต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
นางธาริษายังกล่าวถึงวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐว่า แม้ ธปท.ไม่ได้สำรวจว่าบริษัทที่เป็นลูกค้าธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลกระทบจากการเข้าไปทำธุรกรรมกับเลห์แมนฯ แต่เชื่อว่าสถาบันการเงินเหล่านี้จะติดตามดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดี และหลังจากภาวะตลาดการเงินสหรัฐเกิดปัญหาขึ้น ธนาคารพาณิชย์ไทยได้รับผลกระทบประมาณ 7,000 ล้านบาท หรืออาจมีการเพิ่มขึ้นกว่านี้เล็กน้อย เพราะไม่มั่นใจกับตราสารที่ถืออยู่ จึงมีการตัดขายออกไปบ้าง เมื่อเทียบกับสินเชื่อ เงินลงทุนและภาระผูกพันต่างๆ ก็ยังถือว่าน้อยมาก
นอกจากนี้ที่ผ่านมา ธปท.เองก็ไม่ได้นำทรัพย์สินไปลงทุนหรือทำธุรกรรมเกี่ยวกับเลห์แมนฯ และมั่นใจว่าขณะนี้สภาพคล่องในระบบยังเพียงพอ จึงไม่จำเป็นที่ ธปท.ต้องไปอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ นางธาริษากล่าวว่า ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เงินบาทยังคงเป็นไปตามทิศทางเดียวกับค่าเงินในประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย โดยสาเหตุหลักเกิดจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐบางแห่งที่มีปัญหา ทำให้มีสัญญาที่ประเทศคู่ค้าทำร่วมกันมีการส่งมอบเงินกัน ถือเป็นเรื่องปกติ จึงยืนยันว่าธปท.จะดูแลเงินบาทเฉพาะเมื่อเกิดความผันผวนมากเกินไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ยังไม่มีภาวะเงินทุนจากต่างประเทศไหลออกมากนัก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมามากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมา แต่ก็เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในประเทศแถบเอเชีย อย่างไรก็ตามเงินที่ต่างชาติขายหุ้นออกมานั้นไม่ได้แลกเงินออกไปทั้งหมด ยังคงเหลืออยู่ในไทยบ้าง
ส่วนที่ราคาน้ำมันพุ่งถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะส่วนหนึ่งค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ราคาเร่งตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งความต้องการใช้น้ำมันของจีนยังอยู่ในปริมาณที่สูง ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันบางประเทศลดกำลังการผลิตลงแต่เป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น
***"สุชาติ" ขอมุ่งกระตุ้น ศก.
สำหรับแคนดิเดตตำแหน่ง รมว.คลัง ในรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ นายโอฬาร ไชยประวัติ นายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตรและอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิยช์ กับ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รักษาการ รมช.คลัง โดยนายสุชาติเปิดเผยวานนี้ (23 ก.ย.) ว่าได้รับการทาบทามเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี จึงได้ตอบรับการทำงานร่วมกับ ครม.ใหม่แล้ว แต่ยังไม่ขอให้รายละเอียดว่าเป็นตำแหน่ง รมว.คลัง หรือ รมช.คลัง ต้องให้รอพระบรมราชโองการ แต่ไม่ว่าตำแหน่งใดตนก็พร้อมทำงานเพื่อเข้ามาช่วยประเทศชาติ
นายสุชาติกล่าวว่า งานเร่งด่วนที่ต้องเข้ามาสานต่อของกระทรวงการคลัง คือการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการลงทุน การบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่จะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในปลายปีนี้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงบ้าง รัฐบาลจึงต้องเร่งออกมากระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ทั้งการเดินหน้าโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท โดยภายในสิ้นปีนี้รัฐบาลน่าจะออกมาประกาศแผนการลงทุนเมกะโปรเจกต์ 5 ด้าน พร้อมแผนการระดมเงินลงทุนที่ชัดเจน
"รัฐบาลต้องเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ทั้งงบลงทุนและงบรายจ่ายประจำ เพื่อมาชดเชยภาคการส่งออกที่จะชะลอ" นายสุชาติกล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ดีที่สถานการณ์การเมืองในประเทศขณะนี้เริ่มคลี่คลายและมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนและประชาชน กลับมามีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยมากขึ้นด้วย
เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ฝากงาน รมว.คลังคนใหม่ให้สานต่อการเร่งใช้จ่ายงบประมาณปี 2552 จำนวน 1.8 ล้านล้าน ให้ได้มากกว่าเป้า เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเร่งขับเคลื่อนเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าต้องเร่งหาแหล่งเงินทุนและผู้รับเหมาก่อสร้าง
นอกจากนี้ ต้องปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบคือ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 30% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บอยู่ที่ 10-37% เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันต้องมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 7% จนสิ้นปีงบประมาณ 2552 จะต้องปรับขึ้นไปเก็บที่อัตรา 10%.
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กระแสข่าวนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รักษาการ รมช.คลังจะขึ้นเป็น รมว.คลัง ว่า ธปท.ยินดีร่วมงานกับบุคคลใดก็ได้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งนี้ แม้มีบางฝ่ายมองว่าอาจมีมุมมองต่างกันบ้าง อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วเมื่อ รมว.คลังคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ ธปท.จะเข้าไปรายงานข้อมูลและงานต่างๆ ที่ยังค้างคาอยู่ รวมถึงแผนงานในระยะต่อไปด้วย จึงเชื่อว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหาอะไร
โดยเรื่องแรกที่อยากฝากให้ รมว.คลังคนใหม่ช่วยดู คือ ภาวะการเงินและเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว และความผันผวนค่อนข้างมาก แม้ผลกระทบกับสถาบันการเงินไทยค่อนข้างน้อย แต่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันภาคการส่งออกเริ่มชะลอตัวบ้างเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แต่หากดูเป็นรายไตรมาส โดยไตรมาสที่สองเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ยังลดลงไม่มากนัก แต่ก็ต้องไม่ประมาทและต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
นางธาริษายังกล่าวถึงวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐว่า แม้ ธปท.ไม่ได้สำรวจว่าบริษัทที่เป็นลูกค้าธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลกระทบจากการเข้าไปทำธุรกรรมกับเลห์แมนฯ แต่เชื่อว่าสถาบันการเงินเหล่านี้จะติดตามดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดี และหลังจากภาวะตลาดการเงินสหรัฐเกิดปัญหาขึ้น ธนาคารพาณิชย์ไทยได้รับผลกระทบประมาณ 7,000 ล้านบาท หรืออาจมีการเพิ่มขึ้นกว่านี้เล็กน้อย เพราะไม่มั่นใจกับตราสารที่ถืออยู่ จึงมีการตัดขายออกไปบ้าง เมื่อเทียบกับสินเชื่อ เงินลงทุนและภาระผูกพันต่างๆ ก็ยังถือว่าน้อยมาก
นอกจากนี้ที่ผ่านมา ธปท.เองก็ไม่ได้นำทรัพย์สินไปลงทุนหรือทำธุรกรรมเกี่ยวกับเลห์แมนฯ และมั่นใจว่าขณะนี้สภาพคล่องในระบบยังเพียงพอ จึงไม่จำเป็นที่ ธปท.ต้องไปอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ นางธาริษากล่าวว่า ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เงินบาทยังคงเป็นไปตามทิศทางเดียวกับค่าเงินในประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย โดยสาเหตุหลักเกิดจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐบางแห่งที่มีปัญหา ทำให้มีสัญญาที่ประเทศคู่ค้าทำร่วมกันมีการส่งมอบเงินกัน ถือเป็นเรื่องปกติ จึงยืนยันว่าธปท.จะดูแลเงินบาทเฉพาะเมื่อเกิดความผันผวนมากเกินไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ยังไม่มีภาวะเงินทุนจากต่างประเทศไหลออกมากนัก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมามากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมา แต่ก็เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในประเทศแถบเอเชีย อย่างไรก็ตามเงินที่ต่างชาติขายหุ้นออกมานั้นไม่ได้แลกเงินออกไปทั้งหมด ยังคงเหลืออยู่ในไทยบ้าง
ส่วนที่ราคาน้ำมันพุ่งถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะส่วนหนึ่งค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ราคาเร่งตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งความต้องการใช้น้ำมันของจีนยังอยู่ในปริมาณที่สูง ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันบางประเทศลดกำลังการผลิตลงแต่เป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น
***"สุชาติ" ขอมุ่งกระตุ้น ศก.
สำหรับแคนดิเดตตำแหน่ง รมว.คลัง ในรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ นายโอฬาร ไชยประวัติ นายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตรและอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิยช์ กับ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รักษาการ รมช.คลัง โดยนายสุชาติเปิดเผยวานนี้ (23 ก.ย.) ว่าได้รับการทาบทามเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี จึงได้ตอบรับการทำงานร่วมกับ ครม.ใหม่แล้ว แต่ยังไม่ขอให้รายละเอียดว่าเป็นตำแหน่ง รมว.คลัง หรือ รมช.คลัง ต้องให้รอพระบรมราชโองการ แต่ไม่ว่าตำแหน่งใดตนก็พร้อมทำงานเพื่อเข้ามาช่วยประเทศชาติ
นายสุชาติกล่าวว่า งานเร่งด่วนที่ต้องเข้ามาสานต่อของกระทรวงการคลัง คือการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการลงทุน การบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่จะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในปลายปีนี้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงบ้าง รัฐบาลจึงต้องเร่งออกมากระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ทั้งการเดินหน้าโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท โดยภายในสิ้นปีนี้รัฐบาลน่าจะออกมาประกาศแผนการลงทุนเมกะโปรเจกต์ 5 ด้าน พร้อมแผนการระดมเงินลงทุนที่ชัดเจน
"รัฐบาลต้องเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ทั้งงบลงทุนและงบรายจ่ายประจำ เพื่อมาชดเชยภาคการส่งออกที่จะชะลอ" นายสุชาติกล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ดีที่สถานการณ์การเมืองในประเทศขณะนี้เริ่มคลี่คลายและมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนและประชาชน กลับมามีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยมากขึ้นด้วย
เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ฝากงาน รมว.คลังคนใหม่ให้สานต่อการเร่งใช้จ่ายงบประมาณปี 2552 จำนวน 1.8 ล้านล้าน ให้ได้มากกว่าเป้า เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเร่งขับเคลื่อนเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าต้องเร่งหาแหล่งเงินทุนและผู้รับเหมาก่อสร้าง
นอกจากนี้ ต้องปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบคือ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 30% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บอยู่ที่ 10-37% เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันต้องมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 7% จนสิ้นปีงบประมาณ 2552 จะต้องปรับขึ้นไปเก็บที่อัตรา 10%.