ผู้สื่อข่าวรายงานจากบ้านพักของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่หมู่บ้านเบเวอร์ลี ฮิลล์ ถนนแจ้งวัฒนะว่า เมื่อเวลา 9.20 น. นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน พร้อมด้วยแกนนำพรรคประกอบด้วยนายพินิจ จารุสมบัติ ว่าที่ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี โดยนายสุวิทย์ กล่าวว่า เป็นการมาอวยพรที่นายสมชายได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และใช้เวลาเข้าพบนานกว่า 1 ชั่วโมง
จากนั้นนายสมชาย เปิดเผยว่า นายสุวิทย์ และพวกมาแสดงความยินดีที่ตนได้รับตำแหน่งนายกฯ ส่วนการเพิ่มโควต้ารัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดินนั้น ในหลักการที่ให้ไว้ คงไม่มี ส่วนเรื่องการจัด ครม. ก็ดำเนินการแล้ว แต่จะเพิ่มเก้าอี้ตามที่เป็นข่าวหรือไม่ ยังพูดไม่ได้คาดว่า 2-3 วันคงเสร็จ
ส่วนกรณีที่ 40 ส.ส. ของพรรคพลังประชาชน ทำหนังสือคัดค้านไม่ให้นายสุวิทย์ กลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกนั้น คงเป็นความเข้าใจผิดกัน ตนไม่อยากให้มีความรู้สึกที่ไม่ดี เดี๋ยวจะไปทำความเข้าใจกัน
**ยอมรับต่อสายคุยแกนนำพันธมิตรฯ
ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. นายสมชาย ได้เดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง เรื่องแนวทางปฏิบัติการกำหนดอัตรากำลังลัง และการแต่งตั้งข้าราชการในระหว่างปรับใช้ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 โดยใช้เวลาเข้าร่วมประชุมประมาณ ครึ่งชั่วโมง จากนั้นนายกฯ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า มากล่าวเปิดเฉยๆในฐานะนายกฯยังทำงานไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ เพียงแค่มาดูการประชุม
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ต่อสายคุยกับพันธมิตรฯเมื่อไร นายสมชาย กล่าวว่า บางครั้งอย่างที่พูดเราทุกๆ คนเป็นคนไทยด้วยกัน ตนคุยได้กับทุกคน ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาว่าจะโกรธ จะเกลียดกัน เราเข้าใจว่า เรามีความคิดแตกต่างกัน ก็ยังสามารถพูดคุยกันได้ทุกระดับ ทุกคน
เมื่อถามว่าได้คุยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ใช่หรือไม่ มีเงื่อนไขอย่างไร นายสมชายกล่าวว่า คิดว่าอยู่ในขั้นตอนของการทำงาน เมื่อถามย้ำว่าได้คุยกับนายสนธิแล้วใช่หรือไม่ บรรยากาศดีหรือไม่ นายสมชาย ไม่ตอบ แต่พยักหน้า เมื่อถามว่าพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ระบุว่าพร้อมเจรจา ทางรัฐบาลพร้อมหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า เริ่มทำงานก่อน บางเรื่องต้องคุยกันสั้น บางเรื่องต้องคุยกันยาว
**อังคารนี้ประชุมครม.ที่ดอนเมือง
ต่อมาในเวลา 13.30น. นายสมชาย ได้เดินทางไปยังห้องรับรองพิเศษ สนามบินดอนเมืองเพื่อตรวจความพร้อมสถานที่ประชุม ครม. และห้องทำงานชั่วคราวแทนที่ทำเนียบรัฐบาลโดยระหว่างการทดลองนั่งเก้าอี้ในห้องทำงานชั่วคราว นายสมชาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เก้าอี้มั่นคงดี จากนี้ไปก็มีที่ทำงานเป็นหลักแหล่งแล้ว ไม่ต้องไปใช้ที่กองบัญชาการกองทัพไทย อังคารนี้จะประชุมครม.ที่นี่ ห้องนักข่าวก็มี
ทั้งนี้ การประชุมครม. อังคารนี้ (23 ก.ย.) จะเป็นการประชุมครม.รักษาการ แต่กำลังให้ตรวจสอบว่า ตนจะเข้าประชุมไม่ได้แล้ว เนื่องจากได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯแล้ว ถือว่าต้องหมดจากตำแหน่งเดิม แต่ครม.รักษาการ ยังประชุมได้ ในที่ประชุมตามกฎหมายบอกว่า ถ้าหากนายกฯไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมมอบหมายให้รองนายกฯ ท่านใดท่านหนึ่งทำหน้าที่แทน ซึ่ง ลำดับรองนายกฯ ที่ต่อจากตนคือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แต่วิธีการที่ครม.จะมอบหมายงานรองนายกฯ คนใด ไม่ได้บอกว่าท่านไหน อาจจะเป็นคนที่ 1-2-3 หรือ 5 ก็ได้
นายสมชาย กล่าวว่า จะใช้ดอนเมืองเป้นสถานที่ทำงาน จนกว่าทำเนียบฯ จะสวยงามดังเดิม และถ้าว่างเมื่อไร ก็จะกลับไป
นายสมชายยังกล่าวถึง ตำแหน่งรมว.กลาโหม และรมว.ต่างประเทศ ว่า กำลังพิจารณาอยู่ เมื่อถามว่า ตำแหน่งรมว.กลาโหม จะควบเองหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ขอดูก่อน อย่าเพิ่งพูด ยังไม่จบ ไว้พูดตอนจบดีกว่า
เมื่อถามว่าในส่วนของพลังประชาชน ค่อนข้างจะเป็นปัญหา นายสมชาย กล่าวว่า เวลาจัดครม. ก็มีปัญหาจุกจิกบ้าง ซึ่งตนจะยึดหลักเอาคนที่มีความรู้ ความสามารถ เหมาะสมมาทำงานให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และคนในวงการเมืองด้วย
ส่วนเรื่องการครม.เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ เป็นเรื่องของเลขาธิการครม. เป็นผู้ประสาน ซึ่งเลขาฯ ยังไม่ได้รายงานมา ส่วนที่มีข่าวว่า จะเข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั้นยังพูดอะไรไม่ได้ จากนั้นนายสมชายได้เดินทางกลับบ้าน และจะเดินทางเพื่อเข้าเฝ้า สมเด็จเกี่ยว อุปเสโณ เจ้าอาวาสวัดสระเกศวรมหาวิหารต่อ
ผู้ปฏิบัตหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
ต่อมา เวลา 16.00 น. นายสมชาย ได้เดินทางไปวัดสระเกศวรมหาวิหาร เพื่อนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ขอพรในโอกาสที่ได้รับตำแหน่งนายกฯ โอกาสนี้ ได้เดินขึ้นภูเขาทอง เพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และได้ห่มผ้าสีแดง รอบเจดีย์ด้วย
ทั้งนี้ นายกฯได้เดินไปยังหลักหมุดวิเศษ ด้านข้างเจดีย์ เพื่ออธิฐานขอพรตามความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ที่หมุดวิเศษนี้ ใครอธิฐานขอสิ่งใดมักได้ตามที่ปรารถนา แต่นายกฯไม่เปิดเผยว่าได้อธฺฐานขออะไรไปบ้าง หลังจากนั้นนายกฯ ได้ขอเวลาส่วนตัว ไม่ให้นักข่าวติดตาม โดยบอกว่า เวลา 10.00 น.วันนี้ จะไปตรวจพระเมรุ ที่ท้องสนามหลวง
**"เลี้ยบ"ห่วงศก.หนุนเจรจาพันธมิตรฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่นายสมชาย มีการเจรจากับแกนนำพันธมิตรฯ ว่า เป็นเรื่องที่ดี และหากหารือกันจนได้ข้อสรุป ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ประเทศไทยต้องเร่งสร้างฐานเศรษฐกิจให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อป้องกันผลกระทบจากเศรษฐกิจภายนอกประเทศ
นพ.สุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า หากรมว.คลัง คนใหม่เข้ามา ต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2551-2552 เพื่อนำไปใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเรียกความเชื่อมั่น
**รอดูท่าทีของนายกฯ ต่อทักษิณ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสมชาย แสดงจุดยืนหลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกฯ ที่จะสร้างความสมานฉันท์ในชาติ ว่า เป็นเป้าหมายที่คนไทยทุกคนอยากเห็น ถ้ามีการดำเนินการอย่างจริงจัง ก็จะเป็นการเริ่มต้นในการคลี่คลายวิกฤตได้ แต่ที่สำคัญคือสิ่งที่เป็นเนื้อหา สาระ ที่ต้องพูดคุยกัน เพราะปมของความขัดแย้งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม โดยต้องทบทวนดูว่ามีประเด็นอะไรบ้าง ที่เป็นปมความขัดแย้งที่ต้องเร่งหาข้อยุติ
"นายกฯ ต้องเร่งสรุป เพื่อประมวลออกมาและพิสูจน์ให้เห็น ถ้าไม่สามารถตอบได้ว่าอะไรคือความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากรัฐบาลเดิม เราก็ไม่เห็นคำตอบ จึงอยากเห็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจน ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือเรื่องที่เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลที่ผ่านมา ว่าจะแก้ไขอย่างไร ผมก็รอฟังนายกฯ
ทั้งนี้ สิ่งแรกที่คนไทยอยากเห็นคือ ครม. ที่ประชาชนยอมรับได้ ไม่มีเรื่องต่อรองและแย่งชิงผลประโยชน์ เร่งทำนโยบายที่เป็นรูปธรรม ทั้งนโยบายสานต่อรัฐบาลเดิม โดยเฉพาะนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลง ส่วนแผนที่อยากเห็นชัดเจนเร่งด่วนคือ เรื่องน้ำท่วม ที่นอกเหนือจากการช่วยเหลือเฉพาะหน้าแล้ว จะมีแผนในการฟื้นฟูและการชดเชยค่าเสียหายที่ทันต่อเหตุการณ์ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการประกอบอาชีพก่อนที่จะสายเกินไป ส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ก็ได้ย้ำไปแล้ว ในแง่การบริหารความเชื่อมั่น การบริหารสภาพคล่อง การวางแผนด้านการส่งออก ซึ่งจะต้องประเมินผลกระทบจากการล้มละลายของสถาบันการเงินต่างๆ รวมทั้งผลกระทบที่มาถึงกองทุนต่างๆ ในประเทศด้วย และการลงทุนภาครัฐเอง
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ และ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยานายกฯ เข้ามามีบทบาทในการจัด ครม.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นความรับผิดชอบของนายกฯ ใครจะมาเสนอหรือมาช่วยจัดโผอะไรก็แล้วแต่ ก็ขึ้นอยู่กับนายกฯ ต้องพิสูจน์ภาวะการเป็นผู้นำ การจะมีอดีตนายกฯ หรือหลังบ้านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อยู่ที่นายกฯ จะพิจารณาอย่างไร
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มนปช. ที่ท้องสนามหลวงนั้น เจ้าหน้าที่ต้องดูแลไม่ให้เกิดการปะทะกัน เนื่องจากไม่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ไม่ประกาศใช้พ.ร.ก. ก็สามารถควบคุมการชุมนุมได้
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึง กรณีสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ก็ควรมีท่าทีที่ชัดเจนได้แล้ว ว่าจะเปิดโอกาสให้คนอื่นมีสิทธิ์ได้ใช้สื่อของรัฐ หรือจะปล่อยให้มีการใช้สื่อของรัฐ เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตรงจุดนี้จะเป็นจุดที่ถ้าทำได้เร็ว ก็จะเรียกความเชื่อมั่นได้ โดยขณะนี้ ยังไม่ได้คิดที่จะขอพื้นที่ให้ฝ่ายค้าน เพราะยังไม่ทราบว่ารัฐบาลจะมีแผนการใช้สื่อของรัฐอย่างไร แต่เฉพาะรายการที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้คือ รายการความจริงวันนี้ ควรยกเลิกได้แล้ว
**ดึงคนดีนั่งครม.เลิกระบบโควต้า
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนของนายสมชาย คือ ต้องเร่งทำความเข้าใจกับคนในประเทศที่มีความคิดเห็นแตกแยกกันมากในขณะนี้ ให้มีความคิดเห็นตรงกัน และพูดจากันได้ ทั้งนี้ ประเทศจะพ้นจากวิกฤติ หรือคลี่คลายได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ หากนายกฯ พูดจากับประชาชนในวันที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นอย่างไร และตั้งใจที่จะทำอย่างนั้นด้วยความจริงใจ เชื่อว่าประชาชนยอมรับได้ และจะทำให้เห็นโอกาสของความสำเร็จที่จะเกิดความสามัคคีของคนในชาติได้
"ตอนนี้จะบอกว่า พันธมิตรฯไม่ลดราวาศอก คงไม่ได้ นายกฯ ยังไม่ได้ตบมือซักข้างหนึ่ง เพียงแต่บอกว่า จะทำ ดังนั้นนายกฯ จะต้องไปหาเขา ชวนคุย ตั้งวงเจรจากัน ถ้าเจรจากันแล้ว เสนอทุกเงื่อนไขกันแล้ว พันธมิตรฯ ไม่เอาก็ให้พี่น้องประชาชนรับรู้ และพิจารณาต่อไป"
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า รู้สึกเสียดายที่ นายกฯไม่ตั้งคณะรัฐมนตรีรูปแบบพิเศษ และไม่เจาะจงเฉพาะเอานักการเมืองในสังกัดมาเป็นคณะรัฐมนตรี เพราะยังเห็นภาพนักการเมืองพรรคต่าง ๆ วิ่งเต้น ต่อรอง ชิงตำแหน่ง และจำกัดเฉพาะในวงการเมือง จึงถือว่านายกฯได้พลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ซึ่งหากใช้ความพยายามมากกว่านี้ ว่าแม้จะอยู่ในแวดวงของนักการเมือง แต่เลือกคนดีจริง ๆ และคนที่ประชาชนยอมรับได้จริงเข้ามาเป็นรัฐมนตรี จะทำให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น แต่หากเลือกคนที่ประชาชนไม่ค่อยชอบอยู่แล้ว หรือไม่ไว้ใจอยู่แล้ว มาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล ก็จะทำให้ทำงานยากขึ้น
"ถ้านายกฯ ยังยอมผูกพันตัวเองกับระบบโควต้า ไม่มีวันที่จะตั้งรัฐบาลที่เป็นความหวังของประชาชนได้ ส่วนกรณี รมว.ต่างประเทศ ต้องเป็นคนที่มีความรู้ มีความเข้าใจเรื่องกิจการด้านการต่างประเทศจริงๆ จะเป็นนักการเมือง ก็ได้ ถ้านักการเมืองนั้นมีคุณสมบัติที่ว่า แต่ถ้าตั้งตามโควต้า จะไม่ได้คนที่มีคุณสมบัติอย่างนั้น และจะเสียโอกาสของประเทศไทย"
**"ไทกร"ค้าน4 รมต.คัมแบ็ก
เมื่อเวลา 13.00 น.ที่พรรคพลังประชาชน นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานกลุ่มอีสานกู้ชาติ เครือข่ายกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้ายื่นหนังสือ ถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านการตั้ง 4 รมต.กลับเข้ามาอีกครั้ง โดยมีนายพินิจ ทวีสุข ผู้ประสานงานพรรคพลังประชาชน เป็นตัวแทนรับหนังสือ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีที่นายไทกรยื่นคัดค้านได่แก่ นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายธีระชัย แสนแก้ว นายทรงศักดิ์ ทองศรี และนายพงศกร อรรณนพพร เนื่องจากพฤติกรรมของบุคคลทั้ง 4 คน ไร้จริยธรรม ทั้งการโกงข้อสอบ ตัวรวมทั้งส่งเสริม และอยู่เบื้องหลังการใช้ความรุนแรงของกลุ่มนปช. ทำให้เกิดความแตกแยก จึงขอเรียกร้องให้พิจารณาบุคคลใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน แต่หากยังเพิกเฉย ก็เท่ากับเห็นด้วยกับพฤติกรรมบุคคลดังกล่าว
**"ลูกท็อป"กระสันจัดลั่นอายุไม่เกี่ยว
รายงานข่าวจากพรรคชาติไทยแจ้งว่า โควต้ารัฐมนตรี ในส่วนของพรรคชาติไทยนั้น ยังคงเป็น 5 ตำแหน่ง เท่าเดิม คือ รองนายกฯ รมว.เกษตรฯ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา รมช.เกษตรฯ และรมช.คมนาคม ซึ่งบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่ง ส่วนหนึ่งยังเป็นคนเดิม ยกเว้น รมช.คมนาคม และรมช.เกษตรฯ ที่ยังไม่นิ่ง เนื่องจากยังมีการเจรจาผลประโยชน์กันอยู่ว่า ระหว่างนายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมช.คมนาคม กับ นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร รมช.เกษตรฯ ใครจะยอมลุกจากเก้าอี้ เพื่อให้ นายวราวุธ ศิลปอาชา บุตรชายนายบรรหาร ได้มานั่งแทน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย อาจจะได้โควต้ารัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง โดยเป็นโควต้ากลาง ของพรรคพลังประชาชน ซึ่งขณะนี้กำลังต่อรองกันอยู่ ซึ่งคาดว่านายประภัตร น่าจะได้นั่ง รมช.คลัง นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวอีกว่า นายประภัตรได้พยายามต่อรองขอนั่ง รมว.เกษตรฯ แทนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
ด้านนายวราวุธ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีแทน นายอนุรักษ์ ว่า ไม่รู้เรื่อง เพราะ เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชาติไทยจะเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสม
"ตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอน จนกว่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา คนที่นึกว่าจะได้ อาจจะไม่ได้ก็ได้ แม้ว่าจะเป็นลูกของหัวหน้าพรรค ก็ไม่ใช่ว่าผมจะรู้ทุกเรื่อง" นายวราวุธ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องวัยวุฒิเป็นปัญหาสำคัญ ในการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า เรื่องของอายุไม่ใช่สิ่งสำคัญ และอย่าดูกันที่อายุ อยากให้ดูที่ความรู้ ความสามารถ และศักยภาพในการทำงานมากกว่า บางทีคนอายุมากๆ บางครั้งก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
**ฟันธงชิงยุบสภาก่อนยุบพรรค
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประชาชนจับตาดูอยู่ว่ารัฐบาลของนายสมชาย จะออกมาในรูปแบบใด เพราะภาพของนายสมชายในสายตาของประชาชน แม้จะมีด้านบวกอยู่บ้างในเรื่องความประนีประนอม แต่ด้านลบ คือการเป็นน้องเขยของพ.ต.ท.ทักษิณ ฉะนั้นเพื่อเป็นการลดปัญหาความขัดแย้งทางสังคม นายกฯ จึงมีประเด็นที่ต้องแก้ไข 2 ประเด็นใหญ่ คือ
1. การจัดตั้งครม. หากยังเป็นการแบ่งปันโควตา แบ่งผลประโยชน์ ในกลุ่ม ในมุ้ง รัฐบาลก็จะไปไม่รอด เพราะประชาชนก็ไม่อยากเห็น ไม่ใช่ว่าจะปรับเปลี่ยนกระทรวงเศรษฐกิจ อย่างเดียว แต่กระทรวงอื่นๆไม่แตะเลย ก็จะทำให้ความขัดแย้งมีอยู่ และอาจจะไม่ยอมรับได้ ต้องหาคนที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นที่ยอมรับ จึงจะไปได้
2 ภารกิจเร่งด่วนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ที่ต้องกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน เช่น แนวทางจะนำไปสู่การเมืองใหม่อย่างไร จำเป็นต้องแก้ไขรธน. หรือไม่ หรือจะต้องมี ส.ส.ร.3 หรือไม่ แล้วไปยุบสภา รัฐบาลจะต้องกำหนดให้ชัด โดยทุกฝ่ายควรหันหน้ามาพูดคุยกัน ไม่เช่นนั้นสังคมไทย จะตกหลุมลึกลงไปอีกยิ่งกว่า 19 ก.ย.49 เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการนองเลือด รัฐบาลจึงต้องดูให้ดี ไม่ให้เกิดการปะทะ
"ปัญหาขณะนี้ เรื่องใหญ่คือ พรรคพลังประชาชน มีความเชื่อว่า จะต้องถูกยุบแน่นอน ทั้งที่ยังไม่มีใครรู้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินออกมาอย่างไร เพราะการพิจารณาน่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แต่เมื่อเชื่อเช่นนั้น และไม่ต้องการให้เสียงของกรรมการบริหารพรรค 30 กว่าเสียงหายไป ก็เป็นแนวทางที่ชัดเจนว่า จะต้องมีการชิงยุบสภาก่อนมีการวินิจฉัยคดีนี้ "
ส่วนแนวคิดการเมืองใหม่ ของกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องมีการขยายความว่า หมายถึงอะไร เพราะพันธมิตรฯ บอกเองว่าสัดส่วนส.ส.แต่งตั้ง กับเลือกตั้ง 70 ต่อ 30 เป็นเพียงตุ๊กตา ยังไม่ชัดเจน แต่ส่วนตัวมองว่า การเมืองระบบประชาธิปไตยควรควรจะเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ถ้า 70 % มาจากการแต่งตั้ง ก็จะเป็นการเมืองที่ถอยหลัง คนคงไม่เห็นด้วย
จากนั้นนายสมชาย เปิดเผยว่า นายสุวิทย์ และพวกมาแสดงความยินดีที่ตนได้รับตำแหน่งนายกฯ ส่วนการเพิ่มโควต้ารัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดินนั้น ในหลักการที่ให้ไว้ คงไม่มี ส่วนเรื่องการจัด ครม. ก็ดำเนินการแล้ว แต่จะเพิ่มเก้าอี้ตามที่เป็นข่าวหรือไม่ ยังพูดไม่ได้คาดว่า 2-3 วันคงเสร็จ
ส่วนกรณีที่ 40 ส.ส. ของพรรคพลังประชาชน ทำหนังสือคัดค้านไม่ให้นายสุวิทย์ กลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกนั้น คงเป็นความเข้าใจผิดกัน ตนไม่อยากให้มีความรู้สึกที่ไม่ดี เดี๋ยวจะไปทำความเข้าใจกัน
**ยอมรับต่อสายคุยแกนนำพันธมิตรฯ
ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. นายสมชาย ได้เดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง เรื่องแนวทางปฏิบัติการกำหนดอัตรากำลังลัง และการแต่งตั้งข้าราชการในระหว่างปรับใช้ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 โดยใช้เวลาเข้าร่วมประชุมประมาณ ครึ่งชั่วโมง จากนั้นนายกฯ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า มากล่าวเปิดเฉยๆในฐานะนายกฯยังทำงานไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ เพียงแค่มาดูการประชุม
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ต่อสายคุยกับพันธมิตรฯเมื่อไร นายสมชาย กล่าวว่า บางครั้งอย่างที่พูดเราทุกๆ คนเป็นคนไทยด้วยกัน ตนคุยได้กับทุกคน ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาว่าจะโกรธ จะเกลียดกัน เราเข้าใจว่า เรามีความคิดแตกต่างกัน ก็ยังสามารถพูดคุยกันได้ทุกระดับ ทุกคน
เมื่อถามว่าได้คุยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ใช่หรือไม่ มีเงื่อนไขอย่างไร นายสมชายกล่าวว่า คิดว่าอยู่ในขั้นตอนของการทำงาน เมื่อถามย้ำว่าได้คุยกับนายสนธิแล้วใช่หรือไม่ บรรยากาศดีหรือไม่ นายสมชาย ไม่ตอบ แต่พยักหน้า เมื่อถามว่าพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ระบุว่าพร้อมเจรจา ทางรัฐบาลพร้อมหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า เริ่มทำงานก่อน บางเรื่องต้องคุยกันสั้น บางเรื่องต้องคุยกันยาว
**อังคารนี้ประชุมครม.ที่ดอนเมือง
ต่อมาในเวลา 13.30น. นายสมชาย ได้เดินทางไปยังห้องรับรองพิเศษ สนามบินดอนเมืองเพื่อตรวจความพร้อมสถานที่ประชุม ครม. และห้องทำงานชั่วคราวแทนที่ทำเนียบรัฐบาลโดยระหว่างการทดลองนั่งเก้าอี้ในห้องทำงานชั่วคราว นายสมชาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เก้าอี้มั่นคงดี จากนี้ไปก็มีที่ทำงานเป็นหลักแหล่งแล้ว ไม่ต้องไปใช้ที่กองบัญชาการกองทัพไทย อังคารนี้จะประชุมครม.ที่นี่ ห้องนักข่าวก็มี
ทั้งนี้ การประชุมครม. อังคารนี้ (23 ก.ย.) จะเป็นการประชุมครม.รักษาการ แต่กำลังให้ตรวจสอบว่า ตนจะเข้าประชุมไม่ได้แล้ว เนื่องจากได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯแล้ว ถือว่าต้องหมดจากตำแหน่งเดิม แต่ครม.รักษาการ ยังประชุมได้ ในที่ประชุมตามกฎหมายบอกว่า ถ้าหากนายกฯไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมมอบหมายให้รองนายกฯ ท่านใดท่านหนึ่งทำหน้าที่แทน ซึ่ง ลำดับรองนายกฯ ที่ต่อจากตนคือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แต่วิธีการที่ครม.จะมอบหมายงานรองนายกฯ คนใด ไม่ได้บอกว่าท่านไหน อาจจะเป็นคนที่ 1-2-3 หรือ 5 ก็ได้
นายสมชาย กล่าวว่า จะใช้ดอนเมืองเป้นสถานที่ทำงาน จนกว่าทำเนียบฯ จะสวยงามดังเดิม และถ้าว่างเมื่อไร ก็จะกลับไป
นายสมชายยังกล่าวถึง ตำแหน่งรมว.กลาโหม และรมว.ต่างประเทศ ว่า กำลังพิจารณาอยู่ เมื่อถามว่า ตำแหน่งรมว.กลาโหม จะควบเองหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ขอดูก่อน อย่าเพิ่งพูด ยังไม่จบ ไว้พูดตอนจบดีกว่า
เมื่อถามว่าในส่วนของพลังประชาชน ค่อนข้างจะเป็นปัญหา นายสมชาย กล่าวว่า เวลาจัดครม. ก็มีปัญหาจุกจิกบ้าง ซึ่งตนจะยึดหลักเอาคนที่มีความรู้ ความสามารถ เหมาะสมมาทำงานให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และคนในวงการเมืองด้วย
ส่วนเรื่องการครม.เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ เป็นเรื่องของเลขาธิการครม. เป็นผู้ประสาน ซึ่งเลขาฯ ยังไม่ได้รายงานมา ส่วนที่มีข่าวว่า จะเข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั้นยังพูดอะไรไม่ได้ จากนั้นนายสมชายได้เดินทางกลับบ้าน และจะเดินทางเพื่อเข้าเฝ้า สมเด็จเกี่ยว อุปเสโณ เจ้าอาวาสวัดสระเกศวรมหาวิหารต่อ
ผู้ปฏิบัตหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
ต่อมา เวลา 16.00 น. นายสมชาย ได้เดินทางไปวัดสระเกศวรมหาวิหาร เพื่อนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ขอพรในโอกาสที่ได้รับตำแหน่งนายกฯ โอกาสนี้ ได้เดินขึ้นภูเขาทอง เพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และได้ห่มผ้าสีแดง รอบเจดีย์ด้วย
ทั้งนี้ นายกฯได้เดินไปยังหลักหมุดวิเศษ ด้านข้างเจดีย์ เพื่ออธิฐานขอพรตามความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ที่หมุดวิเศษนี้ ใครอธิฐานขอสิ่งใดมักได้ตามที่ปรารถนา แต่นายกฯไม่เปิดเผยว่าได้อธฺฐานขออะไรไปบ้าง หลังจากนั้นนายกฯ ได้ขอเวลาส่วนตัว ไม่ให้นักข่าวติดตาม โดยบอกว่า เวลา 10.00 น.วันนี้ จะไปตรวจพระเมรุ ที่ท้องสนามหลวง
**"เลี้ยบ"ห่วงศก.หนุนเจรจาพันธมิตรฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่นายสมชาย มีการเจรจากับแกนนำพันธมิตรฯ ว่า เป็นเรื่องที่ดี และหากหารือกันจนได้ข้อสรุป ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ประเทศไทยต้องเร่งสร้างฐานเศรษฐกิจให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อป้องกันผลกระทบจากเศรษฐกิจภายนอกประเทศ
นพ.สุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า หากรมว.คลัง คนใหม่เข้ามา ต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2551-2552 เพื่อนำไปใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเรียกความเชื่อมั่น
**รอดูท่าทีของนายกฯ ต่อทักษิณ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสมชาย แสดงจุดยืนหลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกฯ ที่จะสร้างความสมานฉันท์ในชาติ ว่า เป็นเป้าหมายที่คนไทยทุกคนอยากเห็น ถ้ามีการดำเนินการอย่างจริงจัง ก็จะเป็นการเริ่มต้นในการคลี่คลายวิกฤตได้ แต่ที่สำคัญคือสิ่งที่เป็นเนื้อหา สาระ ที่ต้องพูดคุยกัน เพราะปมของความขัดแย้งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม โดยต้องทบทวนดูว่ามีประเด็นอะไรบ้าง ที่เป็นปมความขัดแย้งที่ต้องเร่งหาข้อยุติ
"นายกฯ ต้องเร่งสรุป เพื่อประมวลออกมาและพิสูจน์ให้เห็น ถ้าไม่สามารถตอบได้ว่าอะไรคือความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากรัฐบาลเดิม เราก็ไม่เห็นคำตอบ จึงอยากเห็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจน ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือเรื่องที่เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลที่ผ่านมา ว่าจะแก้ไขอย่างไร ผมก็รอฟังนายกฯ
ทั้งนี้ สิ่งแรกที่คนไทยอยากเห็นคือ ครม. ที่ประชาชนยอมรับได้ ไม่มีเรื่องต่อรองและแย่งชิงผลประโยชน์ เร่งทำนโยบายที่เป็นรูปธรรม ทั้งนโยบายสานต่อรัฐบาลเดิม โดยเฉพาะนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลง ส่วนแผนที่อยากเห็นชัดเจนเร่งด่วนคือ เรื่องน้ำท่วม ที่นอกเหนือจากการช่วยเหลือเฉพาะหน้าแล้ว จะมีแผนในการฟื้นฟูและการชดเชยค่าเสียหายที่ทันต่อเหตุการณ์ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการประกอบอาชีพก่อนที่จะสายเกินไป ส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ก็ได้ย้ำไปแล้ว ในแง่การบริหารความเชื่อมั่น การบริหารสภาพคล่อง การวางแผนด้านการส่งออก ซึ่งจะต้องประเมินผลกระทบจากการล้มละลายของสถาบันการเงินต่างๆ รวมทั้งผลกระทบที่มาถึงกองทุนต่างๆ ในประเทศด้วย และการลงทุนภาครัฐเอง
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ และ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยานายกฯ เข้ามามีบทบาทในการจัด ครม.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นความรับผิดชอบของนายกฯ ใครจะมาเสนอหรือมาช่วยจัดโผอะไรก็แล้วแต่ ก็ขึ้นอยู่กับนายกฯ ต้องพิสูจน์ภาวะการเป็นผู้นำ การจะมีอดีตนายกฯ หรือหลังบ้านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อยู่ที่นายกฯ จะพิจารณาอย่างไร
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มนปช. ที่ท้องสนามหลวงนั้น เจ้าหน้าที่ต้องดูแลไม่ให้เกิดการปะทะกัน เนื่องจากไม่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ไม่ประกาศใช้พ.ร.ก. ก็สามารถควบคุมการชุมนุมได้
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึง กรณีสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ก็ควรมีท่าทีที่ชัดเจนได้แล้ว ว่าจะเปิดโอกาสให้คนอื่นมีสิทธิ์ได้ใช้สื่อของรัฐ หรือจะปล่อยให้มีการใช้สื่อของรัฐ เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตรงจุดนี้จะเป็นจุดที่ถ้าทำได้เร็ว ก็จะเรียกความเชื่อมั่นได้ โดยขณะนี้ ยังไม่ได้คิดที่จะขอพื้นที่ให้ฝ่ายค้าน เพราะยังไม่ทราบว่ารัฐบาลจะมีแผนการใช้สื่อของรัฐอย่างไร แต่เฉพาะรายการที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้คือ รายการความจริงวันนี้ ควรยกเลิกได้แล้ว
**ดึงคนดีนั่งครม.เลิกระบบโควต้า
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนของนายสมชาย คือ ต้องเร่งทำความเข้าใจกับคนในประเทศที่มีความคิดเห็นแตกแยกกันมากในขณะนี้ ให้มีความคิดเห็นตรงกัน และพูดจากันได้ ทั้งนี้ ประเทศจะพ้นจากวิกฤติ หรือคลี่คลายได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ หากนายกฯ พูดจากับประชาชนในวันที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นอย่างไร และตั้งใจที่จะทำอย่างนั้นด้วยความจริงใจ เชื่อว่าประชาชนยอมรับได้ และจะทำให้เห็นโอกาสของความสำเร็จที่จะเกิดความสามัคคีของคนในชาติได้
"ตอนนี้จะบอกว่า พันธมิตรฯไม่ลดราวาศอก คงไม่ได้ นายกฯ ยังไม่ได้ตบมือซักข้างหนึ่ง เพียงแต่บอกว่า จะทำ ดังนั้นนายกฯ จะต้องไปหาเขา ชวนคุย ตั้งวงเจรจากัน ถ้าเจรจากันแล้ว เสนอทุกเงื่อนไขกันแล้ว พันธมิตรฯ ไม่เอาก็ให้พี่น้องประชาชนรับรู้ และพิจารณาต่อไป"
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า รู้สึกเสียดายที่ นายกฯไม่ตั้งคณะรัฐมนตรีรูปแบบพิเศษ และไม่เจาะจงเฉพาะเอานักการเมืองในสังกัดมาเป็นคณะรัฐมนตรี เพราะยังเห็นภาพนักการเมืองพรรคต่าง ๆ วิ่งเต้น ต่อรอง ชิงตำแหน่ง และจำกัดเฉพาะในวงการเมือง จึงถือว่านายกฯได้พลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ซึ่งหากใช้ความพยายามมากกว่านี้ ว่าแม้จะอยู่ในแวดวงของนักการเมือง แต่เลือกคนดีจริง ๆ และคนที่ประชาชนยอมรับได้จริงเข้ามาเป็นรัฐมนตรี จะทำให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น แต่หากเลือกคนที่ประชาชนไม่ค่อยชอบอยู่แล้ว หรือไม่ไว้ใจอยู่แล้ว มาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล ก็จะทำให้ทำงานยากขึ้น
"ถ้านายกฯ ยังยอมผูกพันตัวเองกับระบบโควต้า ไม่มีวันที่จะตั้งรัฐบาลที่เป็นความหวังของประชาชนได้ ส่วนกรณี รมว.ต่างประเทศ ต้องเป็นคนที่มีความรู้ มีความเข้าใจเรื่องกิจการด้านการต่างประเทศจริงๆ จะเป็นนักการเมือง ก็ได้ ถ้านักการเมืองนั้นมีคุณสมบัติที่ว่า แต่ถ้าตั้งตามโควต้า จะไม่ได้คนที่มีคุณสมบัติอย่างนั้น และจะเสียโอกาสของประเทศไทย"
**"ไทกร"ค้าน4 รมต.คัมแบ็ก
เมื่อเวลา 13.00 น.ที่พรรคพลังประชาชน นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานกลุ่มอีสานกู้ชาติ เครือข่ายกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้ายื่นหนังสือ ถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านการตั้ง 4 รมต.กลับเข้ามาอีกครั้ง โดยมีนายพินิจ ทวีสุข ผู้ประสานงานพรรคพลังประชาชน เป็นตัวแทนรับหนังสือ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีที่นายไทกรยื่นคัดค้านได่แก่ นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายธีระชัย แสนแก้ว นายทรงศักดิ์ ทองศรี และนายพงศกร อรรณนพพร เนื่องจากพฤติกรรมของบุคคลทั้ง 4 คน ไร้จริยธรรม ทั้งการโกงข้อสอบ ตัวรวมทั้งส่งเสริม และอยู่เบื้องหลังการใช้ความรุนแรงของกลุ่มนปช. ทำให้เกิดความแตกแยก จึงขอเรียกร้องให้พิจารณาบุคคลใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน แต่หากยังเพิกเฉย ก็เท่ากับเห็นด้วยกับพฤติกรรมบุคคลดังกล่าว
**"ลูกท็อป"กระสันจัดลั่นอายุไม่เกี่ยว
รายงานข่าวจากพรรคชาติไทยแจ้งว่า โควต้ารัฐมนตรี ในส่วนของพรรคชาติไทยนั้น ยังคงเป็น 5 ตำแหน่ง เท่าเดิม คือ รองนายกฯ รมว.เกษตรฯ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา รมช.เกษตรฯ และรมช.คมนาคม ซึ่งบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่ง ส่วนหนึ่งยังเป็นคนเดิม ยกเว้น รมช.คมนาคม และรมช.เกษตรฯ ที่ยังไม่นิ่ง เนื่องจากยังมีการเจรจาผลประโยชน์กันอยู่ว่า ระหว่างนายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมช.คมนาคม กับ นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร รมช.เกษตรฯ ใครจะยอมลุกจากเก้าอี้ เพื่อให้ นายวราวุธ ศิลปอาชา บุตรชายนายบรรหาร ได้มานั่งแทน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย อาจจะได้โควต้ารัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง โดยเป็นโควต้ากลาง ของพรรคพลังประชาชน ซึ่งขณะนี้กำลังต่อรองกันอยู่ ซึ่งคาดว่านายประภัตร น่าจะได้นั่ง รมช.คลัง นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวอีกว่า นายประภัตรได้พยายามต่อรองขอนั่ง รมว.เกษตรฯ แทนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
ด้านนายวราวุธ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีแทน นายอนุรักษ์ ว่า ไม่รู้เรื่อง เพราะ เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชาติไทยจะเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสม
"ตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอน จนกว่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา คนที่นึกว่าจะได้ อาจจะไม่ได้ก็ได้ แม้ว่าจะเป็นลูกของหัวหน้าพรรค ก็ไม่ใช่ว่าผมจะรู้ทุกเรื่อง" นายวราวุธ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องวัยวุฒิเป็นปัญหาสำคัญ ในการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า เรื่องของอายุไม่ใช่สิ่งสำคัญ และอย่าดูกันที่อายุ อยากให้ดูที่ความรู้ ความสามารถ และศักยภาพในการทำงานมากกว่า บางทีคนอายุมากๆ บางครั้งก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
**ฟันธงชิงยุบสภาก่อนยุบพรรค
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประชาชนจับตาดูอยู่ว่ารัฐบาลของนายสมชาย จะออกมาในรูปแบบใด เพราะภาพของนายสมชายในสายตาของประชาชน แม้จะมีด้านบวกอยู่บ้างในเรื่องความประนีประนอม แต่ด้านลบ คือการเป็นน้องเขยของพ.ต.ท.ทักษิณ ฉะนั้นเพื่อเป็นการลดปัญหาความขัดแย้งทางสังคม นายกฯ จึงมีประเด็นที่ต้องแก้ไข 2 ประเด็นใหญ่ คือ
1. การจัดตั้งครม. หากยังเป็นการแบ่งปันโควตา แบ่งผลประโยชน์ ในกลุ่ม ในมุ้ง รัฐบาลก็จะไปไม่รอด เพราะประชาชนก็ไม่อยากเห็น ไม่ใช่ว่าจะปรับเปลี่ยนกระทรวงเศรษฐกิจ อย่างเดียว แต่กระทรวงอื่นๆไม่แตะเลย ก็จะทำให้ความขัดแย้งมีอยู่ และอาจจะไม่ยอมรับได้ ต้องหาคนที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นที่ยอมรับ จึงจะไปได้
2 ภารกิจเร่งด่วนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ที่ต้องกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน เช่น แนวทางจะนำไปสู่การเมืองใหม่อย่างไร จำเป็นต้องแก้ไขรธน. หรือไม่ หรือจะต้องมี ส.ส.ร.3 หรือไม่ แล้วไปยุบสภา รัฐบาลจะต้องกำหนดให้ชัด โดยทุกฝ่ายควรหันหน้ามาพูดคุยกัน ไม่เช่นนั้นสังคมไทย จะตกหลุมลึกลงไปอีกยิ่งกว่า 19 ก.ย.49 เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการนองเลือด รัฐบาลจึงต้องดูให้ดี ไม่ให้เกิดการปะทะ
"ปัญหาขณะนี้ เรื่องใหญ่คือ พรรคพลังประชาชน มีความเชื่อว่า จะต้องถูกยุบแน่นอน ทั้งที่ยังไม่มีใครรู้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินออกมาอย่างไร เพราะการพิจารณาน่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แต่เมื่อเชื่อเช่นนั้น และไม่ต้องการให้เสียงของกรรมการบริหารพรรค 30 กว่าเสียงหายไป ก็เป็นแนวทางที่ชัดเจนว่า จะต้องมีการชิงยุบสภาก่อนมีการวินิจฉัยคดีนี้ "
ส่วนแนวคิดการเมืองใหม่ ของกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องมีการขยายความว่า หมายถึงอะไร เพราะพันธมิตรฯ บอกเองว่าสัดส่วนส.ส.แต่งตั้ง กับเลือกตั้ง 70 ต่อ 30 เป็นเพียงตุ๊กตา ยังไม่ชัดเจน แต่ส่วนตัวมองว่า การเมืองระบบประชาธิปไตยควรควรจะเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ถ้า 70 % มาจากการแต่งตั้ง ก็จะเป็นการเมืองที่ถอยหลัง คนคงไม่เห็นด้วย