จะเพราะเหตุบ้านเมืองเป็นทุรยุคและกลียุคหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เรื่องที่ไม่ควรเกิดก็เกิด สิ่งที่ควรเป็นก็ไม่เป็น ดังเช่นอัยการซึ่งเป็นทนายความแผ่นดินและเป็นที่เชื่อถือศรัทธาตลอดมากลับถูกผู้คนกังขาสงสัยว่าเป็นผู้ขายความยุติธรรม
เป็นเรื่องที่กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อถือศรัทธาต่อสถาบันแห่งความยุติธรรมแห่งนี้อย่างหนักหน่วงรุนแรงที่สุดนับแต่บังเกิดมีอัยการขึ้นในราชอาณาจักรไทย
ก็ไม่รู้ว่าผู้บริหารของสำนักงานอัยการสูงสุดจะได้ยินคำเล่าข่าวลือและข้อครหาที่ก้องกระหึ่มไปทั้งบ้านทั้งเมืองหรือไม่ หรือว่าได้ยินแต่ทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะถ้าได้ยินก็คงไม่มีใครใจไม้ไส้ระกำเพิกเฉยละเลยไม่แก้ไขปัญหา ปล่อยให้สถาบันต้องเสื่อมเสียยับเยินอยู่จนถึงบัดนี้
ก็ต้องนำความมาบอกเล่าเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองว่าในขณะนี้มีผู้คนมากหลายตั้งข้อกล่าวหาและข้อสงสัย ทั้งผ่านทางเว็บไซต์ ทั้งโดยคำเล่าข่าวลือและคำบอกกล่าวกันปากต่อปากว่ามีการขายความยุติธรรมเกิดขึ้นในสำนักงานอัยการสูงสุด
บางเรื่องขายกันเป็นรายวัน บางเรื่องขายกันเป็นรายคดี บางทีก็ขายกันเป็นครั้งคราวหรือเป็นรายเรื่อง
การขายความยุติธรรมที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดก็คือการยื้อเวลาหน่วงเหนี่ยวคดี ไม่ส่งเข้าสู่ศาลหรือไม่ยื่นฟ้องต่อศาลอย่างหนึ่ง หรือพลิกคดีจากดำเป็นขาวเสียอีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นบรรดาอัยการทั้งหลายทั้งปวงซึ่งเคารพในคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมและวิชาชีพแห่งตน จึงควรจะได้รับรู้ ควรจะได้รู้สึกรู้สาและช่วยกันแก้ไขปัญหาให้พ้นจากความครหานินทาเพื่อประโยชน์ของสถาบันอัยการเองอย่างพร้อมเพรียงกัน
เพราะการจะหวังว่าผู้บริหารคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนจะคิดอ่านแก้ไขปัญหานี้นั้นไม่ได้ เพราะบางทีคนเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมาแล้วก็มักหูหนวกตาบอด ด้วยความหอมหวนยวนเย้าแห่งผลประโยชน์ก็ได้ แต่พิษร้ายทั้งหลายกลับตกอยู่กับทุกผู้คนและกับสถาบันเป็นส่วนรวมด้วย
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับคดียุบพรรคการเมือง 3 พรรคคือทั้งพรรคแกนและพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ว่าเหตุใดจึงล่าช้าอยู่
ก็มีคำตอบว่าต้องไปถามอัยการสูงสุด เพราะเรื่องราวได้ส่งไปที่อัยการสูงสุดแล้ว หากใครเห็นว่าล่าช้าก็ควรจะไปดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กับผู้ที่รับผิดชอบ ซึ่งย่อมหมายถึงอัยการสูงสุดและคณะนั่นเอง
การที่คนระดับประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งพูดอย่างในในกิริยาอาการที่เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสบายใจกับความล่าช้านั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นเรื่องที่สอดคล้องตรงกับความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
และไปเจือสมกับความครหานินทาและข้อกังขาสงสัยที่ว่ามีการขายความยุติธรรมด้วยการคิดค่าถ่วงเวลาเป็นรายวัน ว่ากันถึงขนาดมีอัตราวันละ 50,000 บาทด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าละอาย น่ารังเกียจ และจำเป็นที่จะต้องชี้แจงแถลงไขหรือกำจัดความสงสัยทั้งหลายให้หมดไป ไม่ใช่ทำนิ่งเป็นสากกะเบืออยู่จนถึงทุกวันนี้
วันนี้ทั้งนักวิชาการและชาวบ้านชาวช่องต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน โดยอ้างเอาภาษิตทางกฎหมายที่บูรพาจารย์ทางกฎหมายทั้งหลายได้สั่งสอนนักกฎหมายทุกคนว่าความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม
หากไม่มีมูลความจริงใดๆ เลย ไฉนเล่าภาษิตกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะหมู่เฉพาะกลุ่มนักกฎหมายจะขยายแพร่ออกไปถึงชาวบ้านร้านถิ่นได้ปานนี้
ก็ต้องบอกว่ามันมีเค้ามูลของความล่าช้าอยู่จริงๆ แต่จะถึงกับกินสินบาทคาดสินบนหรือคิดค่าจ้างถ่วงเวลาเป็นรายวันหรือรายเรื่องนั้นคงพูดเต็มปากเต็มคำไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน แต่การจะห้ามคนไม่ให้คิดไม่ให้พูดทั้งที่ความจริงปรากฏอยู่ทนโท่ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
คดียุบพรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง เป็นเรื่องสำคัญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะเป็นการเข้าสู่อำนาจโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
จึงเป็นเรื่องที่ต้องสนใจและอยู่ในความสนใจของประชาชน และเป็นเรื่องที่อัยการสูงสุดและคณะจะต้องให้ความสำคัญ เร่งดำเนินการให้ความยุติธรรมปรากฏขึ้นโดยเร็วที่สุด หากผิดก็จะมีผลประโยชน์ต่อบ้านเมือง เพราะทำให้ผู้ที่เข้าสู่อำนาจโดยไม่ใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญต้องพ้นไปจากอำนาจ หรือหากไม่ผิดก็เป็นผลประโยชน์ต่อบ้านเมือง เพราะทำให้ผู้คนไม่ต้องสงสัยในผู้มีอำนาจอีกต่อไป
คดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยถูกส่งไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดหลายเดือนเต็มทีแล้ว เลยเถิดเวลาที่ควรต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนานนักหนาแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
คดียุบพรรคพลังประชาชนซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้วว่ามีการทุจริตเลือกตั้ง โดยผู้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค เป็นบรรทัดฐานและเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องยึดถือตามนั้น ไม่อาจผันแปรเป็นอื่นได้ แล้ว กกต. ก็ได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดแล้ว
คดีเช่นนี้ใช้เวลา 3 วัน 5 วัน ก็เพียงพอต่อการส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะทุกอย่างเป็นยุติตามคำตัดสินของศาลฎีกาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญเองก็คงใช้เวลาตามกระบวนการพิจารณาอย่างช้าก็เดือนสองเดือน เพราะไม่มีข้อเท็จจริงใดต้องโต้เถียงกันอีก
ดังนั้นหากเรื่องราวเป็นไปตามกระบวนการที่ควรเป็นตามปกติ ปัญหาสำคัญของบ้านเมืองก็จะเสร็จสิ้นเป็นที่ยุติ เป็นความยุติธรรมที่ปรากฏขึ้นได้
แต่การล่าช้าจนผิดปกติทั้งสามเรื่องสามราวนี้เป็นเรื่องทนโท่เหลือประมาณนัก จนกระทั่งผู้รับผิดชอบเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะชี้แจงกล่าวอ้างต่อสาธารณชนได้เลย ความสงสัยจึงยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีคดีก่อจลาจลหน้าบ้านประธานองคมนตรีที่ปล่อยปละละเลยจนพ้นเวลาควบคุมตัวผู้ต้องหาแล้วต้องปล่อยตัวไป จนถึงเวลานี้ก็ไม่มีความคืบหน้า ผู้คนเขาจึงกล่าวหาได้ว่านี่คือความยุติธรรมที่ล่าช้า
สำนักงานอัยการสูงสุดก็ดี อัยการสูงสุดก็ดี รองอัยการสูงสุดและคณะผู้บริหารระดับสูงๆ ก็ดี อย่าได้ดูแคลนความรู้สึกของประชาชนเป็นอันขาด พวกท่านรับไว้ไม่ไหวหรอก
ขอให้น้อมนำเอากระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานแก่คณะตุลาการศาลปกครองที่ว่าการทำให้ประชาชนผิดหวังเป็นอันตรายมาก มาประพฤติปฏิบัติเถิด ความเป็นมงคลย่อมเกิดขึ้นเป็นแน่นอน
คนทั้งหลายย่อมหวังในความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ความยุติธรรมที่ล่าช้าเป็นความไม่ยุติธรรม หากยังเป็นอยู่เช่นนี้ประชาชนก็ย่อมผิดหวัง และจะเป็นอันตรายดังกระแสพระราชดำรัสนั้น
จึงควรที่อัยการสูงสุดและคณะผู้บริหารทั้งปวงจะได้เร่งแก้ไขปัญหาที่กำลังทำให้สถาบันอัยการเสียหายยับเยินให้กลับฟื้นคืนดีโดยเร็วที่สุด
คนทั้งหลายย่อมหวังในความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง เพราะความยุติธรรมนั่นแล้วคือขื่อแปของบ้านเมือง เมื่อใดที่คนทั้งหลายหวังในความยุติธรรมไม่ได้เพราะความยุติธรรมล่าช้าจนกลายเป็นความไม่ยุติธรรมเป็นต้นเหตุปัจจัยที่ทำให้คนชั่ว คนเถื่อนเข้าไปมีอำนาจในบ้านเมืองแล้ว เมื่อนั้นก็เป็นอันไม่มีขื่อแปบ้านเมืองอีกต่อไป
ความเป็นอนาธิปไตยก็จะเกิดขึ้น ความเป็นจลาจล กลียุค ก็จะบังเกิดขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมืองโดยตรง
และคงจะต้องรับผิดชอบเป็นรายบุคคลที่จะถูกดำเนินคดีอาญาตามที่ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ให้สัมภาษณ์ไว้นั้นอีกทางหนึ่งเป็นแน่นอน
ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือบ้านเมืองมิให้กลายเป็นสภาพอนาธิปไตยเถิด จะเป็นมงคลแก่ท่านทั้งหลายเอง.
เป็นเรื่องที่กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อถือศรัทธาต่อสถาบันแห่งความยุติธรรมแห่งนี้อย่างหนักหน่วงรุนแรงที่สุดนับแต่บังเกิดมีอัยการขึ้นในราชอาณาจักรไทย
ก็ไม่รู้ว่าผู้บริหารของสำนักงานอัยการสูงสุดจะได้ยินคำเล่าข่าวลือและข้อครหาที่ก้องกระหึ่มไปทั้งบ้านทั้งเมืองหรือไม่ หรือว่าได้ยินแต่ทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะถ้าได้ยินก็คงไม่มีใครใจไม้ไส้ระกำเพิกเฉยละเลยไม่แก้ไขปัญหา ปล่อยให้สถาบันต้องเสื่อมเสียยับเยินอยู่จนถึงบัดนี้
ก็ต้องนำความมาบอกเล่าเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองว่าในขณะนี้มีผู้คนมากหลายตั้งข้อกล่าวหาและข้อสงสัย ทั้งผ่านทางเว็บไซต์ ทั้งโดยคำเล่าข่าวลือและคำบอกกล่าวกันปากต่อปากว่ามีการขายความยุติธรรมเกิดขึ้นในสำนักงานอัยการสูงสุด
บางเรื่องขายกันเป็นรายวัน บางเรื่องขายกันเป็นรายคดี บางทีก็ขายกันเป็นครั้งคราวหรือเป็นรายเรื่อง
การขายความยุติธรรมที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดก็คือการยื้อเวลาหน่วงเหนี่ยวคดี ไม่ส่งเข้าสู่ศาลหรือไม่ยื่นฟ้องต่อศาลอย่างหนึ่ง หรือพลิกคดีจากดำเป็นขาวเสียอีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นบรรดาอัยการทั้งหลายทั้งปวงซึ่งเคารพในคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมและวิชาชีพแห่งตน จึงควรจะได้รับรู้ ควรจะได้รู้สึกรู้สาและช่วยกันแก้ไขปัญหาให้พ้นจากความครหานินทาเพื่อประโยชน์ของสถาบันอัยการเองอย่างพร้อมเพรียงกัน
เพราะการจะหวังว่าผู้บริหารคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนจะคิดอ่านแก้ไขปัญหานี้นั้นไม่ได้ เพราะบางทีคนเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมาแล้วก็มักหูหนวกตาบอด ด้วยความหอมหวนยวนเย้าแห่งผลประโยชน์ก็ได้ แต่พิษร้ายทั้งหลายกลับตกอยู่กับทุกผู้คนและกับสถาบันเป็นส่วนรวมด้วย
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับคดียุบพรรคการเมือง 3 พรรคคือทั้งพรรคแกนและพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ว่าเหตุใดจึงล่าช้าอยู่
ก็มีคำตอบว่าต้องไปถามอัยการสูงสุด เพราะเรื่องราวได้ส่งไปที่อัยการสูงสุดแล้ว หากใครเห็นว่าล่าช้าก็ควรจะไปดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กับผู้ที่รับผิดชอบ ซึ่งย่อมหมายถึงอัยการสูงสุดและคณะนั่นเอง
การที่คนระดับประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งพูดอย่างในในกิริยาอาการที่เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสบายใจกับความล่าช้านั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นเรื่องที่สอดคล้องตรงกับความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
และไปเจือสมกับความครหานินทาและข้อกังขาสงสัยที่ว่ามีการขายความยุติธรรมด้วยการคิดค่าถ่วงเวลาเป็นรายวัน ว่ากันถึงขนาดมีอัตราวันละ 50,000 บาทด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าละอาย น่ารังเกียจ และจำเป็นที่จะต้องชี้แจงแถลงไขหรือกำจัดความสงสัยทั้งหลายให้หมดไป ไม่ใช่ทำนิ่งเป็นสากกะเบืออยู่จนถึงทุกวันนี้
วันนี้ทั้งนักวิชาการและชาวบ้านชาวช่องต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน โดยอ้างเอาภาษิตทางกฎหมายที่บูรพาจารย์ทางกฎหมายทั้งหลายได้สั่งสอนนักกฎหมายทุกคนว่าความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม
หากไม่มีมูลความจริงใดๆ เลย ไฉนเล่าภาษิตกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะหมู่เฉพาะกลุ่มนักกฎหมายจะขยายแพร่ออกไปถึงชาวบ้านร้านถิ่นได้ปานนี้
ก็ต้องบอกว่ามันมีเค้ามูลของความล่าช้าอยู่จริงๆ แต่จะถึงกับกินสินบาทคาดสินบนหรือคิดค่าจ้างถ่วงเวลาเป็นรายวันหรือรายเรื่องนั้นคงพูดเต็มปากเต็มคำไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน แต่การจะห้ามคนไม่ให้คิดไม่ให้พูดทั้งที่ความจริงปรากฏอยู่ทนโท่ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
คดียุบพรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง เป็นเรื่องสำคัญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะเป็นการเข้าสู่อำนาจโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
จึงเป็นเรื่องที่ต้องสนใจและอยู่ในความสนใจของประชาชน และเป็นเรื่องที่อัยการสูงสุดและคณะจะต้องให้ความสำคัญ เร่งดำเนินการให้ความยุติธรรมปรากฏขึ้นโดยเร็วที่สุด หากผิดก็จะมีผลประโยชน์ต่อบ้านเมือง เพราะทำให้ผู้ที่เข้าสู่อำนาจโดยไม่ใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญต้องพ้นไปจากอำนาจ หรือหากไม่ผิดก็เป็นผลประโยชน์ต่อบ้านเมือง เพราะทำให้ผู้คนไม่ต้องสงสัยในผู้มีอำนาจอีกต่อไป
คดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยถูกส่งไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดหลายเดือนเต็มทีแล้ว เลยเถิดเวลาที่ควรต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนานนักหนาแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
คดียุบพรรคพลังประชาชนซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้วว่ามีการทุจริตเลือกตั้ง โดยผู้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค เป็นบรรทัดฐานและเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องยึดถือตามนั้น ไม่อาจผันแปรเป็นอื่นได้ แล้ว กกต. ก็ได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดแล้ว
คดีเช่นนี้ใช้เวลา 3 วัน 5 วัน ก็เพียงพอต่อการส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะทุกอย่างเป็นยุติตามคำตัดสินของศาลฎีกาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญเองก็คงใช้เวลาตามกระบวนการพิจารณาอย่างช้าก็เดือนสองเดือน เพราะไม่มีข้อเท็จจริงใดต้องโต้เถียงกันอีก
ดังนั้นหากเรื่องราวเป็นไปตามกระบวนการที่ควรเป็นตามปกติ ปัญหาสำคัญของบ้านเมืองก็จะเสร็จสิ้นเป็นที่ยุติ เป็นความยุติธรรมที่ปรากฏขึ้นได้
แต่การล่าช้าจนผิดปกติทั้งสามเรื่องสามราวนี้เป็นเรื่องทนโท่เหลือประมาณนัก จนกระทั่งผู้รับผิดชอบเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะชี้แจงกล่าวอ้างต่อสาธารณชนได้เลย ความสงสัยจึงยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีคดีก่อจลาจลหน้าบ้านประธานองคมนตรีที่ปล่อยปละละเลยจนพ้นเวลาควบคุมตัวผู้ต้องหาแล้วต้องปล่อยตัวไป จนถึงเวลานี้ก็ไม่มีความคืบหน้า ผู้คนเขาจึงกล่าวหาได้ว่านี่คือความยุติธรรมที่ล่าช้า
สำนักงานอัยการสูงสุดก็ดี อัยการสูงสุดก็ดี รองอัยการสูงสุดและคณะผู้บริหารระดับสูงๆ ก็ดี อย่าได้ดูแคลนความรู้สึกของประชาชนเป็นอันขาด พวกท่านรับไว้ไม่ไหวหรอก
ขอให้น้อมนำเอากระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานแก่คณะตุลาการศาลปกครองที่ว่าการทำให้ประชาชนผิดหวังเป็นอันตรายมาก มาประพฤติปฏิบัติเถิด ความเป็นมงคลย่อมเกิดขึ้นเป็นแน่นอน
คนทั้งหลายย่อมหวังในความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ความยุติธรรมที่ล่าช้าเป็นความไม่ยุติธรรม หากยังเป็นอยู่เช่นนี้ประชาชนก็ย่อมผิดหวัง และจะเป็นอันตรายดังกระแสพระราชดำรัสนั้น
จึงควรที่อัยการสูงสุดและคณะผู้บริหารทั้งปวงจะได้เร่งแก้ไขปัญหาที่กำลังทำให้สถาบันอัยการเสียหายยับเยินให้กลับฟื้นคืนดีโดยเร็วที่สุด
คนทั้งหลายย่อมหวังในความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง เพราะความยุติธรรมนั่นแล้วคือขื่อแปของบ้านเมือง เมื่อใดที่คนทั้งหลายหวังในความยุติธรรมไม่ได้เพราะความยุติธรรมล่าช้าจนกลายเป็นความไม่ยุติธรรมเป็นต้นเหตุปัจจัยที่ทำให้คนชั่ว คนเถื่อนเข้าไปมีอำนาจในบ้านเมืองแล้ว เมื่อนั้นก็เป็นอันไม่มีขื่อแปบ้านเมืองอีกต่อไป
ความเป็นอนาธิปไตยก็จะเกิดขึ้น ความเป็นจลาจล กลียุค ก็จะบังเกิดขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมืองโดยตรง
และคงจะต้องรับผิดชอบเป็นรายบุคคลที่จะถูกดำเนินคดีอาญาตามที่ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ให้สัมภาษณ์ไว้นั้นอีกทางหนึ่งเป็นแน่นอน
ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือบ้านเมืองมิให้กลายเป็นสภาพอนาธิปไตยเถิด จะเป็นมงคลแก่ท่านทั้งหลายเอง.