ผู้จัดการรายวัน – PTTAR ยอมรับค่าการกลั่นรวมเฉลี่ยปีนี้หดเหลือ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าปีที่แล้ว 40% หลังราคาน้ำมันร่วง คาดอีก 1 เดือนโรงกลั่นกลับมาเดินได้อย่างสมบูรณ์ หลังซ่อมหน่วยไฮโดรแครกฯเสร็จ แย้มจับมือปตท.มองดูลู่ทางการตั้งโรงอะโรเมติกส์ในเวียดนามด้วย
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)(PTTAR) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยรวมปิโตรเคมี (Gross Integrated Margin )จะอยู่ที่ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าปีที่แล้วที่ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากไตรมาส 4/2550 ราคาน้ำมันปรับตัวสูงมากทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้น แต่ปีนี้ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลดลงช่วงนี้ และมาร์จินอะโรเมติกส์ในครึ่งปีแรกไม่ดี แม้ว่าครึ่งปีหลังมาร์จินอะโรเมติกส์จะสูงขึ้นก็ตามซึ่งการปรับลดลงของค่าการกลั่นเฉลี่ยรวมดังกล่าวนี้ จะทำให้กำไรสุทธิของ PTTAR น่าจะต่ำกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิรวม 1.8 หมื่นล้านบาท
"ขณะนี้น้ำมันดิบและสำเร็จรูปปรับลงมาก ทำให้สเปรดมาร์จินเบนซินและน้ำมันดิบดีขึ้นจากไตรมาส 2ที่ผ่านมาอยู่ที่ 2-3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขยับขึ้นเป็น 13-14 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้นคาดว่ามาร์จินการกลั่นในปีนี้ยังดีอยู่ ส่วนราคาคอนเดนเสทได้ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบ ทำให้สเปรดมาร์จินของพาราไซลีนและเบนซีนกลับมาดีขึ้นอยู่ที่ 300 -400 เหรียญสหรัฐ/ตัน "
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลดลง บริษัทฯคงได้รับผลกระทบไม่มากเนื่องจากมีการทำการป้องกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง)การขายสเปรดน้ำมันล่วงหน้าคิดเป็น 47%ของกำลังการผลิต ซึ่งจะช่วยไม่ให้มาร์จินการกลั่นลดลง
นายชายน้อย กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้บมจ.ปตท.ได้ชักชวนบริษัทฯเข้าไปหาโอกาสการลงทุนโรงอะโรเมติกส์ที่เวียดนาม โดยจะมองจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมและความเป็นไปได้ ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนต่อยอดดาวน์สตรีมผลิตเบนซีนหรือเบนซีน เดลิเวทิฟ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตร 2-3 ราย โดยมองโอกาสในการเข้าไปร่วมถือหุ้นในส่วนขยายกำลังการผลิตของคาโปรแลคตั้ม และโครงการผลิตสไตรีน โมโนเมอร์ เป็นต้น เพื่อให้มีตลาดรองรับเบนซีน ซึ่งบริษัทฯจะส่งออกเบนซีนประมาณ 1 แสนกว่าตัน/ปี (หลังโรงอะโรเมติกส์ 2 เสร็จ)
คาดอีก1 เดือนกลับมากลั่นได้ตามปกติ
ส่วนความคืบหน้าการปิดซ่อมหน่วยไฮโดรแครกเกอร์ของโรงกลั่นว่า ขณะนี้บริษัทได้ปรับเปลี่ยนตัวแคตเตอริสติกแล้ว คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องหน่วยการกลั่นน้ำมันดิบ (Crude Unit) 1.45 แสนบาร์เรล/วันได้ภายในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ แต่เนื่องจากยังต้องปิดหน่วยไฮโดรแครกฯ ทำให้น้ำมันดีเซลที่ผลิตได้ในช่วงแรกจะลดลงจากเดิม 50%ของกำลังการผลิต จะเหลือเพียง 20-25%ของกำลังการผลิต
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯคาดว่าจะดำเนินซ่อมและดำเนินการผลิตในหน่วยไฮโดรแครกฯได้ภายใน 30 วัน และจะเปลี่ยนอุปกรณ์แคตเตอริสติกก่อนล่วงหน้า 3 เดือน เพื่อจะได้ไม่ต้องหยุดปิดซ่อมบำรุงในปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯจะเคลมประกันจากอุบัติเหตุการปิดซ่อมบำรุงและรายได้ที่หายไป คาดว่าจะชดเชยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ได้
ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงอะโรเมติกส์ 2 คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้สิ้นก.ย.นี้ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 1.1 ล้านตันเป็น 2.2 ล้านตัน/ปี ทำให้ปีนี้บริษัทฯมีการผลิตอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านตัน/ปี
นายชายน้อย กล่าวถึงกรณีที่โรงกลั่นน้ำมันใหม่ของอินเดียจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายปีนี้ว่าโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้มาร์จินการกลั่นลดลงบ้าง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐฯและยุโรป เพราะเดิมอินเดียมีแผนจะส่งออกเบนซินไปสหรัฐฯ และน้ำมันดีเซลไปยุโรป ขณะเดียวกันอินเดียมีความต้องการใช้น้ำมันมากเฉลี่ยวันละ 3 ล้านบาร์เรล และจีนก็ใช้น้ำมันอยู่ที่ 7.5 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะเดียวกันตะวันออกกลางก็มีการลงทุนค่อนข้างมากทำให้มีความต้องการใช้น้ำมัน ดังนั้นโรงกลั่นน้ำมันอินเดียที่จะเริ่มผลิตก็ไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)(PTTAR) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยรวมปิโตรเคมี (Gross Integrated Margin )จะอยู่ที่ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าปีที่แล้วที่ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากไตรมาส 4/2550 ราคาน้ำมันปรับตัวสูงมากทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้น แต่ปีนี้ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลดลงช่วงนี้ และมาร์จินอะโรเมติกส์ในครึ่งปีแรกไม่ดี แม้ว่าครึ่งปีหลังมาร์จินอะโรเมติกส์จะสูงขึ้นก็ตามซึ่งการปรับลดลงของค่าการกลั่นเฉลี่ยรวมดังกล่าวนี้ จะทำให้กำไรสุทธิของ PTTAR น่าจะต่ำกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิรวม 1.8 หมื่นล้านบาท
"ขณะนี้น้ำมันดิบและสำเร็จรูปปรับลงมาก ทำให้สเปรดมาร์จินเบนซินและน้ำมันดิบดีขึ้นจากไตรมาส 2ที่ผ่านมาอยู่ที่ 2-3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขยับขึ้นเป็น 13-14 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้นคาดว่ามาร์จินการกลั่นในปีนี้ยังดีอยู่ ส่วนราคาคอนเดนเสทได้ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบ ทำให้สเปรดมาร์จินของพาราไซลีนและเบนซีนกลับมาดีขึ้นอยู่ที่ 300 -400 เหรียญสหรัฐ/ตัน "
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลดลง บริษัทฯคงได้รับผลกระทบไม่มากเนื่องจากมีการทำการป้องกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง)การขายสเปรดน้ำมันล่วงหน้าคิดเป็น 47%ของกำลังการผลิต ซึ่งจะช่วยไม่ให้มาร์จินการกลั่นลดลง
นายชายน้อย กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้บมจ.ปตท.ได้ชักชวนบริษัทฯเข้าไปหาโอกาสการลงทุนโรงอะโรเมติกส์ที่เวียดนาม โดยจะมองจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมและความเป็นไปได้ ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนต่อยอดดาวน์สตรีมผลิตเบนซีนหรือเบนซีน เดลิเวทิฟ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตร 2-3 ราย โดยมองโอกาสในการเข้าไปร่วมถือหุ้นในส่วนขยายกำลังการผลิตของคาโปรแลคตั้ม และโครงการผลิตสไตรีน โมโนเมอร์ เป็นต้น เพื่อให้มีตลาดรองรับเบนซีน ซึ่งบริษัทฯจะส่งออกเบนซีนประมาณ 1 แสนกว่าตัน/ปี (หลังโรงอะโรเมติกส์ 2 เสร็จ)
คาดอีก1 เดือนกลับมากลั่นได้ตามปกติ
ส่วนความคืบหน้าการปิดซ่อมหน่วยไฮโดรแครกเกอร์ของโรงกลั่นว่า ขณะนี้บริษัทได้ปรับเปลี่ยนตัวแคตเตอริสติกแล้ว คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องหน่วยการกลั่นน้ำมันดิบ (Crude Unit) 1.45 แสนบาร์เรล/วันได้ภายในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ แต่เนื่องจากยังต้องปิดหน่วยไฮโดรแครกฯ ทำให้น้ำมันดีเซลที่ผลิตได้ในช่วงแรกจะลดลงจากเดิม 50%ของกำลังการผลิต จะเหลือเพียง 20-25%ของกำลังการผลิต
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯคาดว่าจะดำเนินซ่อมและดำเนินการผลิตในหน่วยไฮโดรแครกฯได้ภายใน 30 วัน และจะเปลี่ยนอุปกรณ์แคตเตอริสติกก่อนล่วงหน้า 3 เดือน เพื่อจะได้ไม่ต้องหยุดปิดซ่อมบำรุงในปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯจะเคลมประกันจากอุบัติเหตุการปิดซ่อมบำรุงและรายได้ที่หายไป คาดว่าจะชดเชยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ได้
ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงอะโรเมติกส์ 2 คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้สิ้นก.ย.นี้ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 1.1 ล้านตันเป็น 2.2 ล้านตัน/ปี ทำให้ปีนี้บริษัทฯมีการผลิตอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านตัน/ปี
นายชายน้อย กล่าวถึงกรณีที่โรงกลั่นน้ำมันใหม่ของอินเดียจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายปีนี้ว่าโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้มาร์จินการกลั่นลดลงบ้าง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐฯและยุโรป เพราะเดิมอินเดียมีแผนจะส่งออกเบนซินไปสหรัฐฯ และน้ำมันดีเซลไปยุโรป ขณะเดียวกันอินเดียมีความต้องการใช้น้ำมันมากเฉลี่ยวันละ 3 ล้านบาร์เรล และจีนก็ใช้น้ำมันอยู่ที่ 7.5 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะเดียวกันตะวันออกกลางก็มีการลงทุนค่อนข้างมากทำให้มีความต้องการใช้น้ำมัน ดังนั้นโรงกลั่นน้ำมันอินเดียที่จะเริ่มผลิตก็ไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่