xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวแรกของการเมืองใหม่อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

เผยแพร่:   โดย: รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง,รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย

ขณะนี้ 6 พรรคร่วมรัฐบาลกำลังจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงพวกเขาได้หมดความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยไปตั้งแต่ 8 ก.ค. 51 ทั้งนี้ก็เพราะว่า

รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 51 ให้ความเห็นชอบการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และมีผลสืบเนื่องต่อมาในวันที่ 18 มิ.ย. 51ให้นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นได้กระทำการแทนรัฐบาลลงนามในคำแถลงการณ์ร่วม ให้ความเห็นชอบการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของรัฐบาลกัมพูชา ทำให้มีการจำกัดสิทธิบางประการของประเทศไทยในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว จนเป็นเหตุให้เกิดการประท้วงโต้แย้งคัดค้านการดำเนินการของรัฐบาลอย่างกว้างขวาง

ในเวลาต่อมา วุฒิสมาชิกจำนวนหนึ่งได้เข้าชื่อเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 51 ดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 190 วรรคสองที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่

นอกเหนือจากนี้พรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ได้แก่ นายสมัคร สุนทรเวช นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายทรงศักดิ์ ทองศรี และนายนพดล ปัทมะ รวม 8 ท่านในวันที่ 24 มิ.ย. 51

ผลการลงมติไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างก็ได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจจากพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 6 พรรคอย่างท่วมท้น 280 ต่อ 161 เสียง เป็นส่วนใหญ่

ผลลัพธ์เช่นนี้เป็นไปตามการเมืองแบบเก่าที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องอาศัยเสียงข้างมากเข้ามาโอบอุ้มโดยไม่ไยดีว่าสมควรจะพิจารณาไว้วางใจหรือไม่

แต่ผลการวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 8 ก.ค. 51 ที่อาศัยเสียงเพียง 9 เสียงของคณะตุลาการก็วินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาลงวันที่ 18 มิ.ย.51ดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ.1969 และด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 เห็นว่าคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาลงวันที่ 18 มิ.ย. 51 ดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 190 วรรคสองที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

รัฐบาลนายสมัครได้ทำผิดกฎหมายสูงสุดแต่กลับนิ่งเฉย เป็นไปตามการเมืองแบบเก่า ที่อาศัยเสียงข้างมากเข้ามาตัดสินว่าอะไรถูกหรือไม่

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีผู้กล่าวมากมายหลายคนว่าต้องการ “การเมืองใหม่” แต่ยังไม่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมว่า “การเมืองใหม่”ที่ว่านั้นคืออะไร

การเมืองใหม่ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลมีความชอบธรรมมากน้อยเพียงใดที่จะดำรงตำแหน่งอยู่เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี

รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลได้ทำผิดกฎหมายสูงสุดมาตั้งแต่ 8 ก.ค. 51 เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดไปแล้ว แต่รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลกลับไม่แยแสแต่อย่างใด

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง 3 ท่านนี้ คนใดคนหนึ่งกำลังจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาดูจากตำแหน่งหน้าที่การงานแล้วเป็นที่สงสัยว่าท่านทั้ง 3 จะมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเมืองใหม่มากน้อยเพียงใด และถ้ามีท่านจะกล้ารับตำแหน่งอีกหรือไม่ในเมื่อพวกท่านยังไม่ได้แก้ไขในสิ่งที่ได้กระทำผิดไปเลย

ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 6 พรรคโปรดไตร่ตรองดูให้ดี ระหว่างเสียงข้างมากกับกฎหมายที่พวกท่านต้องเป็นแบบอย่างให้ยึดถือ การที่พวกท่านได้ไปยกมือรับรองสิ่งที่กฎหมายชี้ว่าผิดไปแล้วจะทำให้เป็นถูกอีกมันจะเป็นไปได้อย่างไร พวกท่านจะไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลยหรือ?

หากท่าน ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลมีความประสงค์จะได้การเมืองใหม่เช่นเดียวกันกับฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบจึงเป็นการแสดงออกซึ่งการเมืองใหม่อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด มิใช่การใช้เสียงข้างมากมาเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีมลทินอันเนื่องมาจากได้กระทำผิดกฎหมายสูงสุดไปแล้วตั้งแต่ 8 ก.ค.51

โทมัส มอร์ ได้กล่าวไว้เมื่อกว่า 500 ปีที่แล้วว่า “รัฐบาลนั้นเป็นองค์กรที่สำคัญมากเกินกว่าที่จะปล่อยให้อยู่ในเงื้อมมือของพวกวายร้ายได้” เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมและสร้างหลักประกันว่า ประเทศของเราจะเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง นี่แหละคือก้าวแรกของการเมืองใหม่อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด นั่นคือ จงอย่าให้รัฐบาลอยู่ในเงื้อมมือของพวกวายร้ายเป็นอันขาด

หมายเหตุ :
เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด
กำลังโหลดความคิดเห็น