รอยเตอร์ – บรรดาเจ้าหน้าที่กำกับตรวจสอบของสหรัฐฯ และนายแบงก์ทั้งหลาย ยังคงประสบความล้มเหลวภายหลังเจรจากันเมื่อวันเสาร์(13) เพื่อทำข้อตกลงที่จะยุติวิกฤตซึ่งกำลังกระหน่ำใส่ เลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจที่เคยยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 4 ของวอลล์สตรีท ทำให้การหารือฉุกเฉินต้องขยายเวลาออกไปเป็นวันที่สามในวันอาทิตย์(14) โดยที่ทางการผู้รับผิดชอบปรารถนาที่จะได้ข้อสรุปก่อนตลาดการเงินเปิดทำการในวันนี้(15)
เท่าที่ผ่านมาในปีนี้ รัฐบาลสหรัฐฯได้เข้าอุปถัมภ์แผนการช่วยเหลือสถาบันการเงินไม่ให้ตกอยู่ในภาวะล้มละลายมาแล้ว 3 ราย ได้แก่ แบร์สเติร์นส์ วาณิชธนกิจวอลล์สตรีทที่เป็นคู่แข่งของเมอร์ริล, แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค 2 สถาบันสินเชื่อที่อยู่อาศัยยักษ์ใหญ่
แต่สำหรับคราวนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เฮนรี พอลสัน กำลังมีท่าทีใจแข็งไม่ต้องการให้เอาเงินภาษีของประชาชนมาใช้ช่วยเหลือเมอร์ริล แหล่งข่าวรายหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับความคิดของขุนคลังผู้นี้เป็นอย่างดีเปิดเผยเมื่อวันศุกร์(12)
ในการประชุมเป็นวันที่สองเมื่อวันเสาร์ ปรากฏว่าจบลงโดยไม่มีการแถลงข่าวใดๆ แต่ผู้คนที่ได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ บอกว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่อาจจะตกลงกันได้ น่าจะออกมาในลักษณะที่มีการตัดเอาสินทรัพย์ส่วนที่ย่ำแย่ของเลห์แมน ออกมาไว้ใน “แบด แบงก์” ซึ่งพวกแบงก์คู่แข่งของเลห์แมนจะร่วมลงขันซื้อหุ้น หรือกระทั่งยอมปล่อยให้เลห์แมนยื่นเรื่องขอความคุ้มครองตามกฎหมายล้มละลายทีเดียว
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ทั้งพอลสัน ตลอดจนธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งมีท่าทีมุ่งเรียกร้องให้พวกนายแบงก์ในวอลล์สตรีทออกมาหาทางแก้ไขปัญหาคราวนี้กันเอง ต่างกำลังต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเพื่อทำให้เกิดความสมดุล
กล่าวคือ ทางการผู้รับผิดชอบเหล่านี้ไม่ต้องการที่จะถูกกล่าวหาว่า กำลังส่งเสริมให้เกิดการเสี่ยงภัยอย่างไม่บันยะบันยัง ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งที่มีปัญหาจากการลงทุนโดยไม่รอบคอบของตัวเอง ให้พ้นจากภาวะล้มละลาย
ทว่าขณะเดียวกัน ทางการผู้รับผิดชอบเหล่านี้ก็ไม่สามารถปล่อยให้เลห์แมนล้มครืน และสร้างผลกระทบบานปลายที่อาจทำให้ระบบการเงินเป็นอัมพาต และวิกฤตสินเชื่อยิ่งขยายตัวร้ายแรง
บรรดานักลงทุนบอกว่า ถ้าภายในวันจันทร์(16)ยังไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว ตลาดการเงินทั่วโลกก็มีหสะวดิ่งถลาฮวบฮาบ เพราะความหวาดกลัวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐฯคงจะต้องเข้าไปพยุงพวกสถาบันการเงินมากแห่งขึ้นไปอีกในอนาคตข้างหน้า
**ตลาดอยู่ในภาวะเปราะบาง**
แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ผู้หนึ่งเล่าว่า ทั้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) และเฟด ต่างมีการประชุมหารือทางโทรศัพท์กับพวกที่ทำธุรกิจกับเลห์แมนตามตลาดใหญ่ๆ เพื่อปรึกษาถึงผลพวงที่จะเกิดขึ้น ในสภาพสถานการณ์สมมุติต่างๆ ที่อาจเป็นไปได้
หุ้นของเลห์แมนที่ร่วงหนักมาตลอดสัปดาห์ที่แล้ว ยังคงทรุดลงอีก 12% ในวันศุกร์(12)เป็นการปิดท้ายสัปดาห์ ทว่าสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะเปราะบางมากก็คือ ไม่เพียงเฉพาะวาณิชธนกิจแห่งนี้เท่านั้น หุ้นของสถาบันการเงินอื่นที่เกิดความเสียหายหนักจากการพัวพันกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ต่างก็ไหลรูดเช่นเดียวกัน โดยที่ยักษ์ใหญ่ประกันภัย อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ราคาหุ้นหล่นลงมากว่า 30% ส่วนกิจการสถาบันออมทรัพย์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯอย่าง วอชิงตัน มิวชวล อิงก์ ได้หล่นหายไปถึง 80% แล้วในปีนี้
บุคคลผู้ที่ได้รับการบรรยายสรุปสถานการณ์เผยว่า ดิ๊ก ฟัลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเลห์แมน กำลังมองหาทางที่จะขายกิจการของเลห์แมนทั้งแบงก์ ให้แก่แบงก์แห่งอื่นๆ อาทิ แบงก์ออฟอเมริกาคอร์ป ซึ่งเป็นแบงก์ใหญ่อันดับ2 ของสหรัฐฯเมื่อวัดจากสินทรัพย์ และ บาร์เคลย์ส แบงก์ ที่เป็นแบงก์ใหญ่อันดับ3ของอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาอยู่ที่ว่าแบงก์ที่สนใจซื้อยังมีท่าทีลังเล หากรัฐบาลไม่ให้การสนับสนุนทำนองเดียวกับที่ เจพีมอร์แกน เคยได้รับ เมื่อตอนเข้าไปเทคโอเวอร์แบร์สเติร์นส์ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ตามรายงานของสื่อมวลชนหลายราย
เท่าที่ผ่านมาในปีนี้ รัฐบาลสหรัฐฯได้เข้าอุปถัมภ์แผนการช่วยเหลือสถาบันการเงินไม่ให้ตกอยู่ในภาวะล้มละลายมาแล้ว 3 ราย ได้แก่ แบร์สเติร์นส์ วาณิชธนกิจวอลล์สตรีทที่เป็นคู่แข่งของเมอร์ริล, แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค 2 สถาบันสินเชื่อที่อยู่อาศัยยักษ์ใหญ่
แต่สำหรับคราวนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เฮนรี พอลสัน กำลังมีท่าทีใจแข็งไม่ต้องการให้เอาเงินภาษีของประชาชนมาใช้ช่วยเหลือเมอร์ริล แหล่งข่าวรายหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับความคิดของขุนคลังผู้นี้เป็นอย่างดีเปิดเผยเมื่อวันศุกร์(12)
ในการประชุมเป็นวันที่สองเมื่อวันเสาร์ ปรากฏว่าจบลงโดยไม่มีการแถลงข่าวใดๆ แต่ผู้คนที่ได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ บอกว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่อาจจะตกลงกันได้ น่าจะออกมาในลักษณะที่มีการตัดเอาสินทรัพย์ส่วนที่ย่ำแย่ของเลห์แมน ออกมาไว้ใน “แบด แบงก์” ซึ่งพวกแบงก์คู่แข่งของเลห์แมนจะร่วมลงขันซื้อหุ้น หรือกระทั่งยอมปล่อยให้เลห์แมนยื่นเรื่องขอความคุ้มครองตามกฎหมายล้มละลายทีเดียว
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ทั้งพอลสัน ตลอดจนธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งมีท่าทีมุ่งเรียกร้องให้พวกนายแบงก์ในวอลล์สตรีทออกมาหาทางแก้ไขปัญหาคราวนี้กันเอง ต่างกำลังต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเพื่อทำให้เกิดความสมดุล
กล่าวคือ ทางการผู้รับผิดชอบเหล่านี้ไม่ต้องการที่จะถูกกล่าวหาว่า กำลังส่งเสริมให้เกิดการเสี่ยงภัยอย่างไม่บันยะบันยัง ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งที่มีปัญหาจากการลงทุนโดยไม่รอบคอบของตัวเอง ให้พ้นจากภาวะล้มละลาย
ทว่าขณะเดียวกัน ทางการผู้รับผิดชอบเหล่านี้ก็ไม่สามารถปล่อยให้เลห์แมนล้มครืน และสร้างผลกระทบบานปลายที่อาจทำให้ระบบการเงินเป็นอัมพาต และวิกฤตสินเชื่อยิ่งขยายตัวร้ายแรง
บรรดานักลงทุนบอกว่า ถ้าภายในวันจันทร์(16)ยังไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว ตลาดการเงินทั่วโลกก็มีหสะวดิ่งถลาฮวบฮาบ เพราะความหวาดกลัวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐฯคงจะต้องเข้าไปพยุงพวกสถาบันการเงินมากแห่งขึ้นไปอีกในอนาคตข้างหน้า
**ตลาดอยู่ในภาวะเปราะบาง**
แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ผู้หนึ่งเล่าว่า ทั้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) และเฟด ต่างมีการประชุมหารือทางโทรศัพท์กับพวกที่ทำธุรกิจกับเลห์แมนตามตลาดใหญ่ๆ เพื่อปรึกษาถึงผลพวงที่จะเกิดขึ้น ในสภาพสถานการณ์สมมุติต่างๆ ที่อาจเป็นไปได้
หุ้นของเลห์แมนที่ร่วงหนักมาตลอดสัปดาห์ที่แล้ว ยังคงทรุดลงอีก 12% ในวันศุกร์(12)เป็นการปิดท้ายสัปดาห์ ทว่าสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะเปราะบางมากก็คือ ไม่เพียงเฉพาะวาณิชธนกิจแห่งนี้เท่านั้น หุ้นของสถาบันการเงินอื่นที่เกิดความเสียหายหนักจากการพัวพันกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ต่างก็ไหลรูดเช่นเดียวกัน โดยที่ยักษ์ใหญ่ประกันภัย อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ราคาหุ้นหล่นลงมากว่า 30% ส่วนกิจการสถาบันออมทรัพย์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯอย่าง วอชิงตัน มิวชวล อิงก์ ได้หล่นหายไปถึง 80% แล้วในปีนี้
บุคคลผู้ที่ได้รับการบรรยายสรุปสถานการณ์เผยว่า ดิ๊ก ฟัลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเลห์แมน กำลังมองหาทางที่จะขายกิจการของเลห์แมนทั้งแบงก์ ให้แก่แบงก์แห่งอื่นๆ อาทิ แบงก์ออฟอเมริกาคอร์ป ซึ่งเป็นแบงก์ใหญ่อันดับ2 ของสหรัฐฯเมื่อวัดจากสินทรัพย์ และ บาร์เคลย์ส แบงก์ ที่เป็นแบงก์ใหญ่อันดับ3ของอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาอยู่ที่ว่าแบงก์ที่สนใจซื้อยังมีท่าทีลังเล หากรัฐบาลไม่ให้การสนับสนุนทำนองเดียวกับที่ เจพีมอร์แกน เคยได้รับ เมื่อตอนเข้าไปเทคโอเวอร์แบร์สเติร์นส์ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ตามรายงานของสื่อมวลชนหลายราย
