จะต้องนำความบางตอนของเรื่อง “ดูพรรคร่วมรัฐบาลฆ่าตัวตาย?” ที่ลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2551 มาเกริ่นนำเสียก่อน คือ
“ถ้าใครจะให้ฟันธง ก็ต้องขอฟันธงว่านายสมัคร สุนทรเวช ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง”
“สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่นิ่ง ยังคงผันแปรเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อุปมาดั่งเมฆที่ลอยอยู่ในนภากาศ หานิ่งอยู่กับที่ไม่ ลมฝนบนฟ้าไหนเลยจะนิ่งดูดาย ปล่อยให้บ้านเมืองพังพินาศฉิบหายไปต่อหน้าต่อตา” และ
“นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะเป็นหุ่นเชิดในค่ายเดิม หรือจะเป็นนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนี้ยังไม่มีความแน่ชัด ความจริงจะเปิดเผยให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นหลังเที่ยงคืนวันนี้ไปแล้ว”
ลมฝนบนฟ้าที่ได้ก่อตัวขึ้นหลังคณะบุคคลสำคัญกลับจากหัวหิน และพบปะกับผู้นำเหล่าทัพแล้วพัดกล้าขึ้นเมื่อคืนวันที่ 11 กันยายน 2551
“เสื้อ ปลา และอ่าง” รับแรงลมขับเคลื่อนไปอย่างหนักหน่วง
นักการเมืองผู้เฒ่าหลายคนไม่เป็นอันหลับนอนทั้งคืน และในที่สุดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีก็ล่มลง ด้วยเสียงกึกก้องว่าไม่เอาสมัคร
เหลือคนเพียง 161 คนที่ถูกเปิดเผยตัวให้เห็นเด่นชัดถึงความเป็นขี้ข้าทาสรับใช้ทรราชกลุ่มใหม่ที่ยังฝืนดึงดันไม่แยแสต่อฟ้าดิน เปิดเผยตัวล่อนจ้อนว่าคนเหล่านี้แหละคือแก่นแท้ของพวกทรราชใหม่ ที่มุ่งแย่งชิงอำนาจจากขั้วอำนาจเดิม
ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งแหกขี้ตามาประชุมสภาตั้งแต่ไก่โห่ หมายมั่นปั้นมือจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต้องหน้าแตกจนเย็บไม่ติด!
พรรคร่วมรัฐบาลไม่ยอมฆ่าตัวตาย และไม่ยอมกลายเป็นพรรคมาร เฉกเดียวกับพรรคมารในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ดังนั้นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จึงคงเหลือ 3 ทาง คือมาจากพรรคหุ่นเชิดเดิม ไม่ว่าจะเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งทั้งสามคนนี้ขณะนี้ภาษีของนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จะดูดีกว่าใคร
แต่ก็มีแผลใหญ่อยู่ข้างหลังแต่เมื่อครั้งย้ายอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งถูกพิพากษาโดยสังคมแล้วว่ามีและใช้อำนาจเพื่อฟอกผิดให้กับใครบางคน
ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีคนใหม่จักมาจากโรงหุ่นค่ายเดิมก็ไม่อาจนำพาชาติออกจากวิกฤตได้
อีกทางหนึ่งคือไปช่วยกันหนุนนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ดูเหมือนว่าแม้จะอยากเป็นสักแค่ไหน แต่ความรักตัวกลัวตายและกลัวความเดือดร้อนมาถึงครอบครัวที่จะต้องรับแรงกดดันทั่วด้าน อาจทำให้นายบรรหาร ศิลปอาชา จำใจต้องรับหน้าเป็นมือสอง ซึ่งมีพลังต่อรองที่เกือบมากที่สุด
ทางที่สาม คือการอุ้มชูนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคสนับสนุน บวกด้วย ส.ส. พรรคพลังประชาชนสายพรรความหวังใหม่เดิม สายภาคเหนือ และกรุงเทพฯ บางส่วน โดยได้รับโควตารัฐมนตรีที่อาจใช้บุคคลภายนอกเข้าไปทำหน้าที่แทน
ทางที่สามดังกล่าวนี้ก็คือโฉมหน้ารัฐบาลแห่งชาติในสถานการณ์ที่วิกฤตของชาติ
หากไม่ใช่สามทางนี้แล้ว ก็คือความล้มเหลวของสภาชุดนี้ ซึ่งขณะนี้ก็เสื่อมทรุดเต็มทีเพราะกำลังมีภาพลักษณ์เป็นสภาโจร ตามแบบรัฐบาลโจรไปอีกสถาบันหนึ่งแล้ว และเมื่อล้มเหลวแล้ว หากสภานี้จะล้มไปก็ย่อมเป็นไปตามความปรารถนาของปวงชน
จะมีแต่เสียงอนุโมทนาสาธุการถ้าหากสภาโจรและรัฐบาลโจรจะหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย! ใครทำการกำจัดพวกโจรเหล่านี้ นอกจากจะไม่มีใครคัดค้านแล้ว กลับจะได้รับการสนับสนุนอุ้มชูท่วมฟ้าท่วมดิน
การตัดสินใจจึงง่ายและไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ ทั้งสามารถชี้แจงแถลงไขให้นานาชาติเข้าใจได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเลย
มาดูกันว่าความเป็นไปได้ทั้งสามทางนี้อย่างไหนจะสั้น อย่างไหนจะยาว?
ถ้าหากนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคพลังประชาชน ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน ก็ยากที่จะสลัดภาพและความผูกพันของความเป็นหุ่นเชิดไปได้ เพราะขณะนี้จะมีใครสักกี่คนที่ไว้ใจพรรคการเมืองนี้
ข้ออ้างที่ว่ามาจากการเลือกตั้งนั้นลวงคนไม่ได้แล้ว เพราะคนทั้งหลายรู้และเข้าใจดีว่าความจริงคือมาจากการโกงเลือกตั้ง ดังที่ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว
การมาจากการเลือกตั้งกับการมาจากการโกงเลือกตั้งเป็นคนละเรื่อง การมาจากการโกงเลือกตั้งนั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินไว้แล้วว่าไม่ใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตย อวดไปอ้างไปก็เสียราคาเปล่า ๆ
ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคพลังประชาชน วิกฤตก็ยังโหมโรมเร้าต่อไปและต้องพังพาบไปในไม่กี่วันเหมือนเดิม
หรือหากนายบรรหาร ศิลปอาชา ดื้อด้านอยากเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่คำนึงถึงชาติบ้านเมือง ก็คงจะถูกกด ถูกเหยียบ จนต้องยุบสภาในเวลาอันรวดเร็ว เพราะภาพลักษณ์ของนายบรรหาร ศิลปอาชา ในเวลานี้จะมีสักกี่คนที่เชื่อถือ คำประกาศสัจจะนิยมมีค่าเท่ากับการผายลมรดหน้าคนไทยที่ไม่มีใครลืมเลือนอีกแล้ว
แต่ถ้าเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย่อมมีวิสัยและโอกาสที่จะผ่อนคลายหรือแก้วิกฤตของชาติบ้านเมืองได้
จะมีคนเดือดร้อนและเป็นฝ่ายค้านเพียงกลุ่มเดียวคือกลุ่มแก๊งสี่คน ซึ่งต้องรับผลแห่งกรรมที่ทำไว้เป็นอนันตริยกรรมต่อบ้านเมือง และจะหยุดยั้งอันตรายที่กำลังคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างได้ผลด้วย
เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตายแล้ว ต่อไปนี้ก็ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่สั้นหรืออยู่ยาว ถ้าอยู่ยาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยกันสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น
โบราณว่าถ้าครองตนสอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าก็จะได้รับมงคล หากไม่สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าก็จะได้รับอัปมงคล ดังนี้ จะเอาอย่างไหนก็เลือกเอา?
“ถ้าใครจะให้ฟันธง ก็ต้องขอฟันธงว่านายสมัคร สุนทรเวช ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง”
“สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่นิ่ง ยังคงผันแปรเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อุปมาดั่งเมฆที่ลอยอยู่ในนภากาศ หานิ่งอยู่กับที่ไม่ ลมฝนบนฟ้าไหนเลยจะนิ่งดูดาย ปล่อยให้บ้านเมืองพังพินาศฉิบหายไปต่อหน้าต่อตา” และ
“นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะเป็นหุ่นเชิดในค่ายเดิม หรือจะเป็นนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนี้ยังไม่มีความแน่ชัด ความจริงจะเปิดเผยให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นหลังเที่ยงคืนวันนี้ไปแล้ว”
ลมฝนบนฟ้าที่ได้ก่อตัวขึ้นหลังคณะบุคคลสำคัญกลับจากหัวหิน และพบปะกับผู้นำเหล่าทัพแล้วพัดกล้าขึ้นเมื่อคืนวันที่ 11 กันยายน 2551
“เสื้อ ปลา และอ่าง” รับแรงลมขับเคลื่อนไปอย่างหนักหน่วง
นักการเมืองผู้เฒ่าหลายคนไม่เป็นอันหลับนอนทั้งคืน และในที่สุดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีก็ล่มลง ด้วยเสียงกึกก้องว่าไม่เอาสมัคร
เหลือคนเพียง 161 คนที่ถูกเปิดเผยตัวให้เห็นเด่นชัดถึงความเป็นขี้ข้าทาสรับใช้ทรราชกลุ่มใหม่ที่ยังฝืนดึงดันไม่แยแสต่อฟ้าดิน เปิดเผยตัวล่อนจ้อนว่าคนเหล่านี้แหละคือแก่นแท้ของพวกทรราชใหม่ ที่มุ่งแย่งชิงอำนาจจากขั้วอำนาจเดิม
ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งแหกขี้ตามาประชุมสภาตั้งแต่ไก่โห่ หมายมั่นปั้นมือจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต้องหน้าแตกจนเย็บไม่ติด!
พรรคร่วมรัฐบาลไม่ยอมฆ่าตัวตาย และไม่ยอมกลายเป็นพรรคมาร เฉกเดียวกับพรรคมารในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ดังนั้นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จึงคงเหลือ 3 ทาง คือมาจากพรรคหุ่นเชิดเดิม ไม่ว่าจะเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งทั้งสามคนนี้ขณะนี้ภาษีของนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จะดูดีกว่าใคร
แต่ก็มีแผลใหญ่อยู่ข้างหลังแต่เมื่อครั้งย้ายอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งถูกพิพากษาโดยสังคมแล้วว่ามีและใช้อำนาจเพื่อฟอกผิดให้กับใครบางคน
ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีคนใหม่จักมาจากโรงหุ่นค่ายเดิมก็ไม่อาจนำพาชาติออกจากวิกฤตได้
อีกทางหนึ่งคือไปช่วยกันหนุนนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ดูเหมือนว่าแม้จะอยากเป็นสักแค่ไหน แต่ความรักตัวกลัวตายและกลัวความเดือดร้อนมาถึงครอบครัวที่จะต้องรับแรงกดดันทั่วด้าน อาจทำให้นายบรรหาร ศิลปอาชา จำใจต้องรับหน้าเป็นมือสอง ซึ่งมีพลังต่อรองที่เกือบมากที่สุด
ทางที่สาม คือการอุ้มชูนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคสนับสนุน บวกด้วย ส.ส. พรรคพลังประชาชนสายพรรความหวังใหม่เดิม สายภาคเหนือ และกรุงเทพฯ บางส่วน โดยได้รับโควตารัฐมนตรีที่อาจใช้บุคคลภายนอกเข้าไปทำหน้าที่แทน
ทางที่สามดังกล่าวนี้ก็คือโฉมหน้ารัฐบาลแห่งชาติในสถานการณ์ที่วิกฤตของชาติ
หากไม่ใช่สามทางนี้แล้ว ก็คือความล้มเหลวของสภาชุดนี้ ซึ่งขณะนี้ก็เสื่อมทรุดเต็มทีเพราะกำลังมีภาพลักษณ์เป็นสภาโจร ตามแบบรัฐบาลโจรไปอีกสถาบันหนึ่งแล้ว และเมื่อล้มเหลวแล้ว หากสภานี้จะล้มไปก็ย่อมเป็นไปตามความปรารถนาของปวงชน
จะมีแต่เสียงอนุโมทนาสาธุการถ้าหากสภาโจรและรัฐบาลโจรจะหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย! ใครทำการกำจัดพวกโจรเหล่านี้ นอกจากจะไม่มีใครคัดค้านแล้ว กลับจะได้รับการสนับสนุนอุ้มชูท่วมฟ้าท่วมดิน
การตัดสินใจจึงง่ายและไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ ทั้งสามารถชี้แจงแถลงไขให้นานาชาติเข้าใจได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเลย
มาดูกันว่าความเป็นไปได้ทั้งสามทางนี้อย่างไหนจะสั้น อย่างไหนจะยาว?
ถ้าหากนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคพลังประชาชน ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน ก็ยากที่จะสลัดภาพและความผูกพันของความเป็นหุ่นเชิดไปได้ เพราะขณะนี้จะมีใครสักกี่คนที่ไว้ใจพรรคการเมืองนี้
ข้ออ้างที่ว่ามาจากการเลือกตั้งนั้นลวงคนไม่ได้แล้ว เพราะคนทั้งหลายรู้และเข้าใจดีว่าความจริงคือมาจากการโกงเลือกตั้ง ดังที่ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว
การมาจากการเลือกตั้งกับการมาจากการโกงเลือกตั้งเป็นคนละเรื่อง การมาจากการโกงเลือกตั้งนั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินไว้แล้วว่าไม่ใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตย อวดไปอ้างไปก็เสียราคาเปล่า ๆ
ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคพลังประชาชน วิกฤตก็ยังโหมโรมเร้าต่อไปและต้องพังพาบไปในไม่กี่วันเหมือนเดิม
หรือหากนายบรรหาร ศิลปอาชา ดื้อด้านอยากเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่คำนึงถึงชาติบ้านเมือง ก็คงจะถูกกด ถูกเหยียบ จนต้องยุบสภาในเวลาอันรวดเร็ว เพราะภาพลักษณ์ของนายบรรหาร ศิลปอาชา ในเวลานี้จะมีสักกี่คนที่เชื่อถือ คำประกาศสัจจะนิยมมีค่าเท่ากับการผายลมรดหน้าคนไทยที่ไม่มีใครลืมเลือนอีกแล้ว
แต่ถ้าเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย่อมมีวิสัยและโอกาสที่จะผ่อนคลายหรือแก้วิกฤตของชาติบ้านเมืองได้
จะมีคนเดือดร้อนและเป็นฝ่ายค้านเพียงกลุ่มเดียวคือกลุ่มแก๊งสี่คน ซึ่งต้องรับผลแห่งกรรมที่ทำไว้เป็นอนันตริยกรรมต่อบ้านเมือง และจะหยุดยั้งอันตรายที่กำลังคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างได้ผลด้วย
เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตายแล้ว ต่อไปนี้ก็ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่สั้นหรืออยู่ยาว ถ้าอยู่ยาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยกันสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น
โบราณว่าถ้าครองตนสอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าก็จะได้รับมงคล หากไม่สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าก็จะได้รับอัปมงคล ดังนี้ จะเอาอย่างไหนก็เลือกเอา?