สถานการณ์ชาติบ้านเมืองตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ล้วนล้มลุกคลุกคลาน ทำเอาประเทศชาติตกอยู่ในสภาวะ “วิกฤต” จนดูเสมือนว่าแทบจะเอาตัวไม่รอด ซึ่งตัวแปรของปัญหาที่แท้จริงสาเหตุเกิดจาก “การเมือง” ทั้งสิ้น และทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การแก่งแย่งอำนาจ” ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ทั้งในหน่วยงานราชการด้วยกันเอง และแน่นอนที่สุด “พรรคการเมือง”
ทั้งหลายทั้งปวงของปัญหาที่มีการแย่งชิง “อำนาจ” กันนั้น ก็เพื่อให้ได้มาซึ่ง “อำนาจรัฐ” เพื่อ “ผลประโยชน์” แทบทั้งสิ้น จนบ่อยครั้งได้เกิด “วิกฤตการเมือง” จนถึงขั้นเลือดตกยางออกและ “นองเลือด” ในที่สุด
เหตุการณ์สำคัญๆ ที่มีการกล่าวถึงและจำกันได้เป็นอย่างดี คือ “เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516-16 ตุลาคม 2519-พฤษภาทมิฬ 2535” ซึ่งแต่ละครั้งนั้นเกิดจากปัญหาการแก่งแย่งอำนาจทุกครั้งไป แต่ที่สำคัญที่สุดคือ “ความแตกแยกสามัคคี” ของคนในชาติ
หลายครั้งหลายคราที่ “วิกฤตบ้านเมือง” ก่อให้เกิด “ความวิตกกังวล” และ “ความน่ากลัว” ว่า “ชาติล่มจม” จนถึงขั้นไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เนื่องด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของนานาสารพัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะ “พระสยามเทวาธิราช” และไม่สำคัญเท่ากับ “พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” หรือ “สมเด็จพ่อหลวง” ของเราชาวไทยทุกคน ที่สามารถนำพาชาติบ้านเมืองให้หลุดรอดพ้นภัยมาตราบเท่าทุกวันนี้
เพราะฉะนั้น “พระราชดำรัส-พระบรมราโชวาท-พระกระแสรับสั่ง-พระราชปราศรัย” ของพระองค์ท่านในหลากหลายวโรกาส ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่พระองค์ท่านทรงพระราชทานมอบให้เราชาวไทยเรื่อยมานั้น ล้วนส่งสัญญาณและส่อนัยสำคัญกับเหตุการณ์บ้านเมือง ที่พระองค์ท่านทรงห่วงใยและเตือนสติคนไทยมาโดยตลอด
“แสงแดด” ขอพระบรมราชานุญาตนำ “พระราชดำรัส-พระบรมราโชวาท-พระกระแสรับสั่ง-ฯลฯ” ของ “ในหลวง” มาถ่ายทอดสู่ท่านผู้อ่านว่า “เรายังมีพ่อที่ทรงห่วงใยชาติบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์” ของพระองค์ท่าน พร้อมทั้งพระวิจารณญาณที่เปี่ยมล้นไปด้วยทศพิธราชธรรม ตลอดจนพระเนตรพระกันต์ที่ยาวไกล ทรงรับทราบสภาวะปัญหาบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งพระราชทานข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาทุกครั้งไป
“...อันสถานการณ์ของโลกทั่วไป และของบ้านเมืองเราเป็นอย่างไร ก็ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ทางที่จะช่วยให้ประเทศเราผ่านพ้นภัยพิบัติ มีความวัฒนาถาวรไปได้ก็โดยที่เราชาวไทยทุกคนมีน้ำใจรักชาติอย่างแท้จริง ไม่ถือเอาประโยชน์ของตนและพรรคพวกแต่ฝ่ายเดียว มุ่งบำเพ็ญกรณียกิจหน้าที่ด้วยความสุจริต ขยันหมั่นเพียร เพื่อคุณประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และพร้อมที่จะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม เมื่อเป็นดังนี้แล้ว สามัคคีก็ย่อมจะแผ่ขยายกว้างขวางออกไปในระหว่างพี่น้องชาวไทยด้วยกัน ทำให้กำลังของชาติส่วนต่างๆ ประสานกันเป็นปึกแผ่น สิ่งที่เคยยากก็จะกลายเป็นง่าย และสิ่งที่ไม่เคยทำได้ก็กลับจะบรรลุผลสำเร็จอย่างงดงาม ด้วยอนุภาพแห่งความสามัคคี เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราชาวไทยจงยึดมั่นในศีลธรรมซึ่งบิดามารดาและครูบาอาจารย์ได้พร่ำสอนเรามาแต่เล็กแต่น้อย และพยายามประพฤติปฏิบัติตามในอันจะส่งเสริมสามัคคีธรรมให้มั่นคงแผ่ขยายในระหว่างพี่น้องชาวไทยทั้งปวง เพื่อความวัฒนาถาวรของประเทศชาติสืบไป...”
“...ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดว่า ชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัตประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวกถึงกับเป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทำลายชาติของตนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลายให้ระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู้รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนัก แล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติเป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิตย์ จึงขอให้ชาวไทยทั้งหลาย จงบำเพ็ญกรณียกิจของตนแต่ละคนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้นเป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้...”
“...ประเทศของเราต้องประสบกับวิกฤตการณ์ด้านต่างๆ ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี แต่ด้วยความรู้เท่าทันและความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกคน ที่ช่วยกันประคับประคองแก้ไขบ้านเมืองของเราจึงยังมั่นคงเป็นปรกติอยู่ ใครจะไปไหนมาไหนก็ยังทำได้สะดวก การทำมาหากินก็ยังไม่ถึงกับฝืดเคืองนัก ทำให้มั่นใจได้ว่าหากจะมีอุปสรรค ปัญหา หรือเหตุไม่ปกติใดๆ เกิดขึ้นคนไทยเราจะร่วมกันคิดอ่าน และช่วยกันปฏิบัติ แก้ไขให้ทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายลุล่วงไปได้อย่างแน่นอน…”
“...ชาติของเรารักษาเอกราชอธิปไตยมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความสามัคคี ผู้ใดเดือดร้อนก็ได้รับการบรรเทาความเดือดร้อน นี่เป็นหลักสำคัญของการปกครองประเทศไทยมาแต่โบราณกาล...”
“...ประเทศไทยถ้าประชาชนพลเมืองมีความสามัคคีกลมเกลียวกันดีมีระเบียบวินัย ประเทศนั้นก็เจริญและอยู่ในฐานะดี จึงเห็นได้ว่าความสามัคคีกลมเกลียวกันระหว่างคนในชาติ และความเข้าใจรักษาระเบียบวินัยเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ที่จะช่วยประเทศชาติสู่ความวัฒนาถาวร...”
“...บ้านเมืองไทยสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ได้โดยดี เพราะว่าจิตใจสามัคคีและแสดงออกซึ่งสามัคคี ถ้าตราบใดเรารักษาความสามัคคีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันไว้ได้ เราก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุข สุดตราบนั้น...”
“...การที่ประเทศของเราได้รักษาอธิปไตยและดำรงฐานะมาด้วยดีได้ตลอดมานั้น ก็ด้วยความร่วมมือของทุกๆ ฝ่ายต่างช่วยกันปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติด้วยความสามัคคี และความพร้อมที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม...”
“...สามัคคี คือ การเห็นแก่บ้านเมืองและช่วยกันทุกวิถีทางเพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง ด้วยการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม เพราะประโยชน์ส่วนรวม นั้น คือความมั่นคงของบ้านเมือง...”
“...ความสามัคคีนี้ เป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง ซึ่งหมู่ชนอยู่รวมกันจำเป็นต้องถนอมรักษา และต้องนำมาใช้อยู่สม่ำเสมอ ถ้าแต่ละฝ่ายเข้ามาร่วมกันทำงานด้วยความดั้งใจดี ด้วยความสามัคคี ความรู้ความสามารถ ด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ งานก็สำเร็จสมบูรณ์งดงามตามประสงค์ทุกอย่าง...”
“...ขอให้ท่านทั้งหลายแต่ละคนกระทำสัตย์สัญญาแก่ตนเองว่าจะตั้งใจปฏิบัติตัวปฏิบัติงานให้ดีที่สุดตามหน้าที่และความสามารถของตนๆ จะทำความคิดเห็นให้เที่ยงตรงและกระจ่างแจ่มใส จะเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันด้วยความหวังดีและช่วยเหลือกัน เพื่อให้เกิดความรักความสามัคคีที่แท้จริงในชาติไทยขึ้น เป็นกำลังอันกล้าแข็งและมั่นคง สำหรับสร้างสรรค์ความดีความเจริญทุกๆ ประการให้เต็มบริบูรณ์เพื่อทำให้ประเทศชาติของเรายืนยงอยู่ได้ตลอดไปด้วยความวัฒนาผาสุก...”
พระบรมราโชวาทที่พระองค์ทรงพระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณในหลายวโรกาสสำคัญๆ ที่คล้ายคลึงทุกครั้ง
“...รัฐบาลนั้น เป็นสถาบันหนึ่งในสถาบันสำคัญของประเทศ จึงต้องปฏิบัติหน้าที่โดยถือว่าชาติ บ้านเมืองเป็นหมายสำคัญและความอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นสิ่งที่ปรารถนา ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขยันหมั่นเพียร...”
“...รัฐบาลเป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติงานสำคัญ สำหรับความอยู่เย็นเป็นสุขของชาติบ้านเมือง จึงต้องบริหารให้ดีให้สอดคล้องกัน ถ้าผู้ที่บริหารประเทศปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความอดทนก็นำส่วนรวมไปสู่ทางที่ดีได้...”
“พระราชดำรัส-พระบรมราโชวาท-พระกระแสรับสั่ง-ฯลฯ” มีมากครั้งจนนับไม่ถ้วนในหลากหลายวโรกาส แต่ที่สำคัญเป็นที่ประทับจดจำในหัวจิตหัวใจคนไทย จนมีการนำมาถ่ายทอดสู่สายตาประชาชนบ่อยครั้ง เป็นที่ “ประทับใจ” ของคนไทยทุกหมู่เหล่า ที่นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง ที่พระองค์ท่านทรงตระหนักถึง “ความจริงของสังคมไทย” และทรงปรารถนาที่จะให้ “คนดี” ได้มีโอกาสรับการส่งเสริม เพื่อทำคุณประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง ดังต่อไปนี้
“...ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดีหากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ได้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”
“แสงแดด” มิบังควรและมิบังอาจที่จะตีความใน “พระราชดำรัส-พระบรมราโชวาท-พระกระแสรับสั่ง-ฯลฯ” ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องด้วยเนื้อหาสาระทั้งหมดนั้น พระองค์ท่านทรงมุ่งเน้นย้ำถึง “ความสามัคคี” และ “ความเสียสละ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การพัฒนาสถาพร” ของชาติบ้านเมือง ที่พระองค์ท่านเปรียบเสมือน “พ่อ” ของคนไทยทุกคน ที่ทรงห่วงใย กังวล กับนานาปัญหาสารพัดสารพัน ที่เกิดจาก “คนเลว-คนไม่ดี” ที่ “สร้างเสริม-ยั่วยุ” ให้ชาติบ้านเมือง “แตกแยก”
เราคนไทยทุกคนต่างได้สดับตรับฟัง “พระราชดำรัส-ฯลฯ” ของพระองค์ท่านมาโดยตลอดหลายๆ สิบปี ต่างกรรมต่างวาระ เราคงต้องตระหนักน้อมรับด้วยเกล้าไปปฏิบัติ แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า “ผู้หลักผู้ใหญ่” ในบ้านเมืองเรา โดยเฉพาะ “นักการเมือง” ส่วนใหญ่นั้น แทบไม่เคยน้อมรับไปปฏิบัติ ไม่ว่าจะเข้าสู่ “พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ” ตนทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และในฐานะคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ยังฝืนบิดพลิ้วมาโดยตลอด
จนปัจจุบันนี้ “ชาติบ้านเมืองแตกแยก” กันเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ “ภาคการเมือง” ทั้งใน “สภาผู้แทนฯ-รัฐบาล” ที่ไม่ได้นำมายึดถือปฏิบัติแต่อย่างใดทั้งสิ้น มัวแต่คิดถึง “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์ส่วนตนส่วนคณะ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอย้ำว่า “เมื่อสภาวการณ์เป็นเช่นนี้ นอกเหนือคนดีจะไม่ถูกส่งเสริมแล้ว คนดีๆ ใครเขาจะกล้าขันอาสามาช่วยบริหารชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้น”
เพียงแต่ทุกวันนี้ “ควบคุม-กำจัดคนเลวคนไม่ดี ยังไม่มีปัญญาเลย!”
ทั้งหลายทั้งปวงของปัญหาที่มีการแย่งชิง “อำนาจ” กันนั้น ก็เพื่อให้ได้มาซึ่ง “อำนาจรัฐ” เพื่อ “ผลประโยชน์” แทบทั้งสิ้น จนบ่อยครั้งได้เกิด “วิกฤตการเมือง” จนถึงขั้นเลือดตกยางออกและ “นองเลือด” ในที่สุด
เหตุการณ์สำคัญๆ ที่มีการกล่าวถึงและจำกันได้เป็นอย่างดี คือ “เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516-16 ตุลาคม 2519-พฤษภาทมิฬ 2535” ซึ่งแต่ละครั้งนั้นเกิดจากปัญหาการแก่งแย่งอำนาจทุกครั้งไป แต่ที่สำคัญที่สุดคือ “ความแตกแยกสามัคคี” ของคนในชาติ
หลายครั้งหลายคราที่ “วิกฤตบ้านเมือง” ก่อให้เกิด “ความวิตกกังวล” และ “ความน่ากลัว” ว่า “ชาติล่มจม” จนถึงขั้นไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เนื่องด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของนานาสารพัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะ “พระสยามเทวาธิราช” และไม่สำคัญเท่ากับ “พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” หรือ “สมเด็จพ่อหลวง” ของเราชาวไทยทุกคน ที่สามารถนำพาชาติบ้านเมืองให้หลุดรอดพ้นภัยมาตราบเท่าทุกวันนี้
เพราะฉะนั้น “พระราชดำรัส-พระบรมราโชวาท-พระกระแสรับสั่ง-พระราชปราศรัย” ของพระองค์ท่านในหลากหลายวโรกาส ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่พระองค์ท่านทรงพระราชทานมอบให้เราชาวไทยเรื่อยมานั้น ล้วนส่งสัญญาณและส่อนัยสำคัญกับเหตุการณ์บ้านเมือง ที่พระองค์ท่านทรงห่วงใยและเตือนสติคนไทยมาโดยตลอด
“แสงแดด” ขอพระบรมราชานุญาตนำ “พระราชดำรัส-พระบรมราโชวาท-พระกระแสรับสั่ง-ฯลฯ” ของ “ในหลวง” มาถ่ายทอดสู่ท่านผู้อ่านว่า “เรายังมีพ่อที่ทรงห่วงใยชาติบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์” ของพระองค์ท่าน พร้อมทั้งพระวิจารณญาณที่เปี่ยมล้นไปด้วยทศพิธราชธรรม ตลอดจนพระเนตรพระกันต์ที่ยาวไกล ทรงรับทราบสภาวะปัญหาบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งพระราชทานข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาทุกครั้งไป
“...อันสถานการณ์ของโลกทั่วไป และของบ้านเมืองเราเป็นอย่างไร ก็ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ทางที่จะช่วยให้ประเทศเราผ่านพ้นภัยพิบัติ มีความวัฒนาถาวรไปได้ก็โดยที่เราชาวไทยทุกคนมีน้ำใจรักชาติอย่างแท้จริง ไม่ถือเอาประโยชน์ของตนและพรรคพวกแต่ฝ่ายเดียว มุ่งบำเพ็ญกรณียกิจหน้าที่ด้วยความสุจริต ขยันหมั่นเพียร เพื่อคุณประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และพร้อมที่จะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม เมื่อเป็นดังนี้แล้ว สามัคคีก็ย่อมจะแผ่ขยายกว้างขวางออกไปในระหว่างพี่น้องชาวไทยด้วยกัน ทำให้กำลังของชาติส่วนต่างๆ ประสานกันเป็นปึกแผ่น สิ่งที่เคยยากก็จะกลายเป็นง่าย และสิ่งที่ไม่เคยทำได้ก็กลับจะบรรลุผลสำเร็จอย่างงดงาม ด้วยอนุภาพแห่งความสามัคคี เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราชาวไทยจงยึดมั่นในศีลธรรมซึ่งบิดามารดาและครูบาอาจารย์ได้พร่ำสอนเรามาแต่เล็กแต่น้อย และพยายามประพฤติปฏิบัติตามในอันจะส่งเสริมสามัคคีธรรมให้มั่นคงแผ่ขยายในระหว่างพี่น้องชาวไทยทั้งปวง เพื่อความวัฒนาถาวรของประเทศชาติสืบไป...”
“...ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดว่า ชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัตประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวกถึงกับเป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทำลายชาติของตนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลายให้ระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู้รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนัก แล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติเป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิตย์ จึงขอให้ชาวไทยทั้งหลาย จงบำเพ็ญกรณียกิจของตนแต่ละคนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้นเป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้...”
“...ประเทศของเราต้องประสบกับวิกฤตการณ์ด้านต่างๆ ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี แต่ด้วยความรู้เท่าทันและความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกคน ที่ช่วยกันประคับประคองแก้ไขบ้านเมืองของเราจึงยังมั่นคงเป็นปรกติอยู่ ใครจะไปไหนมาไหนก็ยังทำได้สะดวก การทำมาหากินก็ยังไม่ถึงกับฝืดเคืองนัก ทำให้มั่นใจได้ว่าหากจะมีอุปสรรค ปัญหา หรือเหตุไม่ปกติใดๆ เกิดขึ้นคนไทยเราจะร่วมกันคิดอ่าน และช่วยกันปฏิบัติ แก้ไขให้ทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายลุล่วงไปได้อย่างแน่นอน…”
“...ชาติของเรารักษาเอกราชอธิปไตยมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความสามัคคี ผู้ใดเดือดร้อนก็ได้รับการบรรเทาความเดือดร้อน นี่เป็นหลักสำคัญของการปกครองประเทศไทยมาแต่โบราณกาล...”
“...ประเทศไทยถ้าประชาชนพลเมืองมีความสามัคคีกลมเกลียวกันดีมีระเบียบวินัย ประเทศนั้นก็เจริญและอยู่ในฐานะดี จึงเห็นได้ว่าความสามัคคีกลมเกลียวกันระหว่างคนในชาติ และความเข้าใจรักษาระเบียบวินัยเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ที่จะช่วยประเทศชาติสู่ความวัฒนาถาวร...”
“...บ้านเมืองไทยสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ได้โดยดี เพราะว่าจิตใจสามัคคีและแสดงออกซึ่งสามัคคี ถ้าตราบใดเรารักษาความสามัคคีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันไว้ได้ เราก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุข สุดตราบนั้น...”
“...การที่ประเทศของเราได้รักษาอธิปไตยและดำรงฐานะมาด้วยดีได้ตลอดมานั้น ก็ด้วยความร่วมมือของทุกๆ ฝ่ายต่างช่วยกันปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติด้วยความสามัคคี และความพร้อมที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม...”
“...สามัคคี คือ การเห็นแก่บ้านเมืองและช่วยกันทุกวิถีทางเพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง ด้วยการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม เพราะประโยชน์ส่วนรวม นั้น คือความมั่นคงของบ้านเมือง...”
“...ความสามัคคีนี้ เป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง ซึ่งหมู่ชนอยู่รวมกันจำเป็นต้องถนอมรักษา และต้องนำมาใช้อยู่สม่ำเสมอ ถ้าแต่ละฝ่ายเข้ามาร่วมกันทำงานด้วยความดั้งใจดี ด้วยความสามัคคี ความรู้ความสามารถ ด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ งานก็สำเร็จสมบูรณ์งดงามตามประสงค์ทุกอย่าง...”
“...ขอให้ท่านทั้งหลายแต่ละคนกระทำสัตย์สัญญาแก่ตนเองว่าจะตั้งใจปฏิบัติตัวปฏิบัติงานให้ดีที่สุดตามหน้าที่และความสามารถของตนๆ จะทำความคิดเห็นให้เที่ยงตรงและกระจ่างแจ่มใส จะเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันด้วยความหวังดีและช่วยเหลือกัน เพื่อให้เกิดความรักความสามัคคีที่แท้จริงในชาติไทยขึ้น เป็นกำลังอันกล้าแข็งและมั่นคง สำหรับสร้างสรรค์ความดีความเจริญทุกๆ ประการให้เต็มบริบูรณ์เพื่อทำให้ประเทศชาติของเรายืนยงอยู่ได้ตลอดไปด้วยความวัฒนาผาสุก...”
พระบรมราโชวาทที่พระองค์ทรงพระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณในหลายวโรกาสสำคัญๆ ที่คล้ายคลึงทุกครั้ง
“...รัฐบาลนั้น เป็นสถาบันหนึ่งในสถาบันสำคัญของประเทศ จึงต้องปฏิบัติหน้าที่โดยถือว่าชาติ บ้านเมืองเป็นหมายสำคัญและความอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นสิ่งที่ปรารถนา ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขยันหมั่นเพียร...”
“...รัฐบาลเป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติงานสำคัญ สำหรับความอยู่เย็นเป็นสุขของชาติบ้านเมือง จึงต้องบริหารให้ดีให้สอดคล้องกัน ถ้าผู้ที่บริหารประเทศปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความอดทนก็นำส่วนรวมไปสู่ทางที่ดีได้...”
“พระราชดำรัส-พระบรมราโชวาท-พระกระแสรับสั่ง-ฯลฯ” มีมากครั้งจนนับไม่ถ้วนในหลากหลายวโรกาส แต่ที่สำคัญเป็นที่ประทับจดจำในหัวจิตหัวใจคนไทย จนมีการนำมาถ่ายทอดสู่สายตาประชาชนบ่อยครั้ง เป็นที่ “ประทับใจ” ของคนไทยทุกหมู่เหล่า ที่นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง ที่พระองค์ท่านทรงตระหนักถึง “ความจริงของสังคมไทย” และทรงปรารถนาที่จะให้ “คนดี” ได้มีโอกาสรับการส่งเสริม เพื่อทำคุณประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง ดังต่อไปนี้
“...ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดีหากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ได้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”
“แสงแดด” มิบังควรและมิบังอาจที่จะตีความใน “พระราชดำรัส-พระบรมราโชวาท-พระกระแสรับสั่ง-ฯลฯ” ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องด้วยเนื้อหาสาระทั้งหมดนั้น พระองค์ท่านทรงมุ่งเน้นย้ำถึง “ความสามัคคี” และ “ความเสียสละ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การพัฒนาสถาพร” ของชาติบ้านเมือง ที่พระองค์ท่านเปรียบเสมือน “พ่อ” ของคนไทยทุกคน ที่ทรงห่วงใย กังวล กับนานาปัญหาสารพัดสารพัน ที่เกิดจาก “คนเลว-คนไม่ดี” ที่ “สร้างเสริม-ยั่วยุ” ให้ชาติบ้านเมือง “แตกแยก”
เราคนไทยทุกคนต่างได้สดับตรับฟัง “พระราชดำรัส-ฯลฯ” ของพระองค์ท่านมาโดยตลอดหลายๆ สิบปี ต่างกรรมต่างวาระ เราคงต้องตระหนักน้อมรับด้วยเกล้าไปปฏิบัติ แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า “ผู้หลักผู้ใหญ่” ในบ้านเมืองเรา โดยเฉพาะ “นักการเมือง” ส่วนใหญ่นั้น แทบไม่เคยน้อมรับไปปฏิบัติ ไม่ว่าจะเข้าสู่ “พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ” ตนทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และในฐานะคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ยังฝืนบิดพลิ้วมาโดยตลอด
จนปัจจุบันนี้ “ชาติบ้านเมืองแตกแยก” กันเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ “ภาคการเมือง” ทั้งใน “สภาผู้แทนฯ-รัฐบาล” ที่ไม่ได้นำมายึดถือปฏิบัติแต่อย่างใดทั้งสิ้น มัวแต่คิดถึง “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์ส่วนตนส่วนคณะ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอย้ำว่า “เมื่อสภาวการณ์เป็นเช่นนี้ นอกเหนือคนดีจะไม่ถูกส่งเสริมแล้ว คนดีๆ ใครเขาจะกล้าขันอาสามาช่วยบริหารชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้น”
เพียงแต่ทุกวันนี้ “ควบคุม-กำจัดคนเลวคนไม่ดี ยังไม่มีปัญญาเลย!”