xs
xsm
sm
md
lg

ศาลชี้ชะตาสมัครวันนี้"ชิมไปบ่นไป"ซุกเงินคนขับรถ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ระทึกวันนี้ "หมัก" หลุด-ไม่หลุดเก้าอี้นายกฯ ศาล รธน.นัดชี้ชะตา "ชิมไปบ่นไป" เข้าข่ายเป็นลูกจ้าง ที่ขัด รธน.ม.267 หรือไม่ เจ้าตัวสาบานหลังเป็นนายกฯ หากเรียกร้องรับค่าตอบแทน "ขอให้บรรลัยวายวอด" งานนี้ส่อเลียนแบบนายใหญ่ บิ๊กเฟซ มีเดียเผยจ่ายค่าน้ำมันรถและค่ากับข้าวผ่านคนขับรถไม่รู้ถึงมือ "หมัก" หรือไม่ ด้านกลุ่มเพื่อนเนวินประกาศหากศาล รธน.วินิจฉัยให้พ้นเก้าอี้จะโหวตให้ "หมัก" กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกรอบ นักวิชาการชี้วิกฤติการเมืองยังอยู่ ขณะที่ศาลอาญายังไม่รับคำร้องขอเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีหมิ่น

วานนี้ (8 ก.ย.) นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนนัดสุดท้าย โดยเป็นการรับฟังคำชี้แจงจาก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลางโหม และนายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟซ มีเดีย ในกรณีที่ประธานวุฒิสภา ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ประกอบมาตรา 182 ( 7) ของนายสมัคร อันเนื่องจากเป็นพิธีกรรายการ ชิมไปบ่นไป" และ"ยกโขยง 6 โมงเช้า"

ซึ่งนายสมัคร เดินทางมาถึงศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่เวลา 09.00 น.ก่อนเวลานัดไต่สวนและไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้นายธนา เบญจาธิกุล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายสมัคร ระบุว่าจะทำหนังสือขอเลื่อนการไต่สวน เนื่องจากนายสมัครติดภารกิจ

ทั้งนี้การไต่สวนครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และคณะส.ว.ที่เข้าชื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ พ.อ.สันธิรัตน์ มหัทธนชาติ เลขาอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงของ กกต. และนายธนา จะเข้าร่วมแล้ว นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังเข้าร่วมนั่งฟังการไต่สวนในบริเวณที่นั่งของส.ว.ที่เป็นผู้ร้องด้วย

อ้างรับเงินค่ากับข้าวไม่ใช่เงินเดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเริ่มกระบวนการไต่สวนก่อนเบิกความ นายสมัคร ได้กล่าวปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าจะให้การสัตย์จริงทุกประการ" จากนั้นนายธนา ได้ซักถามนายสมัครทั้งในเรื่องค่าตอบแทนที่ได้รับจากรายการมีการเรียกร้องหรือไม่ การที่เคยระบุว่าได้รับเงินเดือน 1 แสนบาทเป็นค่ารับรอง เงินดังกล่าวมีลักษณะเป็นเงินเดือนหรือไม่ เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานของ บริษัท เฟซ มีเดีย หรือไม่ และเมื่อรับตำแหน่งนายกฯแล้วเคยมีการหารือเรื่องนี้และยังรับค่าตอบแทน หรือไม่
โดยนายสมัครชี้แจงว่า เริ่มทำรายการตั้งแต่สมัยเป็นผู้ว่าฯ กทม. ค่าตอบแทน ไม่เคยเรียกร้อง และไม่เคยมีเงินเดือน เพราะไม่ได้ทำติดต่อกัน การทำรายการ เป็นการบันทึกเทปโดยเดือนหนึ่งทำการบันทึก 4 ครั้งสามารถออกอากาศได้ 4 ตอนใช้ได้1เดือน แต่จะได้ค่ารถ ค่าน้ำมันและค่าจ่ายกับข้าว โดยช่วงหนึ่งขณะเป็นผู้ว่าฯ กทม.มีการตำหนิถึงเรื่องดังกล่าวก็หยุดดำเนินการ ทางบริษัทก็เอาเทปเก่า มาออกอากาศและก็ไม่ให้เงิน ส่วนการบริหารบริษัทฯไม่เคยยุ่ง เพราะเป็นคนนอก นอกจากนี้ก่อนเลือกตั้ง 23 ธ.ค.50 เคยสอบถามนักกฎหมายได้รับคำตอบว่า เป็นเรื่องการของการรับจ้างไม่ใช่ลูกจ้างเพราะในข้อบังคับห้ามเป็นลูกจ้าง แต่ก็ได้แจ้ง บริษัทฯให้หาคนทำแทน เพราะเมื่อมาอยู่ในตำแหน่งนี้ก็ไม่ควรเป็นพิธีกรต่อ

"ค่าตอบแทนไม่เคยเรียกร้อง ผมเข้ารับมาตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 6 ก.พ.หลังจากนั้นพอมีคนท้วงติงก็ยุติ ไม่เคยคิดว่ามันจะรุนแรงมาถึงขนาดนี้ ผมทำรายการ เพราะผมชอบเท่านั้นและคิดว่าเป็นประโยชน์กับผู้คน ผมมีความภาคภูมิใจว่า ผมเป็นคนทำให้คนรู้จักคนทำกับข้าว"

เรืองไกรซักหมักถึงหงุดหงิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นนายเรืองไกรได้ซักค้านในหลายประเด็น อาทิ มีการทำเมนู "ข้าวผัดพันธมิตร" ในวาระครบรอบรายการ "ชิมไปบ่นไป" 7 ปี ใช่หรือไม่ เหตุการณ์หกล้มคิ้วซ้ายแตกระหว่างบันทึกรายการ "กกโขยง 6 โมงเช้า" ที่จ.สิงห์บุรี และการตั้งข้อสังเกตว่า เกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายร้อยละ 5 หรือประมาณ 1 แสนบาท ที่ถือว่าสูงมากกว่าคนอื่น เพราะนายสมัคร มีความสำคัญต่อการทำรายการของบริษัทเฟซฯ ก็สร้างความหงุดหงิดให้กับนายสมัครค่อนข้างมาก โดยนายสมัคร กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า ตนไม่ได้ทำเมนูข้าวผัดพันธมิตร แต่บริษัทฯเชิญสปอนเซอร์ไปทำข้าวผัดและให้ตนเป็นคนไปชิมว่า ของใครอร่อย ส่วนเรื่องหกล้มคิ้วแตก ก็เป็นข่าวรู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วมันเป็นอย่างไร

"ส่วนเรื่องเสียภาษี เหตุมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ภาษีพวกนี้ ตอนที่ผมเป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. แล้วมันมีไหม ก่อนหน้านั้นมันเกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่มีสถานะให้ต้องพิจารณา ผมจะไปทำอะไรและจะไปได้อะไรขนาดไหน ไม่ได้เกี่ยวข้อง คุณต้องพิสูจน์สิว่าหลังจากวันที่ 6ก.พ.แล้วผมยังไปมีรายได้มากมายหรือไม่"

สาบานให้วายวอดไม่เคยเรียกร้อง

นายสมัคร ยังได้ชี้แจงกรณีเชิญนายนายวิศิษฐ์ ลิ้มปะนะ เจ้าของบริษัทง่วนสูน ซึ่งเป็นผู้สนับสุนนรายการมาออกรายการ จนมีข้อสังเกตว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการผลักดันให้นายวิศิษฐ์เป็นบอร์ดของการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ยอมรับว่า พวกผู้สนับสนุนรายการได้รับเชิญมาทั้งนั้น ตนก็แนะนำไปธรรมดาว่าอะไรน่าใช้บ้าง มีความเป็นมาอย่างไรเกี่ยวกับอาหารการกิน แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่กล่าวหาตนว่าไปตั้งเป็นบอร์ดการบินไทย เพราะมีหลักฐานว่าสภาอุตสาหกรรมเลือกเขาเข้ามา เขามีหลักฐานว่าสภาอุตสาหกรรมเลือกเขามา

"ผมยืนยันและสาบานไว้ตรงนี้ด้วยว่าไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ถ้าผมไปเรียกร้องอะไรเขาละก็ ขออย่าให้ผมมีความเจริญ ขอให้บรรลัยวายวอด ไปก็แล้วกัน แต่หากผมไม่ได้ทำอย่างนั้นต้องให้ผมมีความเจริญรุ่งเรือง"

จ่ายค่าน้ำมันเป็น กม.บวกเพิ่ม15%

จากนั้นได้มีการไต่สวนนายศักดิ์ชัย โดยให้การยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักนายสมัครเป็นการส่วนตัวก่อนหน้าที่จะมีการติดต่อให้เป็นพิธีกรรายการซึ่งเริ่มดำเนินรายการ ในปี 2543 และนายสมัครเองก็ไม่เคยไปที่บริษัท หรือรู้ที่อยู่ของบริษัท เพราะการอัดรายการจะใช้สตูดิโอ ส่วนค่าตอบแทนที่ให้คิดในอัตราลักษณะนักแสดงและพิธีกรรับจ้างทั่วไป จนกระทั่งเมื่อนายสมัครดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็ยุติไปช่วงหนึ่ง และนำเทปรายการเก่ามาตัดต่อก็สามารถออกอากาศไปได้ประมาณ 7-8 เดือน และเมื่อ นายสมัครพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็กลับมาจัดรายการต่อ

จนช่วงใกล้จะมีการเลือกตั้ง วันที่ 23 ธ.ค. 2550 ตนได้ทำหนังสือในวันที่ 15 ธ.ค. 2550 สอบถามนายสมัคร ว่าจะทำหน้าที่พิธีกรต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งนายสมัครทำหนังสือตอบกลับมาว่า ได้ให้ฝ่ายกฎหมายดูแล้ว สามารถทำได้ เพราะเป็นในลักษณะรับจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้างตามที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้ แต่จะไม่รับค่าตอบแทนใดๆ ซึ่งทาง บริษัทก็ได้จ่ายเป็นค่าน้ำมันให้กับคนขับรถของนายสมัคร โดยคิดค่ารถเป็นกิโลเมตร หารเฉลี่ยค่าน้ำมันไปกลับ และบวกเพิ่มอีก 10- 15 % รวมทั้งค่าจ่ายกับข้าว อย่างไรก็ตาม ไม่เคยสอบถามคนขับรถของนายสมัครว่าได้นำเงินไปให้นายสมัครหรือไปใช้จ่ายอะไรหรือไม่

นายศักดิ์ชัย กล่าวอีกว่า หลังจากนายสมัครดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็มีการอัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" และ "ยกโขยง 6 โมงเช้า" อีกประมาณ 2-3 ครั้ง รวมทั้งในวันที่ 16 ก.พ.51 ที่อัดรายการที่บ้านพักของนายสมัคร แต่เทปดังกล่าวก็ไม่ได้ออกอากาศ จนกระทั่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์นายสมัครจึงบอกยกเลิก การเป็นพิธีกร และไม่ให้นำเทปที่อัดไว้ออกอากาศ

ส่วนการหาผู้สนับสนุนรายการนั้น บริษัทฯไม่ได้นำสถานะความเป็นนายกฯ ของนาย สมัคร ไปหาโฆษณา แต่สัญลักษณ์ของรายการที่เป็นรูปการ์ตูนพ่อครัวจมูกชมพู่ เป็นการแสดงถึงตัวตนของนายสมัครในทางส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะนายกฯ

ศาลนัดอ่านคำวินิจฉัยวันนี้

ขณะที่คณะตุลาการ ได้สอบถามในหลายประเด็น อาทิ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ จ่ายค่าลิขสิทธิ์รายการ สัญลักษณ์ของรายการที่เป็นรูปการ์ตูนพ่อครัวจมูกชมพู่ รวมทั้งข้อเท็จจริงในการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้นายสมัคร เนื่องจากในเอกสารตอบกลับรับทำรายการของนายสมัคร ระบุว่า "จะทำรายการให้โดยจะไม่รับค่าน้ำมันอย่างที่เคย" จึงต้องการทราบว่าก่อนหน้านี้เคยจ่ายค่าน้ำมันให้หรือไม่ โดยนายศักดิ์ชัย ยืนยันว่า ก่อนหน้าที่นายสมัครจะเป็นนายกฯได้จ่ายค่าเป็นพิธีกรในรูปแบบ ของนักแสดงหรือพิธีกรรับจ้างเท่านั้น ไม่เคยให้เป็นค่าน้ำมัน ซึ่งการระบุในเอกสารของ นายสมัครน่าจะเป็นความเข้าใจผิด

ทั้งนี้การไต่สวนสืบพยานทั้ง 2 ปากใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นคณะตุลาการฯได้มีการประชุมหารือกันประมาณ 15 นาที และนายชัช ได้อ่านคำสั่งศาล นัดคู่กรณีฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 9 ก.ย เวลา 14.00 น.

"เรืองไกร-ธนา" พร้อมรับคำวินิจฉัย

ด้านนายเรืองไกร กล่าวหลังการไต่สวน แสดงความพอใจในการตอบคำถาม ของนายสมัคร ที่เอาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาพูด และพร้อมยอมรับคำวินิจฉัยของศาลไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หากศาลฯวินิจฉัยว่านายสมัครไม่ผิดก็จะไม่ติดใจ ขุดคุ้ยอะไรต่อไป แต่หากผิด และต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎร ที่จะพิจารณาเลือกนายสมัครกลับไปเป็นนายกฯอีกหรือไม่

ส่วนนายธนา ก็กล่าวแสดงความมั่นใจว่าจากการไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายกฯไปดำรงตำแหน่งใด หรือเป็น ลูกจ้างบริษัทเอกชน และพร้อมที่จะเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หากเห็นว่านายสมัครกระทำผิด ก็เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนฯ ที่จะเสนอผู้สมควรเป็นนายกฯต่อไป แต่ตำแหน่งส.ส. ของนายสมัครก็ยังคงอยู่ ส่วนที่นายสมัครเปลี่ยนใจมาชี้แจงต่อคณะตุลาการฯ ด้วยตนเองก็เพราะต้องการให้เรื่องจบ ถ้าไม่มา บางทีคนที่จะวินิจฉัยก็ไม่รู้จะเอาข้อเท็จจริงตรงไหน หากจะจับเอาข้อเท็จจริงในเอกสารก็อาจจะคลาดเคลื่อนจากเรื่องที่เจ้าตัวรู้ดีที่สุด

ชี้แม้หมักหลุดเก้าอี้ยังกลับมาได้

ขณะเดียวกันมีความเห็นจากนักวิชาการต่อสถานการณ์ที่จะตามมา โดย นายบรรเจิด สิงคะเนติ อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายสมัครกระทำการขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ และทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะสิ้นสภาพไปโดยปริยาย แต่นายสมัครจะยังคงมีสถานะเป็นส.ส.อยู่ ไม่เหมือนกับที่กระทำผิดในเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ที่จะมีบทลงโทษเป็นการถูกตัดสิทธิทางการเมืองด้วย ซึ่งเมื่อความเป็น ส.ส.ของนายสมัครยังอยู่ก็ขึ้นอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 6 พรรคว่าจะมีการซาวเสียงเลือกนายสมัครกลับเข้ามาเป็นนายกอีกหรือไม่

"ดังนั้นถ้ามองภาพที่จะเกิดขึ้นก็ต้องบอกว่าหากศาลฯมีคำวินิจฉัยว่าคุณสมัครขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งก็อาจจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้บ้างเท่านั้น เพราะปัญหามันก็จะยังคงอยู่ ถ้าไม่มีการซาวเสียงกันใหม่ โดยคุณสมัครเลือกหนทาง ยุบสภาก่อนศาลฯจะอ่านคำวินิจฉัย หนทางก็จะเดินไปสู่การเลือกตั้งซึ่งพรรคพลังประชาชนก็น่าจะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีก แล้วก็จะเกิดปัญหาวนซ้ำอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ขึ้นมาอีกเหมือนเดิม และผมก็เห็นแนวโน้มที่มันจะเดินไปในลักษณะนี้ ทั้งที่ความจริงมันควรจะปฏิรูปการเมืองจัดโครงสร้างอำนาจรัฐเสียใหม่ก่อนก็ตาม"

เชื่อการเมืองยังวุ่นวายไม่จบ

ด้านนายคมสัน โพธิคง อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า กฎหมายไม่ได้ห้ามโหวตคุณสมัครกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง เพราะในเมื่อสถานะความเป็นส.ส.ของนายสมัครยังคงอยู่ แต่นายสมัครก็ควรจะรู้ว่าตัวเองไม่ควรกลับมาเป็นนายกฯ อีกเพราะมันมัวหมอง ซึ่งสิ่งที่ตนอยากเห็นก็คือ ในสภาฯพรรคร่วมรัฐบาลควรจับขั้วการเมืองเสียใหม่ แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่อยากเห็นนั้นยากที่จะเกิดขึ้นจริง เพราะ ปัญหามันไมได้อยู่ที่คนที่นี่ แต่มันขึ้นอยู่กับคนที่อยู่ที่ลอนดอน

"ผมคิดว่าภาพที่จะมันเกิดขึ้นก็คือ พรรคพลังประชาชนก็จะยังดึงพรรคร่วมรัฐบาลไว้อยู่และเมื่อซาวเสียงในสภาคุณสมัครก็จะยังได้เป็นนายกฯเหมือนเดิม เพราะเขาต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ต้องการให้ทหารเข้ามา ต้องการล้มรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ถ้าคุณสมัครไม่เอา ซึ่งก็คิดว่ายากมาก พรรคร่วมรัฐบาลก็จะยังสนับสนุนพรรคพลังประชาชน คนอื่นที่จะมาเป็นนายก ไม่ว่า หมอเลี้ยบ (น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) หรือ คุณ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ใครเข้ามาก็ไม่จบ พันธมิตรฯ ก็ไม่ยอมอยู่ดี หรือถ้าเลือกยุบสภา ก่อนมีคำวินิจฉัยออกมา การเลือกตั้งก็จะเกิดความแตกแยกอย่างมากเหมือนเมื่อครั้งเลือกตั้งต้นปี 2549 แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในเรื่องของการยุบพรรคพลังประชาชนและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคออกมาในระยะเวลาอันใกล้นี้ มันก็พอจะช่วยสถานการณ์ได้ แต่มันก็คงไม่ทันกัน เพราะตอนนี้คำร้องถึงอัยการสูงสุดหรือยังก็ไม่รู้"

รอยเตอร์สมัครเป็นนายกฯได้อีก/ต่อข่าว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวอาวุโสในคณะรัฐบาลผู้หนึ่งบอกว่า นายสมัครจะหารือกับพวกผู้ช่วยระดับอาวุโสของเขาในวันจันทร์ เพื่อหารือถึงทางเลือกต่างๆ ก่อนหน้าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาในวันอังคาร

แหล่งข่าวรายนี้กล่าวกับรอยเตอร์ว่า "ท่านกำลังพิจารณาว่าจะยอมออกก่อนที่ศาลจะตัดสินหรือไม่ ทว่าสัญชาตญาณของท่านนั้นเป็นคนที่จะไม่ยอมลาออก ท่านเป็นนักการเมืองรุ่นเก่าที่เชื่อว่าการลาออกก็คือการเป็นผู้แพ้"

รอยเตอร์ยังได้สัมภาษณ์ นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกล่าวว่า การตัดสินวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว ถือเป็นหนึ่งในหลายๆ หนทางที่อาจจะเป็นทางออกของวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์กล่าวว่า มีนักวิเคราะห์ด้านกฎหมายหลายรายที่ชี้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ เนื่องจากนายสมัครยังสามารถกลับขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก ตราบที่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทั้ง 6 พรรคยังคงรวมตัวกัน และเลือกเขาเป็นผู้นำ ดังเห็นได้จากกรณีของนายไชยา สะสมทรัพย์ ซึ่งหลังจากต้องพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข เพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ ก็ยังกลับมาเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ได้

"ถึงแม้นายสมัครต้องออกไป แต่วิกฤตก็จะยังไม่ยุติ" นายสมยศ แช่มช้อย แห่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้ความเห็น "รัฐสภาจะเลือกเขาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และพวกพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังจะรวมตัวกัน"

กลุ่มเนวินหนุนหมักนั่งนายกฯ ต่อ

นายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวว่า การนัดวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ (9 ก.ย.) พอมองเห็นว่า โอกาสที่นายสมัครจะถูกตัดสินให้หลุดจากตำแหน่งค่อนข้างชัดเจน แต่แม้นายสมัครจะหลุดจากตำแหน่งนายกรรัฐมนตรีจริง ในเบื้องต้น ส.ส.ภาคอีสานของพรรคพลังประชาชนได้หารือกันแล้วว่า จะสนับสนุนให้นายสมัคร กลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และให้นายสมัครฟอร์มครม.ชุดเก่า ที่หลุดจากตำแหน่งมาเป็นครม. โดยคาดว่า ในวันพรุ่งนี้ จะมีการหารือเรื่องนี้เป้นวาระด่วนในที่ประชุมทันที

นายนิสิต อ้างว่าว่า ขณะนี้มีข่าวเชิงลึก มีขบวนการเคลื่อนไหวนำคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.เข้ามาเป็นนายกฯคนกลาง และมีการบีบให้นายสมัครลาออกหรือยุบสภา ถ้าทำแบบนี้ จะต้องงดเว้นรัฐธรรมนูญหลายมาตรา ถือเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลต้องเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าเปลี่ยนแบบนอกระบบเราไม่ยอม พรรคพลังประชาชนจะไม่ยอมร่วมมือด้วย อย่างแน่นอน และจะต่อสู้เต็มที่ เพื่อคัดค้านให้ถึงที่สุด โดยมีประชาชนทั่วประเทศที่ไม่เห็นด้วย พร้อมที่จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

"ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนอกระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยจะเข้าสู่กลียุคเกิดสงครามประชาชนแน่ ถึงเวลานั้นไม่มีใครกลัวใครแล้ว"

สุรพงษ์ให้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ทำเนียบ

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน กล่าวเรียกร้อง ให้นายสมัคร ยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในพื้นที่ กทม. เพราะทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจย่ำแย่เป็นอย่างมาก โดยให้นายสมัคร ยังคงให้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีผลบังคุบใช้ในบางจุด เช่นที่ทำเนียบรัฐบาล สะพานมัฆวานรังสรรค์ หรือเขตดุสิตเท่านั้น เพราะหากยกเลิกทั้งหมดทหารก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ป้องกันให้ความสงบสุขกับบ้านเมืองได้

"ถ้านายกฯยอมทำแบบนี้ ประเทศไทยก็จะเป็นหนึ่งเดียวในโลก ที่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งอาจจะทำให้ประเทศไทยได้ลงกินเนสบุ๊คส์ คนต่างชาติอาจจะอยากมาท่องเที่ยวได้"

ศาลยังไม่รับขอเลื่อนตัดสินคดีหมิ่น

วันเดียวกันที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายประชุม ทองมี ทนายความยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ในคดีตกเป็นจำเลยร่วมกับนายดุสิต ศิริวรรณ เป็นจำเลยฐานหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่า กทม.ผ่านรายการสมัคร - ดุสิต คิดตามวันทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ในวันที่ 25 ก.ย.นี้ออกไปก่อน

โดยคำร้องนายสมัคร สรุปว่า ตามที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 25 ก.ย.นี้ จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องเดินทางไปเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ สมัยประชุมที่ 63 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยต้องออกเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.เพราะจะต้องเป็นประธานการประชุมเอกอัครราชทูตไทยในภาคพื้นยุโรปที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจึงเดินทางไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.และมีกำหนดกลับถึงประเทศไทยวันที่ 27 ก.ย.

การประชุมดังกล่าวได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และในวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาจำเลยยังประชุมอยู่ที่สหประชาชาติ จึงกลับมาฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ในวันที่ 25 ก.ย.เวลา 09.00 น.ไม่ทัน ด้วยเหตุจำเป็นจึงขอศาล เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปสักนัดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

องค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญาพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ นายสมัคร รอฟังคำสั่งในวันนัด 25 ก.ย.เวลา 09.00 น.

ทั้งนี้ คำสั่งของศาลดังกล่าวมีผลทำให้นายสมัคร จะต้องมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ก.ย.ตามกำหนดนัดเดิม โดยศาลจะพิจารณาคำร้องขอเลื่อนคดีว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตในวันดังกล่าว หากศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตก็จะเปิดซองอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ทันที แต่หากอนุญาตให้เลื่อนคดีก็จะไม่มีการอ่านคำพิพากษาแต่จะนัดวันฟังคำพิพากษาใหม่อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามหากในวันที่ 25 ก.ย.นายสมัคร ยังประชุมอยู่ที่สหประชาชาติ โดยไม่มาฟังคำพิพากษา แล้วในวันดังกล่าวศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่อนุญาต ให้เลื่อนคดีเท่ากับไม่มีตัวจำเลยอยู่ศาลไม่สามารถเปิดซองอ่านคำพิพากษาได้ทันที เพราะกฎหมายให้อ่านคำพิพากษาต่อหน้าจำเลย ดังนั้นศาลจะต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไป 30 วันพร้อมออกหมายจับนายสมัคร มาฟังคำพิพากษาตามขั้นตอนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

สำหรับคดีนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดจริงตามฟ้องพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง รวม 4 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ต่อมานายสมัครและนายดุสิต ยื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 25 กันยายนนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น