xs
xsm
sm
md
lg

ชี้ASTVเป็นสื่อเสรีที่มีพลัง ขยายเสียงประท้วงในไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเชียไทมส์ออนไลน์ - "เอเชียไทมส์ออนไลน์" เสนอรายงานข่าวพูดถึงสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี โดยชี้ว่าเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการเพิ่มศักยภาพให้แก่การต่อสู้ทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และการเสนอเนื้อหาอย่างอย่างอิสระเต็มที่ซึ่งขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการถกเถียงโต้แย้ง กำลังทำให้สถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ที่กำลังขยายตัวรวดเร็วแห่งนี้ ได้รับทั้งเสียงชมเชยและเสียงวิจารณ์

รายงานของเอเชียไทมส์ออนไลน์ ซึ่งใช้ชื่อว่า Free media amplifies Thai protests (สื่อเสรีขยายเสียงผู้ประท้วงในประเทศไทย) และเขียนโดย มาร์วาน แมแคน-มาร์คาร์ ชี้ว่า เบื้องหลังของวิกฤตทางการเมืองที่กำลังลุกลามอยู่ในกรุงเทพฯเวลานี้ ยังมีการต่อสู้อันดุเดือดในสมรภูมิสื่อ ระหว่างสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กับบรรดาสื่อที่อยู่ในความควบคุมของรัฐไทย

เอเชียไทมส์ออนไลน์บอกว่า เอเอสทีวี (Asia Satellite Television - ASTV) แทบไม่ได้ใช้ความพยายามที่จะปิดบังภารกิจทางการเมืองของตนเลย โดยดำเนินการถ่ายทอดสดความเคลื่อนไหวในการประท้วงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตลอด 24 ชั่วโมง และจากการติดตามนำเสนออย่างไม่ขาดตอนของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้เอง ก็เป็นการเพิ่มศักยภาพทางการเมืองให้แก่การโจมตีต่อต้านรัฐบาลของทางพันธมิตร ดังเช่น ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเอเอสทีวีได้เสนอภาพเหตุการณ์ที่ตำรวจพยายามใช้กำลังเข้ารื้อถอนเวทีของกลุ่มพันธมิตร ตลอดจนความรุนแรงระหว่างกลุ่มสนับสนุนและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลตอนต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไป 1 คน และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

เมื่อนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ประกาศภาวะฉุกเฉินในวันอังคาร(2) ภายหลังการปะทะกันดังกล่าว ทำให้ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกมีอำนาจตามกฎหมายที่จะปิดสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ได้ ถ้าเนื้อหาที่นำออกอากาศถูกพิจารณาว่ากระตุ้นให้เกิดความไม่สงบ ปรากฏว่าในตอนเย็นวันนั้นเอง พวกผู้ประท้วงของพันธมิตรที่มีไม้กอล์ฟและท่อนไม้เป็นอาวุธ ได้ช่วยกันนำยางรถยนต์มาสร้างเป็นแนวเครื่องกีดขวาง ด้วยความมุ่งหมายที่จะใช้เป็นสิ่งสกัดกั้นในกรณีที่ทหารอาจพยายามเข้าจู่โจมสำนักงานใหญ่ของทางสถานีซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำในย่านพระอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ฝ่ายทหารก็ไม่ได้เข้ามารบกวนการปฏิบัติงานของสถานีแห่งนี้แต่อย่างใด

รายงานของเอเชียไทมส์ออนไลน์กล่าวต่อไปว่า เจ้าของและผู้ก่อตั้งเอเอสทีวี สนธิ ลิ้มทองกุล นักพูดปราศรัยผู้มีคารมร้อนแรง เป็นหนึ่งในคณะผู้นำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การกล่าวโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งของเขาต่อคณะรัฐบาลและสถานะของประชาธิปไตยไทย โดยรวมถึงข้อกล่าวหาที่ว่าระบบซึ่งอิงกับการเลือกตั้งที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นมีข้อบกพร่องใช้งานไม่ได้ผล และประเทศชาติจะเดินไปได้ดีกว่านี้ถ้าหากเปลี่ยนไปใช้รัฐสภาที่สมาชิกจำนวนมากมาจากการแต่งตั้ง ได้รับการขานรับจากผู้คนนับพันนับหมื่น ซึ่งเข้าไปร่วมการชุมนุมของพันธมิตรโดยที่ได้ยินข้อเรียกร้องอันก่อให้เกิดการขัดแย้งโต้เถียงกันมากนี้ทีแรกสุดจากทางเอเอสทีวี

เอเชียไทมส์ออนไลน์ชี้ว่า เอเอสทีวีซึ่งสามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ เป็นสถานีโทรทัศน์หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่อุตสาหกรรมสื่อวิทยุและโทรทัศน์ที่ถูกควบคุมอย่างแน่นหนาของประเทศไทย โดยที่แต่ไหนแต่ไรมาวงการนี้ก็ถูกครอบงำจากพวกสถานีโทรทัศน์ซึ่งรัฐเป็นเจ้าของและมุ่งหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์เป็นสำคัญ รายการหลักๆ ที่พวกเขานำเสนอโดยทั่วไป จะเป็นจำพวกรายการทอล์กโชว์เบาๆ, ละครน้ำเน่า, และเรื่องซุบซิบนินทา สำหรับรายการข่าวที่นำเสนอทางช่องเหล่านี้ ที่ผ่านมาก็จะเป็นข่าวที่ถูกปรับแต่งให้อยู่ภายในกรอบอย่างเข้มงวด ตลอดจนเสนอภาพลักษณ์ของรัฐบาลชุดที่กำลังครองอำนาจอยู่ในทางนิยมชมชื่นอย่างสม่ำเสมอ

สภาพแห่งการผูกขาดข่าวสารดังกล่าวนี้ กำลังถูกท้าทายโดยตรงจากความขัดแย้งที่กำลังแผ่ลามขยายตัวคราวนี้ด้วย โดยที่กลุ่มผู้ประท้วงของพันธมิตร ได้บุกเข้าไประงับการออกอากาศของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (เอ็นบีที) อยู่ช่วงระยะหนึ่งเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ทั้งนี้สถานีโทรทัศน์แห่งนี้บริหารและดำเนินงานโดยสำนักนายกรัฐมนตรี อีกทั้งถูกมองกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นกระบอกเสียงของรัฐ พวกนักข่าวของสถานีโทรทัศน์กระแสหลักรายอื่นๆ อาทิ จากช่อง 3 เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ถูกข่มขู่และถูกรังควาญที่บริเวณพื้นที่การชุมนุมของพันธมิตร

กระนั้นก็ตาม จำนวนผู้ชมของเอเอสทีวีก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชาวไทยวัยกลางคนและวัยอาวุโสที่เป็นพำนักอาศัยอยู่ในเขตเมือง ในหมู่ผู้ชมที่เลื่อมใสศรัทธาเอเอสทีวี ซึ่งกำลังขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นทุกที อีกทั้งยังคงรู้สึกเห็นอกเห็นใจแม้เมื่อเกิดปฏิกิริยาในทางลบต่อการต่อต้านรัฐบาลของพันธมิตรนั้น มีคุณป้าพี่น้องสองหญิงที่ต่างก็อยู่ในวัย 50 ปลายๆ รวมอยู่ด้วย

"สถานทีโทรทัศน์พวกนั้นแทบไม่มีรายการประเภทที่เราต้องการดูเลย อย่างเรื่องการเมืองในประเทศไทย, การเปิดโปงทุจริตคอร์รัปชั่น, รัฐบาลใช้อำนาจในทางไม่ถูกต้องยังไงมั่ง" รายงานชิ้นนี้อ้างคำพูดของ ฮุ่ยเหล็ง ผู้น้องของสองคุณป้าคนไทยเชื้อจีนดังกล่าว โดยเธอหมายถึงพวกสถานีทีวีของรัฐบาลซึ่งเข้าครอบงำคลื่นออกอากาศของประเทศไทยมานานแล้ว อาทิ ช่อง 3 และ ช่อง 7 สถานีโทรทัศน์ภาษาไทยทั้ง 2 ช่องที่กล่าวถึงนี้ ซึ่งต่างก็ดำเนินงานโดยบริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทานนั้น รวมกันแล้วยึดครองส่วนแบ่งตลาดผู้ชมทีวีของประเทศไปถึง 60%

"เราต้องการรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับความจริงที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเรา เราต้องการรู้ข่าวคราวที่เป็นด้านลบของรัฐบาลชุดนี้" ฮุ่ยเหล็งซึ่งเป็นชาวกรุงเทพฯพูดต่อ ขณะที่เธอนั่งอยู่หน้าทีวีซึ่งเปิดช่องเอเอสทีวี "คุณไม่สามารถได้ข่าวมูลข่าวสารแบบนี้จากช่องอื่นๆ หรอก"

รายงานของเอเชียไทมส์ออนไลน์บอกว่า ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา รายการต่างๆ ของเอเอสทีวีส่วนใหญ่แล้วเป็นคำปราศรัยของทางพันธมิตรที่ถ่ายทอดจากเวทีซึ่งมีการโยกย้ายไปมาหลายที่หลายหนในกรุงเทพฯ การชุมนุมของพันธมิตรที่จัดสอดคล้องกับการออกอากาศทางทีวีอย่างเหมาะเจาะ มีเนื้อหาเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่นำโดย สมัคร สุนทรเวช ผู้ได้รับเลือกตั้งในนามของพรรคพลังประชาชน ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว กลุ่มผู้ประท้วงกลุ่มนี้กล่าวหานายกฯสมัครว่ากำลังทำตนเป็นตัวแทนของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้ถูกขับออกจากอำนาจด้วยการรัฐประหารของฝ่ายทหารในปี 2006 และเวลานี้กำลังหลบหนีคดีอยู่ในอังกฤษ

นอกเหนือจากข้อโจมตีในเรื่องการทุจริตและการใช้อำนาจในทางมิชอบแล้ว คณะรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ยังถูกกลุ่มพันธมิตรกล่าวหาด้วยว่า ไม่รักชาติและไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นที่เคารพรักของประชาชนในประเทศนี้

"การจัดผังรายการทั้งหมดของเราในเวลานี้ มอบเวลาทั้งสิ้นให้แก่สิ่งที่กำลังพูดกันในที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร" รายงานชิ้นนี้อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ ชฎาภรณ์ หลิน บรรณาธิการบริหารของช่องภาษาอังกฤษของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ "การจัดรายการเช่นนี้สามารถดึงดูดผู้ชมของเรา ถึงแม้วัสดุเหล่านี้จะใช้ภาษาที่แรง, อัตวิสัย, และมีอคติ แต่คำปราศรัยในเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตและการใช้อำนาจในทางมิชอบ คือสิ่งที่สาธารณชนจะไม่ได้รับชมจากพวกสถานีทีวีเพื่อการค้าช่องอื่นๆ เลย"

รายงานของเอเชียไทมส์ออนไลน์กล่าวว่า นอกจากคำปราศรัยจากเวทีพันธมิตร สิ่งที่นำมาผสมผสานคลุกเคล้ายังมีส่วนที่มาจากการทำข่าวของทีมผู้สื่อข่าวรวม 15 ทีมของทางสถานีเอง ซึ่งผลิตออกมาจากศูนย์บัญชาการแห่งใหม่ของพันธมิตร นั่นคือทำเนียบรัฐบาล ที่ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลเหล่านี้ได้บุกเข้าไปเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม อันเป็นการแสดงออกของการประท้วงในรูปแบบอารยะขัดขืน รายงานของทีมผู้สื่อข่าวเหล่านี้ อาทิ ข่าวการข่มขู่คุกคามต่อผู้ประท้วง เมื่อได้มีการส่งต่อไปออกอากาศยังสถานี ก็ทำให้มีผู้เห็นอกเห็นใจพันธมิตร หลั่งไหลกันมาที่ทำเนียบรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีกมาก

การระดมพลในลักษณะนี้สามารถกระทำได้ ส่วนสำคัญทีเดียวเนื่องมาจากการที่เอเอสทีวีเข้าถึงผู้ชมได้ทั่วประเทศ โดยที่ชฎาภรณ์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันมีผู้ชมเอเอสทีวีอยู่ประมาณ 20 ล้านคน "ผู้ชมของเราเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสองเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2006 โดยที่ตอนนั้นเราก็มีผู้ชมอยู่แล้ว 10 ล้านคน เนื่องจากเรานำเสนอข่าวสารการเมืองในด้านที่ไม่อาจหาดูได้จากทีวีของรัฐ"

รายงานนี้บอกว่า จำนวนผู้ชมเอเอสทีวีที่เพิ่มมากขึ้น ยังปรากฏหลักฐานในรูปของจานดาวเทียมสีเหลืองติดเครื่องหมายของเอเอสทีวี ซึ่งงอกเงยให้เห็นอย่างรวดเร็วเป็นดอกเห็ดตามหลังคาและระเบียงของบ้านพักและอาคารอพาร์ตเมนต์ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เฉพาะในกรุงเทพฯแห่งเดียว ทางสถานีสามารถขายจานดาวเทียมไปได้ 200,000 ชุด ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของจานดาวเทียม 1 ล้านชุดที่ขายไปทั่วประเทศโดย ทรู วิชั่น บริษัทเคเบิลทีวีรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยเวลานี้

แต่หากผู้ชมไม่สามารถเปิดชมเอเอสทีวีผ่านทางจานดาวเทียม หรือผ่านบริษัทเคเบิลทีวีในต่างจังหวัดได้แล้ว ก็ยังมีอีกช่องทางหนึ่งนั่นคือทางอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ "ผู้จัดการ" อันเป็นชื่อหนังสือพิมพ์ที่ผลิตโดยบริษัทแม่ของเอเอสทีวี มีจำนวนของผู้ที่เข้าชมประจำเพิ่มขึ้นอย่างน่าตื่นใจเช่นกัน และเวลานี้ติดอันดับ 3 ใน 10 เว็บไซต์ภาษาไทยซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด ทั้งนี้ตามการสำรวจของเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ติดตามการสัญจรบนอินเทอร์เน็ต นอกจากนั้น มีข้อน่าสังเกตว่าในบรรดาเว็บไซต์อื่นๆ อีก 9 แห่งใน 10 ยอดนิยมเหล่านี้ มีถึง 8 แห่งที่เป็นเว็บไซต์ซึ่งโฟกัสไปที่เรื่องเกม, ดนตรี, เรื่องที่อยู่ในความสนใจของพวกวัยรุ่น, และการหาคู่

เอเอสทีวีได้รับเครดิตในฐานะที่กำลังผลักดุนประเทศไทยให้เคลื่อนเข้าสู่แนวโน้มทางเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังขยายตัวในทั่วโลก นั่นคือ เทคโนโลยีแห่งข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลผ่านการแพร่ภาพออกอากาศทางระบบดาวเทียม "เอเอสทีวีเป็นตัวช่วยเร่งความเคลื่อนไหวไปสู่ระบบทีวีที่อิงกับดาวเทียม ซึ่งแตกต่างจากทีวีแพร่ภาพออกอากาศกระจายไปทั่วแบบเก่า" รายงานชิ้นนี้อ้างความเห็นของ ลอเรนต์ มาเลสไพน์ นักวิเคราะห์ด้านสื่อไทย "มันเป็นการท้าทายแวดวงสื่อเก่าในประเทศนี้"
กำลังโหลดความคิดเห็น