xs
xsm
sm
md
lg

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.แถลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรียนท่านสื่อมวลชนทุกท่าน เป็นที่ทราบกันแล้วว่าตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร นอกจากนั้น ยังได้แต่งตั้งให้ผม และท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และแม่ทัพภาคที่ 1 ได้เป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ในการสั่งการดังกล่าวนั้น ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน และได้มีการกำหนดข้อกำหนดบางประการเพื่อให้สามารถดำเนินการในการรักษาความเรียบร้อยในสถานการณ์ฉุกเฉินได้
การดำเนินการดังกล่าวนั้น ทางผมและท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และท่านแม่ทัพภาคที่ 1 ได้เรียนเชิญหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการที่จะสามารถทำให้สถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยในกรุงเทพมหานครมีความสงบเรียบร้อยได้ ได้มาประชุมปรึกษาหารือกันในการที่จะหามาตรการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว
ในขั้นการประชุมปรึกษาหารือกันในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้ข้อสรุปว่า จะแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยในเขตกรุงเทพมหานคร โดยยึดถือระบอบประชาธิปไตยเป็นหลัก เป็นกรอบการดำเนินการตามกฎหมาย นอกจากนั้น จะได้ทำภารกิจเพื่อไม่ให้ประชาชนได้มีการปะทะกัน หรือเกิดความสูญเสียเกิดขึ้น
การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้นจะใช้มาตรการหลายๆ มาตรการรวมกัน มาตรการข้อแรก ได้แก่การที่จะสร้างความเข้าใจให้กับคนในชาติได้ตระหนักถึงปัญหาของความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายไปถึงการปะทะกันด้วยกำลัง ซึ่งนำความสูญเสียหายแก่ประเทศชาติ ให้ทุกคนได้เข้าใจและตระหนักถึงว่า เรายังมีหนทางที่จะแก้ไขปัญหา โดยใช้แนวทางเจรจาพูดคุย หรือใช้มาตรการอื่นๆ ที่เหมาะสม เรายังมีหนทางที่จะทำได้ ภายใต้สังคมคนไทยด้วยกัน
ในส่วนของการที่จะดำเนินการอีกส่วนหนึ่งก็คือว่า จะสร้างความเข้าใจกับประชาชนในภูมิภาคอื่นของประเทศ ให้มีความเข้าใจว่า การที่จะเคลื่อนย้ายหรือเดินทางเข้ามาในกรุงเทพมหานคร ก็จะทำให้เกิดปัญหายิ่งลุกลามบานปลายขึ้นไปอีก ในส่วนนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก็รับจะดำเนินการในส่วนนี้ร่วมกัน ทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายขององค์กรภาคเอกชน และของทางทหาร และตำรวจในพื้นที่ จะใช้การสร้างความเข้าใจมากกว่าการที่จะไปใช้มาตรการสกัดกั้น ซึ่งทำให้เกิดการดื้อดึงหรือขัดขืนในการที่จะไม่ปฏิบัติตาม
ในส่วนของมาตรการในการดูแลเมื่อมีคนบางกลุ่มเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจะเกิดการปะทะกันเกิดขึ้น ที่ประชุมก็เห็นว่ากำลังที่มีอยู่ตามปกติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองทัพบก ในส่วนกองทัพภาคที่ 1 นั้น สามารถจะรักษาสถานการณ์ในส่วนนี้ได้ โดยใช้มาตรการสกัดกั้นไม่ให้ทั้งสองฝ่ายได้มาปะทะกัน โดยที่ว่ากำลังที่ไปใช้นั้นจะไม่ใช้อาวุธ จะปฏิบัติการในลักษณะที่จะป้องกันไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันเป็นหลัก โดยอาศัยมาตรการการข่าวซึ่งทุกหน่วยจะดำเนินการร่วมกัน
มาตรการในเรื่องของการพูดคุย สร้างความเข้าใจ ก็คงจะเป็นมาตรการหนึ่งซึ่งคณะทำงานเห็นร่วมกันว่าคงต้องใช้มาตรการนี้ในทุกๆ สื่อ รวมทั้งท่านทั้งหลายที่จะสร้างความเข้าใจว่าสถานการณ์ในขณะนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้สื่อของรัฐทางใดทางหนึ่ง ซึ่งจะไปดำเนินการ ก็จะเกิดกรณีว่าอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขอความกรุณาสื่อมวลชนโดยรวมว่า ได้สร้างความเข้าใจให้กับคนในชาติ ทุกพื้นที่ รวมทั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานคร ได้เข้าใจถึงแนวทางที่จะใช้การเจรจา หรือการใช้กลไกตามกฎหมายเพื่อจะแก้ไขปัญหาทางการเมืองในขณะนี้ให้ลุล่วงโดยไม่ใช้กำลังเข้าปฏิบัติต่อกัน
ในขั้นนี้ผมมีเรื่องที่จะเรียนท่านสื่อมวลชนเพื่อทราบ และกรุณาได้เผยแพร่ให้สาธารณชนได้ทราบและช่วยกันร่วมมือ ในช่วงต่อไปสื่อมวลชนท่านใดมีข้อสงสัยที่จะซักถามคณะของที่จะมาแก้ปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินที่ผมได้เรียนเชิญจากทุกหน่วยงานมาก็พร้อมที่จะตอบท่านในส่วนเกี่ยวข้อง

ขอเรียนถามทหารทั้งหมดว่า ถ้าถึงขั้นที่จะต้องใช้กำลังปฏิบัติการ ระหว่างชีวิตเลือดเนื้อของประชาชน กับเสียสละนายกฯ เฮงซวยๆ สักคนหนึ่ง ท่านจะเลือกฝ่ายไหน อีกอย่างอยากจะขอถามกรมประชาสัมพันธ์ว่า ถ้ามีสถานีโทรทัศน์ไว้ แล้วมีแต่สร้างความแตกแยกให้กับสังคมเมื่อไร ท่านเอาจานดาวเทียมไปตากปลาเค็มเถอะครับ

- ในส่วนนี้ผมอยากพูดกลางๆ นะครับ ด้วยความเคารพต่อความคิดเห็นของท่าน ท่านได้บอกว่าทางฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่เหมาะสมอย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายของประเทศไทยที่เราจะต้องถือว่าหนทางในการฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ต้องยึดถือแนวทางกฎหมาย นั่นเป็นส่วนหนึ่งซึ่งทางรัฐบาลมีความถูกต้องชอบธรรมอยู่ในขณะนี้ กลไกที่จะดำเนินการได้ต้องเป็นกลไกทางรัฐสภา หรือกลไกที่ท่านสามารถจะใช้ได้ ก็คือนักการเมือง ท่าน ส.ว.ท่านสามารถใช้ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความเคารพความคิดท่านนะครับ ถ้าทหารต้องออกปฏิบัติการในส่วนนี้ ทหารจะอยู่ข้างประชาชน และไม่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชน ได้เรียนแล้วว่าจะเป็นทหารและตำรวจจะอยู่กลาง และพยายามทำทุกอย่างไม่ให้คนต้องปะทะกันทางกำลัง แต่อยากจะให้คนหันไปใช้การปะทะกันโดยทางความคิด ด้วยเหตุผล ด้วยหลักกฎหมาย
ในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ ท่านถาม ผมไม่ทราบ ผมขออนุญาตทวนคำถาม ผมไม่แน่ใจ

(ศุภฤกษ์จากไทยรัฐ) ในการประชุมวันนี้สรุปว่า ทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตาม พ.ร.ก.ที่ออกมา เราจะวางตัวเป็นกลาง และจะเริ่มเจรจากับกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่เมื่อไร อย่างไร

- ขอบเขตของการปฏิบัติงานของคณะทำงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวในปัจจุบันนี้จะกำหนดขอบเขตของตัวเองในการที่จะทำไม่ให้เกิดภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้น นั่นก็คือการทำให้คนที่มีความคิดแตกต่างกัน แล้วใช้กำลังเข้าปฏิบัติต่อกัน มีการกระทบกระทั่ง การปะทะกัน จนเกิดความสูญเสียถึงชีวิต รวมทั้งการที่จะแก้ไขปัญหา อาจจะลุกลามไปถึงการเสียหายต่อสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะของภาครัฐหรือเอกชน เราจำกัดตัวที่ส่วนนั้น ในส่วนของความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ยืนยันว่าจะต้องแก้ไขโดยทางการเมืองผ่านกลไกทางกฎหมาย และกฎที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะสถาบันใดก็แล้วแต่ มากกว่าที่จะไปใช้คณะกรรมการส่วนนี้ไปแก้ไขปัญหา

ท่านเน้นเรื่องของการเจรจา ไม่ทราบว่าในเรื่องของการเจรจาในส่วนที่ยังอยู่ในทำเนียบรัฐบาลในส่วนนี้จะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เกิดรูป
ธรรมอย่างชัดเจนบ้างไหม

- ในเรื่องของการเจรจา ในส่วนนี้คณะทำงานชุดนี้ได้พิจารณาร่วมกันว่า ขอบเขตของการเจรจาน่าจะอยู่ในส่วนของระดับที่ว่าขอทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ใช้ความรุนแรงเข้าหากัน ขอบเขตของการเจรจาน่าจะอยู่ที่จุดนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด ส่วนขอบเขตการเจรจาที่จะให้ปัญหาทั้งหมดมันลุล่วงไป ไม่ว่าจะเป็นตามความประสงค์ของฝ่ายใดก็แล้วแต่ คิดว่าน่าจะต้องมีการพิจารณาทำกันต่อไป อาจจะไม่ใช่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะทำงานแก้ปัญหาฉุกเฉินดังกล่าวนี้

ไม่ว่าทราบว่าคณะทำงานมีกรอบเวลาไหมว่าการเจรจาหรือการทำความเข้าใจ แม้แต่การเจรจากับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จะต้องใช้เวลาเท่าไร และระยะเวลาที่จะต้องประกาศภาวะฉุกเฉินไปถึงประมาณเมื่อไร

- คณะทำงานนี้จะดำเนินการเฉพาะเรื่องปัญหาในเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มทั้งสองกลุ่ม การเจรจาจะลิมิตขอบเขตอยู่แค่ ทำอย่างไรไม่ให้คนทั้งสองฝ่าย กลุ่มเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่าย นำกำลังมาปฏิบัติการในลักษณะนี้ การปะทะซึ่งกันและกัน การเจรจาเพื่อให้ได้บรรลุข้อยุติว่าฝ่ายใดจะบรรลุตามวัตถุประสงค์นั้น น่าจะต้องไปอีกขั้นหนึ่ง การกำหนดกรอบเวลานั้นไม่น่าจะกระทำได้ ส่วนการกำหนดเวลาในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นต้องเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งออกคำสั่งอย่างไรก็ตาม ถ้าหมดสถานการณ์ผมเข้าใจว่าน่าจะยกเลิก

เมื่อสักครู่ท่านบอกว่า การสกัดกั้นกลุ่มต่างๆ ที่จะเข้ามาเผชิญหน้ากัน บอกว่าเจ้าหน้าที่ของเราจะไม่มีการใช้อาวุธแต่อย่างใด มาตรการนี้เราจะทำอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเขามีอาวุธมีอะไรต่างๆ เกิดขึ้น

- ก็เป็นสิ่งที่คณะกรรมการได้พูดคุยกัน เจ้าหน้าที่บางส่วนที่ปฏิบัติการ ผมใช้คำว่าบางส่วน โดยเฉพาะของตำรวจ บางส่วนอาจจะมีเสื้อเกราะป้องกันกระสุน ในส่วนของทหารนั้นเสื้อเกราะมาตรฐานที่ใช้อยู่ในกำลังที่อยู่ในปัจจุบัน เว้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เป็นเสื้อเกราะที่ไม่ได้กันการยิงด้วยกระสุนตรง เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า เราได้หารือกันแล้วว่าอย่างไรก็ต้องออกไปด้วยอุปกรณ์ที่จะใช้ในการสกัดกั้นได้แค่โล่และกระบองเท่านั้น แม้ว่าฝ่ายไหนก็แล้วแต่จะใช้อาวุธ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ม็อบที่จะต้องทำเช่นนั้น อาวุธที่จะออกไปมันยิ่งรังแต่จะสร้างปัญหามากขึ้นไปอีก และจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ เพราะฉะนั้นก็จะต้องออกไปด้วยโล่และกระบองเป็นสูงสุด และเครื่องมืออย่างอื่นที่จำเป็น เช่น แก๊สน้ำตา หรือรถฉีดน้ำเท่านั้น

ในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ ท่านอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ได้สำนึกหรือไม่ว่า เหตุการณ์วิกฤตที่ผ่านมา กรมประชาสัมพันธ์มีส่วนสำคัญมากในการเทน้ำมันลงไปในกองเพลิง เพราะว่าท่านได้อนุญาตให้นักการเมืองใช้สถานีทีวีของกรมประชาสัมพันธ์ปลุกระดมสร้างความแตกแยกตลอดมา ท่านจะเปลี่ยนพฤติกรรมนี้หรือไม่ เพื่อให้สังคมเกิดความสามัคคี ท่านจะยอมเลิกเป็นทาสนักการเมืองหรือไม่

- ผมขอตอบในส่วนแรกนิดหนึ่งก่อนเพื่อให้บรรยากาศอยู่ในลักษณะที่จะเป็นไปได้ในทางสมานฉันท์และในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน ว่า ให้ผมพูดตามความสัตย์จริงว่า สื่อทั้งสองฝ่ายมีส่วนทำให้สถานการณ์ขยายตัว เรียกว่าค่อยๆ พัฒนาไปในลักษณะที่ใช้ความรุนแรง ถ้าท่านพูดลักษณะนั้นผมก็ขออนุญาตเรียนว่า สื่อทั้งสองฝ่าย ในส่วนนี้คณะทำงานก็ได้พิจารณากันในเรื่องนี้ และได้พิจารณาในหลายแง่หลายมุมว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อสื่อที่ทำให้คนมีความรับรู้ และในบางสื่อก็รับรู้ด้านเดียว ที่ท่านคงจะพูดถึงในกรณีดังกล่าว บางคนก็มีความขัดข้องที่ออกมาปฏิบัติ คือยิ่งพูดก็ยิ่งมีกลุ่มมาต่อต้าน เลยกลายเป็นประเด็นขึ้นมา มีกลุ่ม มีมวลชนเกิดขึ้นมา เพราะการเผยแพร่ดังกล่าว ผมยังเรียนยืนยันว่า ท่านทั้งหลายเป็นสื่อ ท่านย่อมรู้ดีว่า ถ้าสื่ออยู่เที่ยงตรงตรงกลางเช่นเดียวกับทหาร ตำรวจ ย่อมจะสามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติได้ ตราบใดที่สื่อยังอยู่เป็นกลางและให้ข้อมูลที่แท้จริง ไม่ปลุกปั่นจนประชาชนทั้งหลาย สาธารณะรับรู้ได้ว่าสื่ออันนี้เป็นสื่อที่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้าท่านอยู่ที่จุดนั้น ท่านจะช่วยแก้ปัญหาประเทศชาติได้ ผมเรียนในภาพรวมอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้มีการพูดคุยและคงจะหาทางดำเนินการในส่วนนี้ ว่าทำอย่างไรสื่อจะช่วยสร้างสรรค์สังคมที่ดีได้ ไม่ให้คนมาปะทะกันได้ แต่อยู่ในขอบเขตของการที่จะสร้างความเข้าใจได้
ในขณะนี้ก็ยังเรียนท่านสื่อมวลชนทั้งหลายว่า หลายเสียงก็อยากที่จะให้มีการดำเนินการกับสื่อ โดยเหตุผลเรื่องเดียวเลย คือทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น อย่างไรก็ตาม พอพิจารณาเรื่องผลกระทบที่ตามมา ช่วงระยะเวลาที่ได้หารือกันเมื่อช่วงที่ผ่านมายังเร็วเกินไปที่จะมีมาตรการ เนื่องจากผลกระทบจากสาธารณะและทางด้านต่างประเทศในเรื่องการปิดกั้นสื่อ ก็อาจจะมีผลต่อภาพพจน์ของประเทศชาติ รวมทั้งคณะแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งของรัฐที่สั่งลงมา แล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญของกองทัพบก ซึ่งเราต้องการแก้ปัญหาของชาติโดยส่วนรวม โดยที่ไม่ต้องการที่จะไปมองว่าใครเป็นพวกใคร ใครเป็นพวกใคร จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ไม่ใช่วาระของกองทัพบก กองทัพบกเป็นกองทัพของประเทศชาติ เหมือนกับข้าราชการทุกฝ่ายที่นั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนเห็นร่วมกันว่า ต้องการให้ประเทศชาติฟันฝ่าตรงนี้ไปได้ ใครจะเจรจาได้อย่างไรนั้น เป็นคนละเรื่องกับพนักงานชุดนี้ และข้าราชการของรัฐหรือของประชาชน ของประเทศชาติ ที่จะต้องไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นมาตรการที่จะดำเนินการในส่วนนี้ละเอียดอ่อน มีทั้งพอทำไปแล้วเกิดมุมกลับ กลายเป็นว่ามามากขึ้น เพราะหาว่าไปปิดกั้นสื่อ ไปรุกราน ไปกระทำต่อกลุ่มดังกล่าว แม้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี ท่านต้องยอมรับว่า ผมขออนุญาตเรียนด้วยความเคารพว่า ผมมิได้เป็นข้างใดข้างหนึ่งด้วยความจริง ว่า ถ้าท่านมองว่าสื่อของพวกหนึ่งเป็นอีกของพวกหนึ่งอย่างที่กล่าวอ้าง ท่านต้องยอมรับว่าสื่ออีกส่วนหนึ่งก็มีส่วนเกี่ยวข้องในส่วนนี้ ด้วยความเคารพครับ เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วประชาชนหลายคน หลายส่วนในประเทศย่อมมองอย่างนั้น แล้วก็มองว่าถ้าท่านสร้างความรับรู้ให้ประชาชนด้านเดียวอย่างนั้น แล้วก็ใช้ความปลุกปั่นค่อนข้างรุนแรง แม้ว่าจะจริงบ้าง จะเท็จบ้าง มันก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะสร้างให้สังคมนี้มันจะเดินไปสู่การพูดคุยกันได้

มีแนวความคิดว่าจะปิดสื่อทั้งสองสถานีนี้หรือเปล่า

- ก็เป็นสิ่งที่คณะกรรมการพูดคุย แต่ว่าขอระยะเวลาพิจารณาให้ละเอียด อย่างไรก็ตาม ถ้าสื่อเห็นพ้องกับผมว่าเราไม่มีวาระซ่อนเร้นที่จะไปอิงอยู่ข้างใด แล้วมีเจตนาที่จะแก้ปัญหาของชาติในวาระนี้ให้ลุล่วง และปัญหาดังกล่าวนั้น สองสถานีมีส่วนสำคัญที่ทำให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปได้ยาก ถ้าทุกคนเห็นร่วมกันอย่างนั้นแล้ว เราจะขอให้เขาได้ จะใช้คำว่า "ปิด" สื่อที่ออกไปต่างประเทศเดี๋ยวเขาจะไขว้เขวอย่างที่ผมเรียนนะครับ ว่ามีมาตรการที่เหมาะสมที่จะให้สื่อทั้งสองส่วนที่สร้างบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อการที่จะนำไปสู่ความสงบได้มีส่วนทำให้มันดีขึ้น ด้วยมาตรการอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ได้ใช้คำว่า "ปิด" นะครับ ก็แล้วแต่มาตรการที่เหมาะสมเราจะพูดคุยในวาระต่อจากนี้ไปอีกครั้ง

เนื่องด้วยสถานการณ์ขณะนี้แต่ละฝ่ายต่างมีจุดยืนแตกต่างกัน โดยที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการให้รัฐบาลพิจารณาลาออกหรือยุบสภา และฝ่าย นปก.เองก็อยากจะให้พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล จุดยืนที่มันต่างกัน 2 อย่าง ถ้าหากการเจรจาไม่เป็นผล ไม่มีการสานรับจากคณะกรรมการ เรามีมาตรการอย่างไรรองรับต่อไป ถ้าต้องมีการให้เป็นผลดีขึ้น หรือจะมีการใช้มาตรการด้านความรุนแรงในการสลายการชุมนุมอย่างไรไหม มีกำหนดกรอบที่จะต้องนำกำลังออกมาตรงนี้หรือเปล่า

- เรียนยืนยันว่าน่าจะเกินเลยภาวะฉุกเฉินนะครับ มันน่าจะเป็นภาวะความขัดแย้งในสังคมของคนที่มีความเห็นต่างกัน 2 กลุ่ม ยังไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน เรื่องนั้น ในขณะนี้ทุกคนทราบดีว่าอำนาจบริหารนั้นไม่สามารถจะดำเนินการได้ตามภาวะปกติ ได้มีการใช้กลไกของรัฐสภา หรือส่วนนิติบัญญัติมาแก้ไข ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ในส่วนของอำนาจตุลาการ ก็ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เมื่อมีเรื่อง มีคดีเข้าไป หรือมีประเด็นเข้าไปที่จะต้องดำเนินการในส่วนนั้นเขาก็ดำเนินการ ผมยังอยากเรียนว่า ถ้าเราซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน อยากแก้ปัญหานี้ลุล่วง น่าจะดันภาระนี้กลับไปสู่สภานิติบัญญัติ มากกว่าที่จะให้ภาคประชาชน ซึ่งมีความเห็นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มาแก้ไขปัญหากันโดยที่ทั้งสองฝ่ายนี้ค่อนข้างที่จะยากที่จะไปมีจุดร่วมจุดใดจุดหนึ่งที่เหมาะสม ผมยังยืนยันว่า ในความคิดของผมนั้นคิดว่ารัฐสภา สภานิติบัญญัติ จะต้องแก้ไขปัญหานี้ มันไม่มีหนทางอื่น ท่านก็ทราบปัญหาดีว่าไม่มีใครยอมใคร ผมซึ่งเป็นกลไกหนึ่งของรัฐ พร้อมด้วยข้าราชการที่เกี่ยวข้อง จะไปแก้ไขปัญหานี้ ถ้าฟังก็จะทำ แต่ผมคิดว่าข้อกำหนดข้อยุติของเราที่จะมีขึ้นนั้นไม่น่าจะได้ ดังนั้นก็ขออยู่ที่ว่าทำอย่างไรไม่ให้สถานการณ์ฉุกเฉินที่คนปะทะกันเกิดขึ้น ส่วนความขัดแย้งนั้นต้องใช้กลไกอื่นตามกฎหมาย ซึ่งผมยังยืนยันว่ารัฐสภาควรจะรับผิดชอบประเทศชาติมากกว่านี้

ตกลงว่าคุยกันมา 3-4 ชั่วโมงเราจะให้พันธมิตรฯ ยึดทำเนียบอยู่ต่อไปหรือเปล่า หรือต้องเข้าไปเจรจาในวันนี้พรุ่งนี้

- เป็นคำถามอันเดิมนะครับว่า ในเรื่องนั้นผมอยากจะเรียนท่านว่า ปัญหาที่เรามองว่า ถ้าเราเข้าไปปฏิบัติการเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติที่ผ่านมาไม่ได้อยู่ข้างใด ปฏิบัติตามกรอบกฎหมายที่เข้าไป ก็ถูกเป็นจำเลยสังคม ซ้ำร้ายกว่านั้นสร้างกระแสจนเกิดเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ก็ผลมาจากการที่ตำรวจเข้าปฏิบัติตามกฎหมาย จะมีหนักมีเบาบ้าง ก็มันมีวิธีปฏิบัติ จะหาใครทำผิดใครทำไม่ตามกฎหมายใช้อำนาจเกินมันก็มีวิธีแก้ แต่เหตุการณ์เมื่อคืนเกิดขึ้นมาเนื่องจากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติผิดดังกล่าว ถ้าเจ้าหน้าที่ทหารกับตำรวจจะเข้าไปตามที่ท่านว่าแล้วมันจบ มันจะหมดเรื่องไปมันก็น่าเป็นมาตรการที่ทำ แต่คณะทำงานคิดว่ามันรังจะสร้างปัญหามากกว่านี้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่อยู่ทั่วประเทศ ที่สำคัญคือ ทางสหภาพแรงงานต่างๆ จะดำเนินการตามแนวความคิดของเขา ก็จะส่งผลกระทบในภาพรวมของประเทศ ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ การลงทุน การท่องเที่ยว อะไรทั้งสิ้นจะมีผลกลับมา แล้วปัญหาก็ยังจะไม่จบอีก คณะทำงานได้พิจารณาแล้วว่า แม้ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะถูกหรือไม่ถูกอย่างไรก็ตามในขณะนี้ถือว่าอยู่ในขั้นตอนของกฎหมายที่คุ้มครองอยู่ จะอยู่นานไม่นานสาธารณะจะต้องมีส่วนช่วย ประชาชนทั้งหลายต้องมีส่วนช่วยทำให้เกิดนอมที่เราจะทำงานได้ แล้วเมื่อถึงเวลาหนึ่งกฎหมายนั้นจะสามารถตัดสินได้จะคุ้มครองหรือไม่คุ้มครองอย่างไรของผู้ที่อยู่ที่นั่น นี่ผมตอบในภาพรวมว่าจะมีแนวทางเช่นนั้น

ตอนนี้พันธมิตรฯ ยืนยันว่าเขาจะไม่ออกมาจากทำเนียบทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว จะมีมาตรการจัดการอะไรตอนนี้หรือไม่ จะยืนยันว่าทหารจะไม่เอากำลังมาสลายการชุมนุมหรือไม่

- ผมว่าผมตอบทั้งหมดไปหมดแล้ว ผมตอบหมดแล้วนะครับ ว่าในเรื่องแรกเลยว่า ในเรื่องนั้นไม่ใช่วาระของคณะทำงานฉุกเฉินในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาฉุกเฉินขณะนี้น่าจะแก้ปัญหาอยู่ในกรอบของการที่จะแก้ปัญหาไม่ให้คนที่มีความคิดแตกต่างสองกลุ่มมาปะทะกันแล้วสร้างความสูญเสีย ไม่ว่าเป็นชีวิต ทรัพย์สินของบุคคลใดก็แล้วแต่ ส่วนประเด็นว่าจะลงเอยอย่างไรนั้น ท่านก็ทราบดีว่าขณะนี้กลไกตามกฎหมายของประเทศชาติลงไปแก้ไขแล้วยังไม่ได้ ท่านจะให้คณะกรรมการฉุกเฉินไปแก้ คณะกรรมการคิดว่าน่าจะเกิดปัญหาบานปลายตามมามากกว่านี้ ถ้ารัฐสภาแก้ไม่ได้ ศาลยังแก้ไม่ได้ แล้วคณะกรรมการฉุกเฉิน ซึ่งน่าจะลิมิตตัวเองอยู่ที่การแก้ปัญหาคนไม่ตีกัน ไปแก้ปัญหาตรงนั้น ถ้าแก้ได้เดี๋ยวผมจะดำเนินการแล้ว แต่คิดว่าน่าจะไม่สามารถไปแก้ไขปัญหาตรงนั้นได้ ต้องใช้กลไกอื่น อีกข้อหนึ่งว่า จะไม่ใช้กำลังทำร้ายประชาชน ผมได้ตอบหลายครั้งในที่นี้แล้วก็ตลอดมาว่า ข้าราชการของรัฐไม่ว่าจะทหาร ตำรวจ จะต้องใช้ขันติในการดำเนินการจะไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา เรื่องการทำร้ายประชาชนไม่มีอยู่แล้ว แต่แม้กระทั่งการไม่ทำร้ายประชาชน แต่การปฏิบัติหน้าที่ตามปกติตามกฎหมาย อย่างที่มีสื่อบางท่านถามว่าจะดำเนินการอย่างไรเมื่ออีกฝ่ายมีอาวุธเราก็ไม่ถืออาวุธ ไปด้วยตัวเปล่า เสื้อเกราะก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเรื่องทำร้ายประชาชนพูดได้เลยไม่มีอยู่แล้ว แม้กระทั่งออกไปใช้ความรุนแรงก็ไม่มี ก็เรียนยืนยันว่าไม่มี

(ฟังไม่ชัด)

- ในส่วนนี้คณะกรรมการได้พิจารณาร่วมกันว่า ข้อกำหนด กำหนดเพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ จะใช้หรือไม่อย่างไรนั้นปัจจัยที่จะชี้ขาดไม่ใช่อยู่ปัจจัยที่ว่าคณะทำงานชุดนี้ก็เปิดหนังสือมาแล้วข้อ 1 ทำอย่างไรแล้วก็ไปทำ ถ้าแก้ลักษณะนั้นได้ก็น่าจะจบไปตั้งหลายวันแล้วนะครับ เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นไม่สามารถดำเนินการได้โดยใช้หลักนิติศาสตร์อย่างเดียวนะครับ การดำเนินการดังกล่าวถ้าทำก็ยิ่ง ผมมั่นใจว่าจะเกิดปัญหามากขึ้นไปอีกนะครับ ไม่มีทางยุติ ถ้าตำรวจถูกเป็นจำเลยได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทหารก็จะถูกเป็นจำเลยได้ โดยเฉพาะถ้ามีการพลั้งพลาดแล้วเกิดความเสียหายมาก นะครับ แล้วเกิดกระแสความไม่พอใจ ประเทศชาติจะยิ่งแตกแยกมากขึ้นไปอีก นะครับ เพราะฉะนั้นยืนยันว่าข้อกำหนดนั้นมีให้ใช้ จะใช้อย่างไรเพื่อให้แก้สถานการณ์ได้ก็ขอให้ใช้ ขั้นในการที่จะไปสลายนั้นผมว่าเลยมาตรการในเรื่องความฉุกเฉินไป เอาว่าตอนนี้ไม่ให้คนใช้กำลังเข้าหากันน่าจะเป็นขอบเขตที่น่าจะเหมาะสม

มองว่าสถานการณ์ขณะนี้การแก้ปัญหาด้านนิติบัญญัติ ตุลาการก็แก้ปัญหาไปแล้ว มองว่าอีกด้านหนึ่งคือด้านบริหาร คนที่มีการพิจารณาหาทางออกหรือพิจารณาตัวเองในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนของประเทศนี้หรือเปล่า

- ถ้าถามในลักษณะต่อหน้าสาธารณะในฐานะของผู้ไปแก้ปัญหาฉุกเฉินไม่น่าจะมีความเห็นที่จะตอบได้ เพราะว่าที่สำคัญคือไม่ใช่ตัวคณะกรรมการชุดนี้ ท่านต้องถามผู้ใช้อำนาจบริหาร

หลังจากพรุ่งนี้จะมีการตัดน้ำตัดไฟแล้วจะมีคนที่ไม่ได้มีความต้องการอย่างนั้นแล้วเกิดโกลาหลจลาจลขึ้นมา อาจจะมีภาพรวมทางเศรษฐกิจ ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอยู่แล้ว ก็แย่อยู่แล้ว ท่าน ผบ.มีจุดยืนอย่างไรระหว่างภาวะเศรษฐกิจกับภาวะทางการเมืองที่มันคับขัน ท่านจะวางตัวอย่างไร

- ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของสหพันธ์ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับสาธารณูปโภค เมื่อมีมาตรการดำเนินการอย่างไรแล้วจะมีผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม ประชาชนโดยรวมของประเทศทั้งสิ้น ผมก็อยากจะเรียนขอร้องว่า ถ้าเราอยากจะแก้ปัญหาในบ้านเมืองเรา เราต้องใช้มาตรการที่มัน ถ้าท่านคิดว่ามันต้องทำแล้วมันจะแก้ปัญหาได้ทุกคนก็คงจะเห็นด้วย แต่ถ้าทำแล้วยังแก้ไขปัญหาไม่ได้แล้วความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศชาติโดยส่วนรวม เราทุกคนในประเทศชาติจะได้รับผลกระทบอันนั้น ผมขอเรียนว่า ค่อยๆ ยับยั้งชั่งใจที่จะค่อยทำ เพราะว่าผลกระทบนั้นมันกระทบไปทั้งหมดเลยนะครับ เราต้องการฆ่าหนูตัวเดียวแต่เราต้องรื้อหลังคาบ้านต้องรื้อหมดทุกอย่างมันก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะ ไม่น่าจะเป็นแนวคิดที่ดีนัก ผมคิดว่า ขออยากเรียนว่า ถ้าใช้วิจารณญาณค่อยๆ ทำกันไปสังคมจะไปได้ ก็อยากจะเรียนขอร้อง เพื่อเห็นกับประชาชนโดยส่วนรวม เพื่อเห็นกับสภาพของประเทศโดยส่วนรวม ไม่ว่าเศรษฐกิจหรือสังคมก็แล้วแต่ ขอได้พิจารณาในเรื่องนี้ ใคร่ครวญให้มากหน่อย

ใครจะเป็นคนไปเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่ม นปก.ที่จะให้เขายุติการใช้ความรุนแรง เป็นกองทัพบกหรือจะเป็นคนกลาง

- ในส่วนนี้มีการพูดคุยว่า แม้ว่าเราอยากจะเจรจาในขอบเขตของว่า ขอให้ทั้งสองฝ่ายอย่าใช้ความรุนแรง อีกอย่างเราไม่มั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายจะมาพูดคุยกับคณะแก้ปัญหานี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แต่เราจะปฏิเสธช่องทางนี้ไม่ได้ ก็จะพยายามจะสื่อไป แม้กระทั่งเป็นการสื่อด้านเดียวว่าขอให้ทั้งสองฝ่ายอย่าได้ใช้มาตรการรุนแรง หรือมาตรการสิ่งใดที่สุ่มเสี่ยงต่อการจะเกิดความรุนแรง เช่น การเคลื่อนคนเข้าไปหากัน เป็นต้น คงจะต้องขอร้องในขอบเขตนี้เท่านั้น ส่วนว่าใครจะทำอะไรอย่างไรนั้น ก็อย่างที่ผมเรียนแล้วว่า เราพยายามหาช่องทางอยู่ ถ้าไม่ได้ก็ขอใช้สื่อเปิดในการที่จะสื่อไปถึงกลุ่มบุคคลดังกล่าว

พ.ร.ก.นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่ยาขนานเล็ก และดูเหมือนว่าอาจจะช่วยสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง เมื่อกี้ท่านพูดถึงว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่เกินเลยอำนาจ หรือขอบเขตของ พ.ร.ก.ไป ที่นี้ท่านพูดถึงเรื่องของรัฐสภา จากการประชุมวันนี้ ไม่ทราบว่า ท่านจะมีการตอบรับกลับไปยังฝ่ายการเมืองไหมครับว่า ควรจะทำยังไงให้สถานการณ์ดีขึ้น
- ถ้าเป็นข้อสรุปของคณะกรรมการไม่น่าจะถูกต้อง เพราะเขาได้มอบกรอบในการที่จะแจ้งสถานการณ์ฉุกเฉินมาให้ ที่จะไม่ให้เกิดสภาวะฉุกเฉิน คือการปะทะกันระหว่างคนในชาติ ซึ่งเราได้ถือวัตถุประสงค์ในการที่จะให้คณะกรรมการชุดนี้ดำเนินการ เราได้มีมาตรการที่จะทำได้ แต่ที่จะไปเสนอ ข้อเสนอ ผมว่า ไม่น่าจะเสนอเป็นทางการได้ แต่ไม่เป็นทางการน่าจะเสนอได้

ผบ.ค่ะ กลุ่มพันธมิตรฯ ดูเหมือนว่า (ไม่ได้ยิน)

- ถ้าเราสามารถทำได้เช่นนั้น เท่ากับให้ทั้งหมดไม่ใช้ช่องทางการใช้กำลัง ผมว่าประเทศชาติน่าจะเห็นว่า สถานการณ์น่าจะไปในทิศทางที่ดี นั่นคือทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องไปใช้กลไกในการพูดคุยกัน เจรจากัน ใช้เหตุผล ใช้หลักยุติธรรม การใช้หลักกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่นั้น มันเป็นหนทางที่จะต้องทำเช่นนั้น

คิดว่าปัญหามันจะยุติได้ไหมค่ะ

- ต้องขอเรียนสื่อนะครับว่า ถ้าคนไทยทั้งชาติมีความเห็นแตกต่างกัน ซึ่งประเทศอื่นก็คงจะมีมากกว่าเรา และเราแก้ปัญหาไม่ได้ ชาติ ประเทศชาติเราคงอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำตอบคือ ต้องแก้ไขได้

เท่าที่ปรากฏในสายตาของสื่อ ดูเหมือนว่า กองทัพบก โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบก ได้วางตัวเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ หรือมีการวางตัวอย่างเป็นกลางในการแก้ปัญหา ทำให้มองภาพออกมาว่า ผู้บัญชาการทหารบกก็จะไม่ให้การสนับสนุนรัฐบาลอย่างเต็มที่ คือจะวางตัวเป็นกลาง ไม่ได้ให้การสนับสนุนรัฐบาล อย่างที่รัฐบาลคาดหวัง

- ต่อข้อถามนี้ อยากเรียนเป็นภาษาไทย และช่วยแปลด้วยนะ ว่า ในการที่เส้นแบ่งระหว่างการปฏิบัติการ ปฏิบัติงานตามกรอบนโยบายของรัฐบาล ตามอำนาจบริหารของประเทศชาติ กองทัพบกจะทำหน้าที่นั้น ตามกรอบของกฎหมาย บทบาทอำนาจหน้าที่ที่เรามีต่อรัฐบาล เราคงปฏิบัติเพียงแค่นั้น ส่วนปัญหาข้อขัดข้อง ข้อขัดแย้งของรัฐบาล ไม่ใช่วาระของกองทัพที่จะไปมีส่วนในส่วนนั้น คงเป็นเรื่องที่ เราคงจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว และถือว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องแก้ไขปัญหานั้น

อย่างที่ ผบ.บอกว่า ทหารก็เป็นกลไกของรัฐ คือเราก็เข้าใจว่า ผบ.จะต้องมีเส้นแบ่งในการทำงาน แต่ทหาร คือเป็นกลไกของรัฐที่มีความรู้สึก แล้วก็เป็นกลไกที่ประชาชนให้ความคาดหวัง และหวังทุกอย่างในการจะแก้ปัญหา แล้วทุกวันนี้ปัญหาวิกฤตมากจนระบบรัฐสภาที่ ผบ.หวังก็ไม่อาจแก้ได้ ผบ.จะทำอย่างไรในฐานะที่เป็นความรู้สึกส่วนตัวของ พล.อ.อนุพงษ์ คนหนึ่งที่ไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. แล้วคิดว่าเราจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ตรงนี้มันหายไปได้ แม้ว่าการจะฆ่าหนูตัวนึงแล้วการรื้อบ้านกับคิดว่าบ่อยให้บ้านพังแล้วทับลงมา ทับในบ้านตายมากกว่าการที่หนูตัวเดียวจะตาย อันไหนมันจะคุ้มกว่ากัน

ในเรื่องของคำถามว่า ในฐานะตัวผมไม่สามารถเป็นอื่นได้เพราะท่านถามในฐานะที่ผมมายืนเบื้องนี้ไม่สามารถเป็นอื่นได้ ไม่มี พล.อ.อนุพงษ์ ในส่วนตัว พล.อ.อนุงษ์ จะอยู่ในฐานะผู้บัชญาของกองทัพ ถึงมาอยู่จุดนี้ ต้องมาพูด เพราะฉะนั้นวาระส่วนตัวไม่สามารถพูดได้ในส่วนนั้นเลย ต่อปัญหาว่ามีปัญหาเกิดขึ้นต่อประชาชน ผมต้องเรียนถามว่า ถ้าประชาชนมีหนึ่งเดียว กองทัพบกอยู่ได้เลย ก็อยู่หนึ่งเดียวกับประชาชนนั้น เมื่อประชาชนแบ่งเป็นส่วนเป็นฝ่าย กองทัพบกไม่สามารถที่จะอยู่ส่วนไหนได้เลย กองทัพบกจะต้องทำอย่างไรให้สองส่วนมีหนทางออกที่ดี แล้วก็ไม่มีความสูญเสียทั้งสองฝ่าย นั่นคือคำตอบ คำว่าประชาชนมันไม่ได้บอกเลยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมันเกิดจากคนทั้งสองฝ่าย แล้วกองทัพบกไม่สามารถจะอยู่จุดใดจุดหนึ่งได้

ผบ.รู้สึกไหมคะว่าตอนนี้รัฐบาลเขาแก้ไขปัญหาอื่นไม่ได้แล้วโยนเผือกร้อนมาให้กองทัพ โดยเฉพาะ ผบ.ต้องรับหน้าเสื่อในการแก้ปัญหานี้ ซึ่งมันเป็นปัญหาใหญ่มาก

ไม่มีปัญหาเพราะเราได้คุยกันแล้วว่าเราจะ ทางผมแล้วก็ทางรอง คือท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และท่านแม่ทัพภาค 1 ซึ่งอยู่ตรงพื้นที่นี้ ในกรุงเทพมหานคร เราก็จะแก้เรื่องฉุกเฉินตรงนี้ให้ได้ว่า ไม่ให้คนได้ปะทะกัน ให้พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายได้เห็นว่ามันน่าจะใช้หนทางอื่น แล้วก็จะไม่ให้คนทั้งหลายปะทะกัน

(ฟังไม่ชัด)

ผมไม่วิจารณ์ว่าน้อยเกินไปมากเกินไปเดี๋ยวเข้าไปอยู่ในความขัดแย้งอีก ผมไม่ใช่เช่นนั้นนะครับ แต่ผมเสนอแนะว่า แทนที่จะใช้ภาคประชาชนซึ่งเห็นเป็นสองฝ่ายแล้วมีปัญหากัน ดันไปอย่างไว ภาคประชาชนก็จะมีสองฝ่าย จะมีความขัดแย้งกัน ผมเองก็มาขจัดความขัดแย้งไม่ให้เกิดถึงขนาดใช้กำลังปะทะซึ่งกันและกัน มันก็มีหนทางที่จะพูดจาที่จะต้องทำได้ หรือใช้กลไกกฎหมาย สิ่งดังกล่าวก็เกิดขึ้นได้ด้วยกลไกของสภาที่ต้องแก้ปัญหาประเทศชาติ ขออนุญาต ถ้าไม่เช่นนั้นกลับลงมาภาคประชาชนก็เกิดปัญหา กลับไปใช้องค์กรทหารไปทำก็ไม่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกก็รังจะเกิดปัญหาไปทั้งหมด มันแก้ไม่ได้จริง

(ฟังไม่ชัด)

ผมยังยืนยันว่าเมื่อประตูด้านการใช้กำลังทหารมันน่าจะไม่มีประตูเหลืออยู่แล้ว เป็นกำแพง ก็ต้องหันกลับไปสู่ประตูที่ไปได้ ประตูนั้นจะเปิดได้ไม่ได้อย่างไรก็ต้องใช้ประตูนั้นแก้ปัญหา เพราะประตูด้านนี้มันไม่มี การใช้กำลังทหารที่จะปฏิวัติรัฐประหาร ปัญหาจะตามมาอีกมากมาย ตรงนี้ไม่มีประตูจริงๆ ครับ ต้องหันกลับไปสู่ที่มีประตู คือ กลไกของรัฐสภา หรือกลไกของกฎหมายที่มันมีประตูอยู่ มาทางนี้มันมีแต่กำแพงไปไม่ได้

7-8 เดือนในการบริหารงานของคุณสมัคร ปัญหาบ้านเมืองมันเกิดขึ้นตลอดเวลา ใจของคนชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ จะคุยกับท่านนายกฯ สมัครอย่างไร จะให้ลาออกหรือให้ยุบสภา หรือจนถึงที่สุดแล้วทหารต้องออกมาปฏิวัติเพื่อรักษาประเทศชาติ

ถ้าพูดได้แล้วก็ทำได้คงจะทำ ท่านได้เรียนแล้วว่าท่านมีเหตุผลตามหลักของท่าน ท่านก็ได้ยินว่า ประชาชนส่วนหนึ่ง ท่านก็ให้เหตุผลที่ท่านอธิบาย เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า เกินกำลังผมที่จะไปทำได้ในส่วนนั้น

มองว่าท่านอาจจะเป็นเหยื่อทางการเมืองอีกหนึ่งคนที่ภายหลังจากให้ท่านเป็นคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการตรงนี้ถ้าหากทำไม่สำเร็จท่านอาจจะถูกมองในแง่สังคมว่าท่านไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ ถ้าหากท่านทำได้ก็เสมอตัว อย่างกรณีของ ผบช.น.เอง ท่านก็ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว ให้เข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัย แต่ท้ายที่สุดแล้วท่านก็ถูกย้าย 24 ชั่วโมง ในเมื่อกระแสสังคมไม่ยอมรับตรงนี้ ท่านหวั่นหรือไม่

เข้าใจว่าถ้าเอาไปผูกประเด็นกันแล้วมันจะยิ่งไปกันใหญ่นะครับ ผมยืนยันว่า กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ น่าจะรักษาสถานการณ์ไม่ให้เกิดการปะทะกันได้ ส่วนประเด็นของท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่ผ่านมานั้นมันเป็นเรื่องโยกย้ายตามปกติ แล้วก็น่าจะเป็นเรื่องกลไกการบริหาร อย่าเอาไปผูกโยงให้เกิดปัญหามากกว่านี้เลยครับ เป็นเรื่องประเด็นของการดำเนินการ อย่างไรก็ตามทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ท่านจงรักมาดูแลในส่วนนั้น อย่างไรก็ตามเป็นกลไกรัฐที่จะทำให้เกิดความเรียบร้อยตรงนี้ได้ อย่าเอาประเด็นเรื่องการ กลไกทางการบังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

คณะกรรมการพิเศษที่ตั้งขึ้นมา ท้ายสุดแล้วมุ่งเน้นไปเรื่องการเจรจา ถ้าท้ายสุดแล้วการเจรจายังไม่ได้ผล แผนการต่อไปหรือแผนสำรองที่ทหารจะทำคืออะไร

- ผมเรียนแล้วว่า มาตรการหลายประการของคณะทำงานชุดนี้ เพื่อจะแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ใช้หลายทาง ทั้งการเจรจา การสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจ การร้องขอต่อสาธารณะ การที่ทำความเข้าใจกับคนที่อยู่ต่างภูมิภาคอื่นๆ ไม่ให้เข้ามา รวมทั้งมาตรการในการที่จะสกัดกั้นไม่ให้คนทั้ง 2 กลุ่มปะทะกัน ก็มีทุกมาตรการ ไม่ใช่มีมาตรการเดียว การเจรจาที่ว่า มีใช้ทุกมาตรการ และจะต้องทำให้ได้ คือ ไม่ให้เกิดการปะทะเกิดขึ้น แล้วทำให้ เมื่อไม่ปะทะกันก็ต้องใช้ช่องทางอื่น เช่น ช่องทางเจรจาพูดคุย กฎหมาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะแก้ไขปัญหานี้

(ถาม)

- ผมไม่วิพากษ์ว่า เป็นเครื่องมือหรือไม่อย่างไร ในเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้ เป็นสถานการณ์ที่มีความรุนแรง ในส่วนที่จะฉุกเฉินหรือไม่ เป็นหน้าที่ผู้ถืออำนาจรัฐจะเป็นผู้พิจารณาเห็นว่า สถานการณ์ฉุกเฉิน ในเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมได้ประสานงานกับท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะที่เราเป็นกลไกหนึ่งของรัฐ และมีกำลังที่จะทำให้ประเทศชาติ มีความสงบสุขได้ ท่าน ผบ.ตำรวจแห่งชาติ บอกว่า น่าจะ ถ้าเป็นไปได้ และสามารถจัดกำลังได้ มาร่วมกัน ก็น่าจะทำให้สถานการณ์มันสงบลงได้ ผมจึงได้ขออนุญาตเรียนท่านนายกรัฐมนตรี และผมก็ได้จัดกำลังมาปฏิบัติงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการที่จะทำให้สถานการณ์มันคลี่คลาย ก็ได้ดำเนินการไปตามนั้น ผมไม่ถือว่า ตกเป็นเครื่องมือหรือไม่ ถ้ายังมีเหตุการณ์รุนแรงอยู่อีก กองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะดังกล่าว ให้เกิดความสงบสุข

(ถาม)

- ในการที่กำหนดภาวะฉุกเฉิน มันเป็นการกำหนดอย่างน้อยเพื่อให้ ทางเจ้าหน้าที่ทหารสามารถมาปฏิบัติหน้าที่ เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลในส่วนนี้ได้ ข้อกำหนดต่างๆ ที่มันมีมาให้ เพื่อให้คณะทำงานดังกล่าว แก้ไขปัญหาดังกล่าว สามารถมีเครื่องมือใช้ได้ อย่างไรก็ตาม จะพิจารณาใช้ตามความเหมาะสม เพราะฉะนั้น ผมยังถือว่า เมื่อเราต้องออกมาทำงาน และมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็ไม่น่าจะมีความเสียหายอะไรในส่วนนั้น

(ถาม)

- ยังไม่มีความคิดเห็นเรื่องเคอร์ฟิว เพราะว่า มันจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกิจการใด ไม่ว่าจะเป็นชาวไทย หรือชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาอยู่ในสังคมกรุงเทพมหานครนั้นจะได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้นมาตรการที่ใช้อยู่ปัจจุบันนี้ โดยไม่ต้องใช้กฎหมายการห้ามออกนอกเคหสถาน ก็น่าจะยังสามารถใช้ได้ และสามารถจะควบคุมสถานการณ์ได้

(ถาม)

- ในเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น มีกฎหมายอยู่แล้ว มีหลักฐาน มีพยานต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการ คณะกรรมการชุดนี้คงไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว คณะทำงาน ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบปกติก็จะดำเนินการอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ สามารถดำเนินการในส่วนนี้ได้ คงมีแค่นั้นครับ ท่านที่เคารพทุกท่าน ผมก็ยังอยากเรียนว่า สื่อน่าจะมีส่วนสำคัญยิ่งในการที่จะทำให้ประเทศชาติเราผ่านวิกฤตในส่วนนี้ ผมก็ขอร้องสื่อว่า ถ้าค่อยๆ พูดให้ประชาชน สาธารณะ เข้าใจถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นในการใช้กำลังเข้าปะทะหรือกระทำต่อกัน การไม่แก้ไขปัญหาโดยการมาพูดคุยหรือใช้ช่องทางกฎหมายนั้น น่าจะส่งผลที่ไม่ดีกับประเทศชาติและสังคมโดยรวม ก็อยากจะเรียนว่าทุกท่านขอให้ค่อยๆ ใช้วิจารณญาณ ใช้ความเป็นคนไทย ที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ เราในฐานะที่รัฐบาลได้ให้มาดำเนินการในส่วนนี้ ทุกๆ หน่วยงาน ภาครัฐ ที่มีความตระหนักว่าเราพยายามจะแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดความรุนแรง ไม่ให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้น ก็ขอให้ประชาชนได้มีความเข้าใจในส่วนนี้ด้วย ขอบคุณครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น