ดิออสเตรเลียน - หนังสือพิมพ์ "ดิออสเตรเลียน" เสนอรายงานข่าวในฉบับวันพฤหัสบดี(4) ชี้ว่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช กำลังถูกกดดันเพิ่มขึ้นเพื่อให้ลาออกจากตำแหน่งหรือประกาศยุบสภา สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่าทหารคือปัจจัยชี้ขาดในการแก้วิกฤตทางการเมืองและสังคมขณะนี้
"พลเอกอนุพงศ์ (เผ่าจินดา) เป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างชัดเจน" นายสนธิให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธ(3)กับหนังสือพิมพ์ของออสเตรเลียฉบับนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาลท่ามกลางฝูงชนเรือนพันเรือนหมื่นที่ยังปักหลักชุมนุมกันอยู่
"ถ้าหากท่านสนับสนุนคุณสมัคร ท่านก็จะต้องจัดการปราบพวกเรา แต่ถ้าท่านไม่ดำเนินการใดๆ อย่างจริงจังกับพวกเรา ก็หมายความว่าท่านกำลังพยายามหาทางออก (ทางการเมือง) ที่จะตกลงกันได้"
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ ก็ปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ต้องการให้ทหารก่อรัฐประหาร
"ผมไม่คิดว่าผมอยากเห็นรัฐประหารอีกครั้ง" นายสนธิกล่าวโดยอ้างอิงถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งขับไล่รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตรเมื่อปี 2006 ซึ่งยุติลงด้วยการยึดอำนาจของฝ่ายทหาร
นายสนธิเสนอแนะว่า จำเป็นจะต้องมี "ทางแก้ปัญหาการเมืองที่จะสามารถเป็นที่ตกลงกันได้" โดยมีทหารเป็นคนกลาง ในการเปลี่ยนให้การเผชิญหน้ากัน กลายเป็นการปฏิรูปการเมือง โดยที่คนอย่างนายทักษิณและนายสมัครจะต้องไม่สามารถกลับมาบริหารประเทศไทยได้อีก
เขายังปฏิเสธด้วยว่า ไม่ได้อยู่ในระหว่างการติดต่อกับพลเอกอนุพงศ์อยู่ แม้เขาจะเชื่อว่ามีคนของพันธมิตรที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร กำลังติดต่อกับพวกผู้นำทหาร
ในขณะที่การบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลดำเนินอย่างต่อเนื่องมาจนเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง โดยมีตำรวจคอมมานโด 300 นาย คอยดูแลอยู่โดยรอบพื้นที่ ผู้คนก็ความเห็นเพิ่มมากขึ้นว่าการเผชิญหน้ากันกำลังจะเกิดขึ้น โดยอาจจะกลายเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เต็มขั้น หรือไม่ก็มีการถอยลงมาภายหลังการเจรจากัน
"ผมมีความรู้สึกว่าจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า" นักวิเคราะห์การเมืองอาวุโสในกรุงเทพฯ ผู้หนึ่งบอก โดยเขาอ้างถึงการที่รัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรปฏิเสธที่จะประนีประนอมกัน และทหารก็ไม่ได้บังคับใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเต็มรูปแบบด้วย
แหล่งข่าวระดับสูงจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลก็คาดหมายเช่นกันว่า จะมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดภายในปลายสัปดาห์นี้ หลังจากที่สนธิได้ยื่นข้อเรียกร้องสี่ข้อในกรณีที่นายกรํฐมนตรีสมัครลาออกจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ แม้นายกรัฐมนตรีสมัครอาจโล่งใจได้บ้างหลังจากที่สหภาพแรงงาน 43 แห่งไม่ได้ดำเนินมาตรการตอบโต้ตามที่ประกาศไว้เมื่อวันพุธ กระนั้นก็มีรัฐวิสาหกิจบางแห่งหยุดให้บริการ และยังมีการประท้วงปิดสนามบินสองแห่งทางภาคใต้อย่างต่อเนื่องก็ตามที และแม้ว่าพลเอกอนุพงศ์จะยืนกรานว่ากองทัพจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการรัฐประหารอีกครั้ง แต่ผู้สื่อข่าวดิออสเตรเลียนระบุว่า ทุกคนที่ให้สัมภาษณ์นั้น ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้
ยิ่งกว่านั้น พลเอกอนุพงศ์ดูเหมือนจะปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีสมัครที่ให้ทหารเข้าประจำการเพื่อควบคุมสถานการณ์ทั่วกรุงเทพฯ และดำเนินการกับสื่อ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ที่รายงานข่าวในทางปฏิปักษ์กับรัฐบาล รวมทั้งดำเนินการกับผู้บุกยึดทำเนียบรัฐบาลด้วย
ส่วนนายกรัฐมนตรีสมัครนั้นดูเหมือนต้องเผชิญปัญหายุ่งยากทางกฎหมายเช่นกัน จากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งระบุเมื่อวันอังคารว่า พรรคพลังประชาชนโกงการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคมจริง ซึ่งจะมีผลให้ต้องยุบพรรคการเมืองดังกล่าว อันจะกระเทือนต่อไปถึงรัฐบาลด้วย แม้จะเชื่อกันว่าผู้สนับสนุนเขาได้ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่เพื่อรองรับกรณียุบพรรคไว้แล้ว โดยใช้ชื่อพรรคใหม่ว่าพรรคเพื่อไทย
"พลเอกอนุพงศ์ (เผ่าจินดา) เป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างชัดเจน" นายสนธิให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธ(3)กับหนังสือพิมพ์ของออสเตรเลียฉบับนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาลท่ามกลางฝูงชนเรือนพันเรือนหมื่นที่ยังปักหลักชุมนุมกันอยู่
"ถ้าหากท่านสนับสนุนคุณสมัคร ท่านก็จะต้องจัดการปราบพวกเรา แต่ถ้าท่านไม่ดำเนินการใดๆ อย่างจริงจังกับพวกเรา ก็หมายความว่าท่านกำลังพยายามหาทางออก (ทางการเมือง) ที่จะตกลงกันได้"
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ ก็ปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ต้องการให้ทหารก่อรัฐประหาร
"ผมไม่คิดว่าผมอยากเห็นรัฐประหารอีกครั้ง" นายสนธิกล่าวโดยอ้างอิงถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งขับไล่รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตรเมื่อปี 2006 ซึ่งยุติลงด้วยการยึดอำนาจของฝ่ายทหาร
นายสนธิเสนอแนะว่า จำเป็นจะต้องมี "ทางแก้ปัญหาการเมืองที่จะสามารถเป็นที่ตกลงกันได้" โดยมีทหารเป็นคนกลาง ในการเปลี่ยนให้การเผชิญหน้ากัน กลายเป็นการปฏิรูปการเมือง โดยที่คนอย่างนายทักษิณและนายสมัครจะต้องไม่สามารถกลับมาบริหารประเทศไทยได้อีก
เขายังปฏิเสธด้วยว่า ไม่ได้อยู่ในระหว่างการติดต่อกับพลเอกอนุพงศ์อยู่ แม้เขาจะเชื่อว่ามีคนของพันธมิตรที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร กำลังติดต่อกับพวกผู้นำทหาร
ในขณะที่การบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลดำเนินอย่างต่อเนื่องมาจนเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง โดยมีตำรวจคอมมานโด 300 นาย คอยดูแลอยู่โดยรอบพื้นที่ ผู้คนก็ความเห็นเพิ่มมากขึ้นว่าการเผชิญหน้ากันกำลังจะเกิดขึ้น โดยอาจจะกลายเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เต็มขั้น หรือไม่ก็มีการถอยลงมาภายหลังการเจรจากัน
"ผมมีความรู้สึกว่าจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า" นักวิเคราะห์การเมืองอาวุโสในกรุงเทพฯ ผู้หนึ่งบอก โดยเขาอ้างถึงการที่รัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรปฏิเสธที่จะประนีประนอมกัน และทหารก็ไม่ได้บังคับใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเต็มรูปแบบด้วย
แหล่งข่าวระดับสูงจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลก็คาดหมายเช่นกันว่า จะมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดภายในปลายสัปดาห์นี้ หลังจากที่สนธิได้ยื่นข้อเรียกร้องสี่ข้อในกรณีที่นายกรํฐมนตรีสมัครลาออกจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ แม้นายกรัฐมนตรีสมัครอาจโล่งใจได้บ้างหลังจากที่สหภาพแรงงาน 43 แห่งไม่ได้ดำเนินมาตรการตอบโต้ตามที่ประกาศไว้เมื่อวันพุธ กระนั้นก็มีรัฐวิสาหกิจบางแห่งหยุดให้บริการ และยังมีการประท้วงปิดสนามบินสองแห่งทางภาคใต้อย่างต่อเนื่องก็ตามที และแม้ว่าพลเอกอนุพงศ์จะยืนกรานว่ากองทัพจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการรัฐประหารอีกครั้ง แต่ผู้สื่อข่าวดิออสเตรเลียนระบุว่า ทุกคนที่ให้สัมภาษณ์นั้น ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้
ยิ่งกว่านั้น พลเอกอนุพงศ์ดูเหมือนจะปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีสมัครที่ให้ทหารเข้าประจำการเพื่อควบคุมสถานการณ์ทั่วกรุงเทพฯ และดำเนินการกับสื่อ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ที่รายงานข่าวในทางปฏิปักษ์กับรัฐบาล รวมทั้งดำเนินการกับผู้บุกยึดทำเนียบรัฐบาลด้วย
ส่วนนายกรัฐมนตรีสมัครนั้นดูเหมือนต้องเผชิญปัญหายุ่งยากทางกฎหมายเช่นกัน จากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งระบุเมื่อวันอังคารว่า พรรคพลังประชาชนโกงการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคมจริง ซึ่งจะมีผลให้ต้องยุบพรรคการเมืองดังกล่าว อันจะกระเทือนต่อไปถึงรัฐบาลด้วย แม้จะเชื่อกันว่าผู้สนับสนุนเขาได้ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่เพื่อรองรับกรณียุบพรรคไว้แล้ว โดยใช้ชื่อพรรคใหม่ว่าพรรคเพื่อไทย