การโพสต์ความเห็นจำนวนมากในเว็บไซต์ต่างๆ ว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลผีดิบกระหายเลือด บ้างก็ว่าเป็นซาตานกระหายเลือด
ในขณะที่โหรานุโหรจำนวนหนึ่งก็มองว่าชะตาผู้นำรัฐบาลคืออสูรที่กระหายเลือด และจะต้องดื่มเลือดประชาชนทุก 16 ปี
ลองมองย้อนไปดูก็จะพบว่าอสูรตนนี้เคยดื่มเลือดประชาชนมาแล้วจริง ๆ
ครั้งแรก ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คราวนั้นมีการเข่นฆ่าสังหารโหดนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงขนาดเอาคนมาเผาทั้งเป็นบ้าง จับเอาไปแขวนคอกับต้นมะขามสนามหลวงบ้าง ทำให้นิสิตนักศึกษาต้องหนีตายเข้าป่านับหมื่นคน
ครั้งที่สอง ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 นับเวลาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา ได้ 16 ปีพอดิบพอดี คราวนั้นมีการล้อมปราบสังหารประชาชนจนเลือดไทยไหลนองท่วมถนนราชดำเนิน เป็นบาดแผลใหญ่ที่ฝังตรึงใจคนไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน
มาบัดนี้ พ.ศ. 2551 หากนับเวลาจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬก็จะครบ 16 ปีพอดี หรือว่าเวลาที่อสูรจะดื่มเลือดประชาชนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง!
ดูสถานการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองแล้วก็เข้ารูปเข้าฟอร์มแบบเดียวกับที่เคยเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ไม่มีผิด ดังที่เคยบอกกล่าวไปคราวหนึ่งแล้ว คือ
ใช้สื่อของรัฐโกหกบิดเบือนใส่ร้ายประชาชนที่ชุมนุมว่าเป็นพวกทำลายชาติ
ใช้หน่วยงานของรัฐปลุกระดมอย่างกว้างขวางให้ชิงชังเคียดแค้นและให้สังหารประชาชนที่ชุมนุม
ใช้พระสงฆ์ที่ไม่ใช่สาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอาศัยผ้าเหลืองบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนาว่าการฆ่าประชาชนที่ชุมนุมไม่บาป ไม่ผิด
โดยมีอสูรกระหายเลือดตัวเดียวกันกำลังแลบลิ้นเลียปากด้วยความกระหายเลือด
แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป นัยของผู้ชุมนุมและการชุมนุมเปลี่ยนแปลงไป ดังที่เคยกล่าวมาเมื่อวันวานแล้ว ไม่จำต้องกล่าวซ้ำอีก
นัยสำคัญที่สุดที่ทำให้การล้อมปราบสังหารประชาชนที่ชุมนุมในครั้งนี้มีทีท่าว่าจะล้มเหลวคือ
ฝ่ายทหารมีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือเอาเลือดประชาชนไปสังเวยความกระหายเลือด และประกาศจุดยืนอยู่เคียงข้างประชาชน
ธงทางการเมืองของผู้ชุมนุมที่มุ่งปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โค่นระบอบทุนสามานย์ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติมีลักษณะเป็นธรรม เมื่อดำเนินยุทธวิธีสันติอหิงสาจึงก่อเกิดเป็นพลังที่ยากทำลาย ประดุจเกราะข่ายเพชรของพระอรหันต์ที่คุ้มกันเหล่ามารไม่ให้ทำลายได้
ความผิดชั่วของนักการเมือง การใช้ความรุนแรงของนักการเมืองสุดที่ประชาชนจะยอมรับและทนทานต่อไป จึงเกิดกระแสมวลมหาประชาชนต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
นัยทั้งสามประการนี้มีบทบาทหลักที่ทำให้การล้อมปราบประชาชนเพื่อเอาเลือดไปสังเวยอสูรร้ายได้ล้มเหลวลงโดยลำดับ ทั้งที่ได้เตรียมการอย่างพร้อมสรรพและปฏิบัติมาแล้วถึง 4 ครั้ง คือตอนใกล้รุ่งของวันที่ 27 สิงหาคม 2551 เช้าตรู่ของวันที่ 29 สิงหาคม 2551 ช่วงค่ำของวันที่ 29 สิงหาคม 2551 และตอนดึกของคืนวันที่ 1 กันยายน 2551
การใช้ความรุนแรงทั้ง 4 ครั้งนี้ก็กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้ประชาชนทุกหัวระแหงไหลหลั่งไปเข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ข้าราชการส่วนใหญ่พากันเข้าเกียร์ว่าง ไม่ยอมรับคำสั่งของรัฐบาลอีก บ้างก็อารยะขัดขืนในระดับสูงถึงขั้นหยุดงาน และเข้าชุมนุมประท้วงในบริเวณสถานที่ราชการจนหลายแห่งทำงานไม่ได้อีกต่อไป
ตำรวจก็แตกแยกออกเป็น 4 ส่วน ล่าสุดก็เหลือเพียงผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมในระดับสูงเพียงไม่กี่คนที่ยังขึงขังอุ้มชูรัฐบาลต่อไป แต่จิตใจก็ย่อมรวนเรและท้อถอยไปเป็นอันมาก
รัฐมนตรีต่างประเทศและเลขานุการก็ลาออก ฝ่ายการเมืองก็เตรียมการเผ่นหนีเอาตัวรอด ไม่ยอมสุมหัวตายยกรังอีกต่อไป
คดีความที่จะทำให้หมดสิ้นอำนาจบริหารก็คืบคลานเข้ามาและคงจะมีอัตราเร่งที่เร็วขึ้น
เหล่านี้ล้วนบ่งบอกว่าอสูรหรือซาตานที่กระหายเลือดอาจขาดเลือดในห้วงเวลาครบ 16 ปี และจะถึงบทอวสานในที่สุด
แต่วิสัยซาตานหรืออสูรนั้นไม่ยอมตายง่ายๆ จึงดิ้นรนทุกหนทางเพื่อดื่มเลือดประชาชนให้จงได้ ดังนั้นเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อวันวานจึงเกิดขึ้น
แม้ว่าอำนาจสั่งการกำลังและสั่งการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และพลเรือน ได้ถ่ายโอนจากรัฐบาลมาอยู่ในมือของผู้บัญชาการทหารบกแล้ว แต่กลับมีเรื่องลึกลับเกิดขึ้น
มีการสั่งการให้ตำรวจทั่วประเทศทั้งที่เป็นกำลังคล้ายทหารและตำรวจธรรมดาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ รวมแล้วร่วม 20,000 คนพร้อมอาวุธหนักและอาวุธสงคราม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บัญชาการทหารบกไม่ได้สั่ง
มีการขนมวลชนจากภาคอีสานเข้ามาหลายหมื่นคน จัดชุมนุมคนไว้หลายแห่งเช่นที่ปากน้ำและสนามหลวง และเตรียมกำลังตำรวจจำนวนมากคุ้มกันบ้านนายกรัฐมนตรี แล้วสั่งกรมประชาสัมพันธ์เตรียมแถลงข่าวในตอนเช้าวันที่ 4 กันยายน 2551
นี่คือแผนล้อมปราบประชาชนที่ชุมนุมเพื่อเอาเลือดประชาชนมาสังเวยความกระหายเลือดหรือว่าเป็นแผนปฏิวัติโดยใช้ตำรวจ หรือว่าเป็นทั้งสองอย่างกันแน่?
แต่มันก็ล้มเหลวไปแล้ว เพราะกำลังเหล่านั้นได้ถูกสั่งการให้ถอนกำลังกลับโดยฝ่ายทหาร และให้ลดกำลังลง แต่ประชาชนที่ชุมนุมยังคงต้องระมัดระวังและประมาทมิได้เป็นอันขาด
เพราะในวาระสุดท้ายใกล้อวสานนั้น อสูรร้ายหรือซาตานที่หิวกระหายเลือดถึงขีดสุดก็จะบ้าบิ่นสุดขีดเช่นเดียวกัน!
โอ้! “พระมหาโมคคัลลานะ” พระอัครสาวกผู้มีฤทธิ์แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงคราวท่านแล้วที่ต้องกำจัดอสูรร้ายตนนี้!
ในขณะที่โหรานุโหรจำนวนหนึ่งก็มองว่าชะตาผู้นำรัฐบาลคืออสูรที่กระหายเลือด และจะต้องดื่มเลือดประชาชนทุก 16 ปี
ลองมองย้อนไปดูก็จะพบว่าอสูรตนนี้เคยดื่มเลือดประชาชนมาแล้วจริง ๆ
ครั้งแรก ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คราวนั้นมีการเข่นฆ่าสังหารโหดนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงขนาดเอาคนมาเผาทั้งเป็นบ้าง จับเอาไปแขวนคอกับต้นมะขามสนามหลวงบ้าง ทำให้นิสิตนักศึกษาต้องหนีตายเข้าป่านับหมื่นคน
ครั้งที่สอง ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 นับเวลาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา ได้ 16 ปีพอดิบพอดี คราวนั้นมีการล้อมปราบสังหารประชาชนจนเลือดไทยไหลนองท่วมถนนราชดำเนิน เป็นบาดแผลใหญ่ที่ฝังตรึงใจคนไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน
มาบัดนี้ พ.ศ. 2551 หากนับเวลาจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬก็จะครบ 16 ปีพอดี หรือว่าเวลาที่อสูรจะดื่มเลือดประชาชนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง!
ดูสถานการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองแล้วก็เข้ารูปเข้าฟอร์มแบบเดียวกับที่เคยเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ไม่มีผิด ดังที่เคยบอกกล่าวไปคราวหนึ่งแล้ว คือ
ใช้สื่อของรัฐโกหกบิดเบือนใส่ร้ายประชาชนที่ชุมนุมว่าเป็นพวกทำลายชาติ
ใช้หน่วยงานของรัฐปลุกระดมอย่างกว้างขวางให้ชิงชังเคียดแค้นและให้สังหารประชาชนที่ชุมนุม
ใช้พระสงฆ์ที่ไม่ใช่สาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอาศัยผ้าเหลืองบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนาว่าการฆ่าประชาชนที่ชุมนุมไม่บาป ไม่ผิด
โดยมีอสูรกระหายเลือดตัวเดียวกันกำลังแลบลิ้นเลียปากด้วยความกระหายเลือด
แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป นัยของผู้ชุมนุมและการชุมนุมเปลี่ยนแปลงไป ดังที่เคยกล่าวมาเมื่อวันวานแล้ว ไม่จำต้องกล่าวซ้ำอีก
นัยสำคัญที่สุดที่ทำให้การล้อมปราบสังหารประชาชนที่ชุมนุมในครั้งนี้มีทีท่าว่าจะล้มเหลวคือ
ฝ่ายทหารมีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือเอาเลือดประชาชนไปสังเวยความกระหายเลือด และประกาศจุดยืนอยู่เคียงข้างประชาชน
ธงทางการเมืองของผู้ชุมนุมที่มุ่งปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โค่นระบอบทุนสามานย์ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติมีลักษณะเป็นธรรม เมื่อดำเนินยุทธวิธีสันติอหิงสาจึงก่อเกิดเป็นพลังที่ยากทำลาย ประดุจเกราะข่ายเพชรของพระอรหันต์ที่คุ้มกันเหล่ามารไม่ให้ทำลายได้
ความผิดชั่วของนักการเมือง การใช้ความรุนแรงของนักการเมืองสุดที่ประชาชนจะยอมรับและทนทานต่อไป จึงเกิดกระแสมวลมหาประชาชนต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
นัยทั้งสามประการนี้มีบทบาทหลักที่ทำให้การล้อมปราบประชาชนเพื่อเอาเลือดไปสังเวยอสูรร้ายได้ล้มเหลวลงโดยลำดับ ทั้งที่ได้เตรียมการอย่างพร้อมสรรพและปฏิบัติมาแล้วถึง 4 ครั้ง คือตอนใกล้รุ่งของวันที่ 27 สิงหาคม 2551 เช้าตรู่ของวันที่ 29 สิงหาคม 2551 ช่วงค่ำของวันที่ 29 สิงหาคม 2551 และตอนดึกของคืนวันที่ 1 กันยายน 2551
การใช้ความรุนแรงทั้ง 4 ครั้งนี้ก็กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้ประชาชนทุกหัวระแหงไหลหลั่งไปเข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ข้าราชการส่วนใหญ่พากันเข้าเกียร์ว่าง ไม่ยอมรับคำสั่งของรัฐบาลอีก บ้างก็อารยะขัดขืนในระดับสูงถึงขั้นหยุดงาน และเข้าชุมนุมประท้วงในบริเวณสถานที่ราชการจนหลายแห่งทำงานไม่ได้อีกต่อไป
ตำรวจก็แตกแยกออกเป็น 4 ส่วน ล่าสุดก็เหลือเพียงผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมในระดับสูงเพียงไม่กี่คนที่ยังขึงขังอุ้มชูรัฐบาลต่อไป แต่จิตใจก็ย่อมรวนเรและท้อถอยไปเป็นอันมาก
รัฐมนตรีต่างประเทศและเลขานุการก็ลาออก ฝ่ายการเมืองก็เตรียมการเผ่นหนีเอาตัวรอด ไม่ยอมสุมหัวตายยกรังอีกต่อไป
คดีความที่จะทำให้หมดสิ้นอำนาจบริหารก็คืบคลานเข้ามาและคงจะมีอัตราเร่งที่เร็วขึ้น
เหล่านี้ล้วนบ่งบอกว่าอสูรหรือซาตานที่กระหายเลือดอาจขาดเลือดในห้วงเวลาครบ 16 ปี และจะถึงบทอวสานในที่สุด
แต่วิสัยซาตานหรืออสูรนั้นไม่ยอมตายง่ายๆ จึงดิ้นรนทุกหนทางเพื่อดื่มเลือดประชาชนให้จงได้ ดังนั้นเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อวันวานจึงเกิดขึ้น
แม้ว่าอำนาจสั่งการกำลังและสั่งการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และพลเรือน ได้ถ่ายโอนจากรัฐบาลมาอยู่ในมือของผู้บัญชาการทหารบกแล้ว แต่กลับมีเรื่องลึกลับเกิดขึ้น
มีการสั่งการให้ตำรวจทั่วประเทศทั้งที่เป็นกำลังคล้ายทหารและตำรวจธรรมดาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ รวมแล้วร่วม 20,000 คนพร้อมอาวุธหนักและอาวุธสงคราม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บัญชาการทหารบกไม่ได้สั่ง
มีการขนมวลชนจากภาคอีสานเข้ามาหลายหมื่นคน จัดชุมนุมคนไว้หลายแห่งเช่นที่ปากน้ำและสนามหลวง และเตรียมกำลังตำรวจจำนวนมากคุ้มกันบ้านนายกรัฐมนตรี แล้วสั่งกรมประชาสัมพันธ์เตรียมแถลงข่าวในตอนเช้าวันที่ 4 กันยายน 2551
นี่คือแผนล้อมปราบประชาชนที่ชุมนุมเพื่อเอาเลือดประชาชนมาสังเวยความกระหายเลือดหรือว่าเป็นแผนปฏิวัติโดยใช้ตำรวจ หรือว่าเป็นทั้งสองอย่างกันแน่?
แต่มันก็ล้มเหลวไปแล้ว เพราะกำลังเหล่านั้นได้ถูกสั่งการให้ถอนกำลังกลับโดยฝ่ายทหาร และให้ลดกำลังลง แต่ประชาชนที่ชุมนุมยังคงต้องระมัดระวังและประมาทมิได้เป็นอันขาด
เพราะในวาระสุดท้ายใกล้อวสานนั้น อสูรร้ายหรือซาตานที่หิวกระหายเลือดถึงขีดสุดก็จะบ้าบิ่นสุดขีดเช่นเดียวกัน!
โอ้! “พระมหาโมคคัลลานะ” พระอัครสาวกผู้มีฤทธิ์แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงคราวท่านแล้วที่ต้องกำจัดอสูรร้ายตนนี้!