ผู้จัดการรายวัน-บลจ.พ้องเสียงขานรับ"แมชชิ่งฟันด์" มั่นใจสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต หลังตลาดหุ้นดิ่งยาวตั้งแต่ต้นปี เชื่อการบริหารกองทุนจะไม่ถูกรบกวนจากตลท.เหตุมีเม็ดเงินร่วมลงทุนน้อย และไม่มีประวัติเสียตั้งแต่กองทุนแรกในปี 45 "พิชิต"คาดสถานการณ์เลวร้ายที่กระทบต่อการลงทุนจะคลี่คลายในอีก 3 ปี ขณะที่"โชติกา"หวั่นบังคับนักลงทุนเกินความเสี่ยง หากต้องการพยุงหุ้นในช่วงตลาดผันผวน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บลจ.เอ็มเอฟซีมีความสนใจที่จะร่วมจัดตั้งกองทุนแมชชิ่งฟันด์กับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งบริษัทเองมีความตั้งใจที่จะจัดตั้งเป็นกองทุนรวมอยู่แล้ว โดยในช่วงที่ผ่านมามีลูกค้าให้ความสนใจค่อนข้างมาก เนื่องจากหุ้นในกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีการลงทุนเข้ามามากนัก ทำให้หุ้นบางตัวมีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานค่อนข้างเยอะ
"เราเองเห็นว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กหลายตัวน่าสนใจ ประกอบกับลูกค้าของเราหลายคนสนใจ ซึ่งรวมถึงนักลงทุนในต่างประเทศ ที่ร่วมลงทุนกับกองทุนคันทรี่ฟันด์ของเราเอง ก็มีการหารือว่าสนใจหุ้นในกลุ่มนี้เช่นกัน "นายพิชิตกล่าว
สำหรับโครงการนี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติวงเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อร่วมลงทุนกับบลจ.ในการจัดตั้งกองทุนในลักษณะกองทุนแมทชิ่งฟันด์ ซึ่งเหมือนกับกองทุนไทยสร้างโอกาสที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยจัดตั้งเมื่อปี 2545 โดยจะแบ่งวงเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ กองทุนสถาบัน ที่จะระดมทุนจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุน 1,000 ล้านบาท และบลจ.จะต้องระดมเงินมาลงทุน 4,000 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่ากองทุนรวม 5,000 ล้านบาท
ส่วนวงเงินอีก 1,000 ล้านบาท จะจัดตั้งเป็นกองทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย แบ่งเงินเป็น 10 กองทุน โดย 5 กองทุนแรก ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุนกองละ 100 ล้าบาท บลจ.ร่วมลงทุนกองละ 300 ล้านบาท รวมมูลค่ากองทุนละ 400 ล้านบาท ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง และอีก 5 กองทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุนกองละ 100 ล้านบาท บลจ.ร่วมลงทุนกองละ 150 ล้านบาท รวมมูลค่ากองทุนละ 250 ล้านบาท จะลงทุนในหุ้นขนาดกลางเล็กที่อยู่ในดัชนีฟุตซี่
นายพิชิต กล่าวอีกว่า การจัดตั้งกองทุนแมชชิ่งฟันด์ในช่วงนี้ ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลงไปต่ำกว่าปกติค่อนข้างมาก ทำให้ในปัจจุบันตลาดหุ้นมีค่า P/E ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ประกอบกับการลงทุนคันทรี่ฟันด์ที่ผ่านมา หากลงทุนตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ
“หากลงทุนนับจากช่วงนี้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า น่าจะเป็นจังหวะพอดีกับปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เริ่มคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ดังนั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะออกมาดี”นายพิชิตกล่าว
ขณะที่ นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ(ตลท.) จะจัดสรรเงินประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อลงทุนร่วมกับบลจ.จัดตั้งกองแม๊ตชิ่งฟันด์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นนั้น บริษัทมีความสนใจที่จะเสนอตัวเข้าร่วมโครงการนี้ โดยเกณฑ์การคัดเลือกของตลาดหลักทรัพย์นั้นจะเป็นกองทุนใหม่ หรือกองทุนเก่าที่มีอยู่แล้วก็ได้
ทั้งนี้ เชื่อว่าการบริหารงานกองทุนที่ได้รับเลือกจาก ตลท.นั้น คงจะไม่ถูกแทรกแซงในภายหลัง เนื่องจากเงินที่จะนำข้ามาร่วมลงทุนมีจำนวนไม่มากนัก และยังต้องเฉลี่ยไปในอีกหลายบริษัทที่ได้รับเลือกจากทาง ตลท. อีกด้วย
โดยบริษัทคาดว่าการจัดทำโครงการนี้น่าจะมีผลต่อตลาดหลักทรัพย์ในทางอ้อมเท่านั้น เพราะเม็ดเงินที่นำมาลงทุนมีจำนวนไม่มากถึงขั้นที่จะช่วยพยุงภาวะตลาดได้ แต่น่าจะเป็นการสร้างความรับรู้ที่ดีต่อนักลงทุนได้ โดยในส่วนของบลจ.นั้นถือเป็นเรื่องดีหากได้รับเลือก เพราะจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในกองทุนหุ้น และสามารถตั้งค่าใช้จ่ายในการโปรโมทกองทุนได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
อย่างไรก็ตามหากไม่ได้รับเลือกจากทาง ตลท. ค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปในการโปรโมทกองทุน คงจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทไม่มาก เนื่องจากงบด้านการตลาดดังกล่าวจะต้องตั้งเอาไว้ตามปกติอยู่แล้ว แต่หากได้รับเลือกก็จะเป็นเหมือนโบนัสที่เพิ่มเข้ามามากกว่า
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเห็นด้วยกับโครงการแม๊ตชิ่งฟันด์ของตลาดหลักทรัพย์ และสนใจจะเข้าร่วมโครงการ โดยการลงทุนในหุ้นขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงไปมากแล้ว และถือเป็นระดับที่น่าลงทุนอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ โครงการจะยังช่วยดึงเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งเป็นเงินลงทุนระยะยาวเข้ามาในระบบเพิ่มมากขึ้นได้ ทำให้ความเชื่อมั่นของต่างชาติอาจกลับคืนมาหลังจากนี้ โดยเม็ดเงินส่วนหนึ่งที่เป็นนักลงทุนสถาบันก็มีการระดมมาจากต่างชาติด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพยุงราคาหุ้นในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงนั้น เชื่อว่าตลท.คงจะไม่มีจุดประสงค์เช่นนั้น เพราะกองทุนลักษณะนี้เคยจัดตั้งขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วง ปี 2545 ซึ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ขณะนั้น อยู่ที่ประมาณ 350-400 จุดเท่านั้น และตลท.ก็มิได้แทรกแซงการบริหารงานของกองทุนแต่อย่างใด
หวั่นบังคับนักลงทุนเกินความเสี่ยง
ด้าน นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทมีความสนใจที่จะเข้าร่วมจัดตั้งกองทุนแม็ตชิ่งฟันด์ แต่จะต้องดูจุดประสงค์ และเกณฑ์ในการคัดเลือกกองทุนก่อนว่า ตลท. จะมีความต้องการอย่างไร
ทั้งนี้ หากเป็นกองทุนเก่าของบริษัทซึ่งมีนโยบายชัดเจนอยู่แล้ว ทางบริษัทพร้อมที่จะนำเสนอเข้าร่วมโครงการ ซึ่งการลงทุนในขณะนี้ถือเป็นช่วงที่น่าลงทุน และช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทได้ทยอยซื้อกองทุนหุ้นเข้ามาแล้วกว่า 1 พันล้านบาท
“เห็นด้วยกับเรื่องนี้แต่ต้องดูก่อนว่าตลาดฯ ต้องการแบบไหน เพราะเราไม่อยากผลักดันให้ลูกค้าเข้ามาลงทุน หากเขารับความเสี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเห็นว่าบรรยากาศช่วงนี้น่าลงทุนก็ควรทำ โดยหากต้องการจะนำมาพยุงราคาหุ้นในแต่ละช่วง ที่นักลงทุนไม่ต้องการลงทุนแล้ว เราก็ไม่เห็นด้วย เพราะลูกค้าเราส่วนใหญ่จะรู้ว่ากองทุนเราไม่ได้แอททีฟ และพวกที่ชอบเทรดเขาจะรู้ว่าเข้าตอนหุ้นตก ออกตอนหุ้นขึ้น แต่พวกอยู่ยาวก็จะอยู่กันไป มันเป็นความต้องการของลูกค้าแต่ละส่วนไปแล้ว”นางโชติกากล่าว
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บลจ.เอ็มเอฟซีมีความสนใจที่จะร่วมจัดตั้งกองทุนแมชชิ่งฟันด์กับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งบริษัทเองมีความตั้งใจที่จะจัดตั้งเป็นกองทุนรวมอยู่แล้ว โดยในช่วงที่ผ่านมามีลูกค้าให้ความสนใจค่อนข้างมาก เนื่องจากหุ้นในกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีการลงทุนเข้ามามากนัก ทำให้หุ้นบางตัวมีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานค่อนข้างเยอะ
"เราเองเห็นว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กหลายตัวน่าสนใจ ประกอบกับลูกค้าของเราหลายคนสนใจ ซึ่งรวมถึงนักลงทุนในต่างประเทศ ที่ร่วมลงทุนกับกองทุนคันทรี่ฟันด์ของเราเอง ก็มีการหารือว่าสนใจหุ้นในกลุ่มนี้เช่นกัน "นายพิชิตกล่าว
สำหรับโครงการนี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติวงเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อร่วมลงทุนกับบลจ.ในการจัดตั้งกองทุนในลักษณะกองทุนแมทชิ่งฟันด์ ซึ่งเหมือนกับกองทุนไทยสร้างโอกาสที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยจัดตั้งเมื่อปี 2545 โดยจะแบ่งวงเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ กองทุนสถาบัน ที่จะระดมทุนจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุน 1,000 ล้านบาท และบลจ.จะต้องระดมเงินมาลงทุน 4,000 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่ากองทุนรวม 5,000 ล้านบาท
ส่วนวงเงินอีก 1,000 ล้านบาท จะจัดตั้งเป็นกองทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย แบ่งเงินเป็น 10 กองทุน โดย 5 กองทุนแรก ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุนกองละ 100 ล้าบาท บลจ.ร่วมลงทุนกองละ 300 ล้านบาท รวมมูลค่ากองทุนละ 400 ล้านบาท ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง และอีก 5 กองทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมลงทุนกองละ 100 ล้านบาท บลจ.ร่วมลงทุนกองละ 150 ล้านบาท รวมมูลค่ากองทุนละ 250 ล้านบาท จะลงทุนในหุ้นขนาดกลางเล็กที่อยู่ในดัชนีฟุตซี่
นายพิชิต กล่าวอีกว่า การจัดตั้งกองทุนแมชชิ่งฟันด์ในช่วงนี้ ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลงไปต่ำกว่าปกติค่อนข้างมาก ทำให้ในปัจจุบันตลาดหุ้นมีค่า P/E ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ประกอบกับการลงทุนคันทรี่ฟันด์ที่ผ่านมา หากลงทุนตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ
“หากลงทุนนับจากช่วงนี้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า น่าจะเป็นจังหวะพอดีกับปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เริ่มคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ดังนั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะออกมาดี”นายพิชิตกล่าว
ขณะที่ นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ(ตลท.) จะจัดสรรเงินประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อลงทุนร่วมกับบลจ.จัดตั้งกองแม๊ตชิ่งฟันด์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นนั้น บริษัทมีความสนใจที่จะเสนอตัวเข้าร่วมโครงการนี้ โดยเกณฑ์การคัดเลือกของตลาดหลักทรัพย์นั้นจะเป็นกองทุนใหม่ หรือกองทุนเก่าที่มีอยู่แล้วก็ได้
ทั้งนี้ เชื่อว่าการบริหารงานกองทุนที่ได้รับเลือกจาก ตลท.นั้น คงจะไม่ถูกแทรกแซงในภายหลัง เนื่องจากเงินที่จะนำข้ามาร่วมลงทุนมีจำนวนไม่มากนัก และยังต้องเฉลี่ยไปในอีกหลายบริษัทที่ได้รับเลือกจากทาง ตลท. อีกด้วย
โดยบริษัทคาดว่าการจัดทำโครงการนี้น่าจะมีผลต่อตลาดหลักทรัพย์ในทางอ้อมเท่านั้น เพราะเม็ดเงินที่นำมาลงทุนมีจำนวนไม่มากถึงขั้นที่จะช่วยพยุงภาวะตลาดได้ แต่น่าจะเป็นการสร้างความรับรู้ที่ดีต่อนักลงทุนได้ โดยในส่วนของบลจ.นั้นถือเป็นเรื่องดีหากได้รับเลือก เพราะจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในกองทุนหุ้น และสามารถตั้งค่าใช้จ่ายในการโปรโมทกองทุนได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
อย่างไรก็ตามหากไม่ได้รับเลือกจากทาง ตลท. ค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปในการโปรโมทกองทุน คงจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทไม่มาก เนื่องจากงบด้านการตลาดดังกล่าวจะต้องตั้งเอาไว้ตามปกติอยู่แล้ว แต่หากได้รับเลือกก็จะเป็นเหมือนโบนัสที่เพิ่มเข้ามามากกว่า
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเห็นด้วยกับโครงการแม๊ตชิ่งฟันด์ของตลาดหลักทรัพย์ และสนใจจะเข้าร่วมโครงการ โดยการลงทุนในหุ้นขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงไปมากแล้ว และถือเป็นระดับที่น่าลงทุนอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ โครงการจะยังช่วยดึงเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งเป็นเงินลงทุนระยะยาวเข้ามาในระบบเพิ่มมากขึ้นได้ ทำให้ความเชื่อมั่นของต่างชาติอาจกลับคืนมาหลังจากนี้ โดยเม็ดเงินส่วนหนึ่งที่เป็นนักลงทุนสถาบันก็มีการระดมมาจากต่างชาติด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพยุงราคาหุ้นในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงนั้น เชื่อว่าตลท.คงจะไม่มีจุดประสงค์เช่นนั้น เพราะกองทุนลักษณะนี้เคยจัดตั้งขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วง ปี 2545 ซึ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ขณะนั้น อยู่ที่ประมาณ 350-400 จุดเท่านั้น และตลท.ก็มิได้แทรกแซงการบริหารงานของกองทุนแต่อย่างใด
หวั่นบังคับนักลงทุนเกินความเสี่ยง
ด้าน นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทมีความสนใจที่จะเข้าร่วมจัดตั้งกองทุนแม็ตชิ่งฟันด์ แต่จะต้องดูจุดประสงค์ และเกณฑ์ในการคัดเลือกกองทุนก่อนว่า ตลท. จะมีความต้องการอย่างไร
ทั้งนี้ หากเป็นกองทุนเก่าของบริษัทซึ่งมีนโยบายชัดเจนอยู่แล้ว ทางบริษัทพร้อมที่จะนำเสนอเข้าร่วมโครงการ ซึ่งการลงทุนในขณะนี้ถือเป็นช่วงที่น่าลงทุน และช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทได้ทยอยซื้อกองทุนหุ้นเข้ามาแล้วกว่า 1 พันล้านบาท
“เห็นด้วยกับเรื่องนี้แต่ต้องดูก่อนว่าตลาดฯ ต้องการแบบไหน เพราะเราไม่อยากผลักดันให้ลูกค้าเข้ามาลงทุน หากเขารับความเสี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเห็นว่าบรรยากาศช่วงนี้น่าลงทุนก็ควรทำ โดยหากต้องการจะนำมาพยุงราคาหุ้นในแต่ละช่วง ที่นักลงทุนไม่ต้องการลงทุนแล้ว เราก็ไม่เห็นด้วย เพราะลูกค้าเราส่วนใหญ่จะรู้ว่ากองทุนเราไม่ได้แอททีฟ และพวกที่ชอบเทรดเขาจะรู้ว่าเข้าตอนหุ้นตก ออกตอนหุ้นขึ้น แต่พวกอยู่ยาวก็จะอยู่กันไป มันเป็นความต้องการของลูกค้าแต่ละส่วนไปแล้ว”นางโชติกากล่าว