ดังได้กล่าวไว้แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเป็นคนไทย จะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อไรก็ย่อมทำได้ แต่การเดินทางกลับครั้งต่อไปย่อมแตกต่างจากที่เคยกลับมาแล้ว เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551
เพราะวันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นทะเบียนประวัติอาชญากร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่สองสามีภริยาไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นี้
วันที่ 13 สิงหาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้รับหมายจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
หมายจับระบุข้อหาว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติมาตรา 4, 100 และ 122 มีอายุความ 15 ปี ขณะที่คุณหญิงพจมานถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ และเป็นผู้สนับสนุนมาตรา 4, 100 และ 122 มีอายุความ 10 ปี
พบตัวที่ไหนในราชอาณาจักรก็จับที่นั่น
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่บอกว่า คตส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่งตั้งโดย คมช.เงียบไปเพราะศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดแล้วว่า คตส.ชอบด้วยกฎหมาย และขณะนี้ก็หมดอายุไปแล้ว
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาบริษัทบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พุ่งเป้าไปที่ ป.ป.ช.เพราะ ป.ป.ช.รับงานที่ คตส.ทำค้างไว้มาสานต่อ
มาตอนนี้บอกว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองต้องแก้ไขให้ 3 ขั้นตอน มีขั้นต้นอุทธรณ์ และฎีกา
ตัดสินทีเดียวเลยไม่เป็นธรรม!
ทั้งที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นมีมากว่า 10 ปีแล้ว เคยมีนักการเมืองติดคุกเพราะศาลนี้มาแล้ว
นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ติดคุกอยู่ขณะนี้ก็ผลงานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนี่แหละครับ
แต่ตอนที่นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขติดคุก เพราะการตัดสินทีเดียว ติดคุกเลย ไม่ต้องมีอุทธรณ์ ไม่ต้องมีฎีกา ไม่มีใครพูดถึง เพิ่งจะมาพูดกันตอนนี้ก็เพราะพวกเขาเกรงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีบุญคุณยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าของพวกเขากำลังจะติดคุก เพราะมีหลายต่อหลายคดีอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกำลังจะทยอยขึ้นไป
ไม่คดีใดก็คดีหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องติดคุก
พวกเขาลืมไปว่าเจตนารมณ์ของการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นมาก็เพื่อที่จะปราบปรามนักการเมืองขี้ฉ้อ ขี้โกง จึงให้มีศาลนี้ศาลเดียว เป็นศาลฎีกา มีผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะพิจารณาตัดสินให้จบไปเลยทีเดียว
ไม่ได้มีการเตรียมการจัดตั้งศาลนี้ขึ้นมาเพื่อเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับที่มีรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ก็ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อเป็นกับดักเอาไว้เล่นงานพรรคพลังประชาชนเหมือนอย่างที่ปากเน่าๆ ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่นป่าวประกาศ หากเป็นบทบัญญัติที่ใช้กับทุกพรรคการเมือง นักการเมือง และเหตุที่ต้องบัญญัติไว้ก็เพื่อป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง เพื่อเข้ามาสู่อำนาจรัฐแล้วก็มาโกงอย่างที่นักการเมือง พรรคการเมืองได้ปฏิบัติมาแล้วในอดีต เป็นบทบัญญัติที่เขียนไว้ชัดเจน เปิดเผย นักการเมือง พรรคการเมืองทุกพรรคต่างก็ต้องรู้บทบัญญัติดังกล่าวนี้เป็นอย่างดี
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวจะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อใดก็ได้ แต่การเดินทางครั้งใหม่นี้ย่อมแตกต่างจากครั้งก่อน เพราะมีคุก มีตะรางรอรับอยู่
เว้นเสียแต่พวกเขาจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ
อาจจะมีบทบัญญัติเอาไว้สักมาตราว่า บรรดาอรรถคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภริยา หรือคนในครอบครัวอื่นใดเกี่ยวข้องในฐานะจำเลย ไม่ว่าจะเป็นศาลใด เป็นต้น ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ให้จำหน่ายคดีนั้นๆ ออกจากสารบบ
ถ้าหากสามารถเขียนเช่นนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็กลับมาได้อย่างสะดวกโยธิน
เชื่อว่าบรรดาบริษัทบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่างก็พร้อมที่จะแก้ให้ แต่ติดอยู่ก็คือประชาชนที่รักความเป็นธรรมทั้งหลายจะยอมหรือ?
พรรคพลังประชาชนเตรียมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมโน่นแล้ว ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เคยยื่นไปแล้ว เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เป็นของพวกเขา เสนอเข้าที่ประชุมสภาฯ เมื่อใดก็ต้องชนะเมื่อนั้น
แต่พวกเขาก็ยังทำไม่ได้ ทั้งที่อยากทำ อยากแก้ไข อยากรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบุญคุณต่อพวกเขาเสมอหรือยิ่งเสียกว่าบิดาบังเกิดเกล้า แต่พวกเขาก็ยังทำไม่ได้
นี่เพราะพลังของประชาชน
พลังของประชาชนที่มิใช่พรรคการเมือง หากเป็นพลังของประชาชนที่รักชาติ รักประชาธิปไตยทั้งหลายที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วประเทศไทยเวลานี้นี่เอง
เพราะวันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นทะเบียนประวัติอาชญากร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่สองสามีภริยาไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นี้
วันที่ 13 สิงหาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้รับหมายจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
หมายจับระบุข้อหาว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติมาตรา 4, 100 และ 122 มีอายุความ 15 ปี ขณะที่คุณหญิงพจมานถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ และเป็นผู้สนับสนุนมาตรา 4, 100 และ 122 มีอายุความ 10 ปี
พบตัวที่ไหนในราชอาณาจักรก็จับที่นั่น
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่บอกว่า คตส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่งตั้งโดย คมช.เงียบไปเพราะศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดแล้วว่า คตส.ชอบด้วยกฎหมาย และขณะนี้ก็หมดอายุไปแล้ว
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาบริษัทบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พุ่งเป้าไปที่ ป.ป.ช.เพราะ ป.ป.ช.รับงานที่ คตส.ทำค้างไว้มาสานต่อ
มาตอนนี้บอกว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองต้องแก้ไขให้ 3 ขั้นตอน มีขั้นต้นอุทธรณ์ และฎีกา
ตัดสินทีเดียวเลยไม่เป็นธรรม!
ทั้งที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นมีมากว่า 10 ปีแล้ว เคยมีนักการเมืองติดคุกเพราะศาลนี้มาแล้ว
นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ติดคุกอยู่ขณะนี้ก็ผลงานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนี่แหละครับ
แต่ตอนที่นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขติดคุก เพราะการตัดสินทีเดียว ติดคุกเลย ไม่ต้องมีอุทธรณ์ ไม่ต้องมีฎีกา ไม่มีใครพูดถึง เพิ่งจะมาพูดกันตอนนี้ก็เพราะพวกเขาเกรงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีบุญคุณยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าของพวกเขากำลังจะติดคุก เพราะมีหลายต่อหลายคดีอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกำลังจะทยอยขึ้นไป
ไม่คดีใดก็คดีหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องติดคุก
พวกเขาลืมไปว่าเจตนารมณ์ของการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นมาก็เพื่อที่จะปราบปรามนักการเมืองขี้ฉ้อ ขี้โกง จึงให้มีศาลนี้ศาลเดียว เป็นศาลฎีกา มีผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะพิจารณาตัดสินให้จบไปเลยทีเดียว
ไม่ได้มีการเตรียมการจัดตั้งศาลนี้ขึ้นมาเพื่อเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับที่มีรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ก็ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อเป็นกับดักเอาไว้เล่นงานพรรคพลังประชาชนเหมือนอย่างที่ปากเน่าๆ ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่นป่าวประกาศ หากเป็นบทบัญญัติที่ใช้กับทุกพรรคการเมือง นักการเมือง และเหตุที่ต้องบัญญัติไว้ก็เพื่อป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง เพื่อเข้ามาสู่อำนาจรัฐแล้วก็มาโกงอย่างที่นักการเมือง พรรคการเมืองได้ปฏิบัติมาแล้วในอดีต เป็นบทบัญญัติที่เขียนไว้ชัดเจน เปิดเผย นักการเมือง พรรคการเมืองทุกพรรคต่างก็ต้องรู้บทบัญญัติดังกล่าวนี้เป็นอย่างดี
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวจะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อใดก็ได้ แต่การเดินทางครั้งใหม่นี้ย่อมแตกต่างจากครั้งก่อน เพราะมีคุก มีตะรางรอรับอยู่
เว้นเสียแต่พวกเขาจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ
อาจจะมีบทบัญญัติเอาไว้สักมาตราว่า บรรดาอรรถคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภริยา หรือคนในครอบครัวอื่นใดเกี่ยวข้องในฐานะจำเลย ไม่ว่าจะเป็นศาลใด เป็นต้น ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ให้จำหน่ายคดีนั้นๆ ออกจากสารบบ
ถ้าหากสามารถเขียนเช่นนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็กลับมาได้อย่างสะดวกโยธิน
เชื่อว่าบรรดาบริษัทบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่างก็พร้อมที่จะแก้ให้ แต่ติดอยู่ก็คือประชาชนที่รักความเป็นธรรมทั้งหลายจะยอมหรือ?
พรรคพลังประชาชนเตรียมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมโน่นแล้ว ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เคยยื่นไปแล้ว เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เป็นของพวกเขา เสนอเข้าที่ประชุมสภาฯ เมื่อใดก็ต้องชนะเมื่อนั้น
แต่พวกเขาก็ยังทำไม่ได้ ทั้งที่อยากทำ อยากแก้ไข อยากรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบุญคุณต่อพวกเขาเสมอหรือยิ่งเสียกว่าบิดาบังเกิดเกล้า แต่พวกเขาก็ยังทำไม่ได้
นี่เพราะพลังของประชาชน
พลังของประชาชนที่มิใช่พรรคการเมือง หากเป็นพลังของประชาชนที่รักชาติ รักประชาธิปไตยทั้งหลายที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วประเทศไทยเวลานี้นี่เอง