กบข.เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกวูบตามภาวะตลาด ฉุดผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนติดลบ 0.70% "วิสิฐ" ชี้ รับผลกระทบจากวิกฤติภาคการเงินในสหรัฐฯ ปัญหาน้ำมัน-เงินเฟ้อสูง ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ส่งต่อถึงตลาดทุน-ตราสารหนี้ผันผวนหนัก เผยครึ่งปีหลัง สั่งจับตาสถานการณ์ตลาดการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมเบรกการลงทุนหุ้นต่างประเทศรอพายุสงบ โดยหันไปลงทุนตราสารหนี้และเงินสดแทน
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของ กบข. ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 ว่า กบข.มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้น 376,286.32 ล้านบาท โดยอัตราผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 12 เดือน (กรกฎาคม 2550 - มิถุนายน 2551) ให้ผลตอบแทน -0.70% ในขณะที่ผลตอบแทนสุทธิย้อนหลัง 3 ปี (2548-2550) อยู่ที่ 6.47% ย้อนหลัง 5 ปี ( 2546-2550 ) อยู่ที่ 6.61% และย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน (2540-2550) อยู่ที่ 8.24%
สำหรับสาเหตุที่ผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีแรกของ กบข. ที่ปรับตัวลดลง ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนสถาบันทั่วโลกทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต่างประสบปัญหาเช่นเดียวกัน คือ เกิดจากตลาดตราสารทุนและตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกมีความผันผวนตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ในสหรัฐ
ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นในระดับสูง ส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารทุนทั่วโลก รวมถึงตลาดตราสารทุนไทยด้วย นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นสูงของเงินเฟ้อยังกระทบต่อตราสารหนี้ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติ ที่เหตุการณ์ทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกัน
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2551 กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 69.70% ตราสารทุนในประเทศ 10.27% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4.08% ตราสารทุนต่างประเทศ 8.36% อสังหาริมทรัพย์ 3.88% และการลงทุนทางเลือก 3.71%
"กองทุนเพื่อการเกษียณอายุ เช่น กบข. กำหนดกรอบและกลยุทธ์การลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยผลตอบแทนในระยะสั้นอาจผันผวนขึ้น-ลงตามภาวะเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนในแต่ละช่วง แต่หากมองในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนที่ได้รับจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ย ซึ่งในปีที่แล้ว กบข.สามารถทำผลตอบแทนได้ 9.22% แต่ปีนี้ผลตอบแทนได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจทั้งภายในและนอกประเทศเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มในครึ่งปีหลังของปีนี้ ผลการดำเนินงานน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น" นายวิสิฐ กล่าว
นอกจากนี้ กบข. ถือเป็นนักลงทุนสถาบันที่ให้ความสำคัญกับการบันทึกบัญชีตามมาตรฐานสากล โดย กบข.จะยึดหลักการบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาด ( Mark to Market ) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนในแต่ละช่วง
สำหรับทิศทางและนโยบายในการลงทุนครึ่งปีหลัง นายวิสิฐกล่าวว่า กบข. จะได้มีการติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และอาจมีการชะลอการลงทุนในสินทรัพย์บางประเภทออกไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดโลกขณะนี้ โดยสำหรับการลงทุนในตราสารทุนอาจจะชะลอการลงทุนลง โดยเฉพาะตราสารทุนต่างประเทศ แต่จะเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงทั้งตราสารหนี้และเงินสด หากแนวโน้มทิศทางของอัตราดอกเบี้ยหยุดการปรับตัวขึ้นก็จะเพิ่มอายุเฉลี่ยของการลงทุนในตราสารหนี้ให้ยาวขึ้น
นอกจากนิ้ หากสถานการณ์ในตลาดหุ้นโลกโดยรวมชัดเจนขึ้น ก็จะเริ่มทยอยกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทใหม่ๆ ได้แก่ นิติบุคคลเอกชนต่างประเทศ และอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ตามการจัดสรรการลงทุนระยะยาวเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
ก่อนหน้านี้ กบข. รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 ว่า กบข.มีสินทรัพย์สุทธิจำนวน 380,812.76 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 5,261.76 ล้านบาท หรือ 1.40% จากสิ้นปี 2550 ที่มีอยู่สินทรัพย์สุทธิจำนวน 375,551 ล้านบาท ขณะที่กองทุนมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 12 เดือน (เมษายน 2550-มีนาคม 2551) ให้ผลตอบแทน 5.54% หรือให้ผลตอบแทนสูงถึง 16,169 ล้านบาท เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่งที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.41% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 2.86% สำหรับอัตราผลตอบแทนสุทธิย้อนหลัง 3 ปี (2548-2550) อยู่ที่ 6.47% ย้อนหลัง 5 ปี (2546-2550) อยู่ที่ 6.61% และย้อนหลัง 11 ปี (2540-2550) อยู่ที่ 8.24%
โดยในช่วงดังกล่าว กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 67.96% ตราสารทุนในประเทศ 11.13% ตราสารต่างประเทศ 12.39% อสังหาริมทรัพย์ 3.99% และการลงทุนทางเลือก 4.53%
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของ กบข. ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 ว่า กบข.มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้น 376,286.32 ล้านบาท โดยอัตราผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 12 เดือน (กรกฎาคม 2550 - มิถุนายน 2551) ให้ผลตอบแทน -0.70% ในขณะที่ผลตอบแทนสุทธิย้อนหลัง 3 ปี (2548-2550) อยู่ที่ 6.47% ย้อนหลัง 5 ปี ( 2546-2550 ) อยู่ที่ 6.61% และย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน (2540-2550) อยู่ที่ 8.24%
สำหรับสาเหตุที่ผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีแรกของ กบข. ที่ปรับตัวลดลง ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนสถาบันทั่วโลกทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต่างประสบปัญหาเช่นเดียวกัน คือ เกิดจากตลาดตราสารทุนและตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกมีความผันผวนตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ในสหรัฐ
ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นในระดับสูง ส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารทุนทั่วโลก รวมถึงตลาดตราสารทุนไทยด้วย นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นสูงของเงินเฟ้อยังกระทบต่อตราสารหนี้ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติ ที่เหตุการณ์ทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกัน
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2551 กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 69.70% ตราสารทุนในประเทศ 10.27% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4.08% ตราสารทุนต่างประเทศ 8.36% อสังหาริมทรัพย์ 3.88% และการลงทุนทางเลือก 3.71%
"กองทุนเพื่อการเกษียณอายุ เช่น กบข. กำหนดกรอบและกลยุทธ์การลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยผลตอบแทนในระยะสั้นอาจผันผวนขึ้น-ลงตามภาวะเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนในแต่ละช่วง แต่หากมองในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนที่ได้รับจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ย ซึ่งในปีที่แล้ว กบข.สามารถทำผลตอบแทนได้ 9.22% แต่ปีนี้ผลตอบแทนได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจทั้งภายในและนอกประเทศเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มในครึ่งปีหลังของปีนี้ ผลการดำเนินงานน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น" นายวิสิฐ กล่าว
นอกจากนี้ กบข. ถือเป็นนักลงทุนสถาบันที่ให้ความสำคัญกับการบันทึกบัญชีตามมาตรฐานสากล โดย กบข.จะยึดหลักการบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาด ( Mark to Market ) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนในแต่ละช่วง
สำหรับทิศทางและนโยบายในการลงทุนครึ่งปีหลัง นายวิสิฐกล่าวว่า กบข. จะได้มีการติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และอาจมีการชะลอการลงทุนในสินทรัพย์บางประเภทออกไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดโลกขณะนี้ โดยสำหรับการลงทุนในตราสารทุนอาจจะชะลอการลงทุนลง โดยเฉพาะตราสารทุนต่างประเทศ แต่จะเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงทั้งตราสารหนี้และเงินสด หากแนวโน้มทิศทางของอัตราดอกเบี้ยหยุดการปรับตัวขึ้นก็จะเพิ่มอายุเฉลี่ยของการลงทุนในตราสารหนี้ให้ยาวขึ้น
นอกจากนิ้ หากสถานการณ์ในตลาดหุ้นโลกโดยรวมชัดเจนขึ้น ก็จะเริ่มทยอยกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทใหม่ๆ ได้แก่ นิติบุคคลเอกชนต่างประเทศ และอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ตามการจัดสรรการลงทุนระยะยาวเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
ก่อนหน้านี้ กบข. รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 ว่า กบข.มีสินทรัพย์สุทธิจำนวน 380,812.76 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 5,261.76 ล้านบาท หรือ 1.40% จากสิ้นปี 2550 ที่มีอยู่สินทรัพย์สุทธิจำนวน 375,551 ล้านบาท ขณะที่กองทุนมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 12 เดือน (เมษายน 2550-มีนาคม 2551) ให้ผลตอบแทน 5.54% หรือให้ผลตอบแทนสูงถึง 16,169 ล้านบาท เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่งที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.41% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 2.86% สำหรับอัตราผลตอบแทนสุทธิย้อนหลัง 3 ปี (2548-2550) อยู่ที่ 6.47% ย้อนหลัง 5 ปี (2546-2550) อยู่ที่ 6.61% และย้อนหลัง 11 ปี (2540-2550) อยู่ที่ 8.24%
โดยในช่วงดังกล่าว กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 67.96% ตราสารทุนในประเทศ 11.13% ตราสารต่างประเทศ 12.39% อสังหาริมทรัพย์ 3.99% และการลงทุนทางเลือก 4.53%