ผมละทิ้งการเขียนคอลัมน์ “หน้ากระดานเรียงห้า” ไปหลายสัปดาห์ เพราะมีภารกิจเสมือนนอตตัวเล็กๆ ในการร่วมกันขับเคลื่อนกองทัพประชาชน เพื่อขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดของระบอบทักษิณ
กระทั่งทักษิณกลายเป็น “ผู้ร้าย” จากประเทศไทย หนีหมายศาลไปอยู่เมือง “ผู้ดี” ประเทศอังกฤษ ได้สดับตรับเสียงหลายคนคล้ายกับว่า นี่เป็นการหนียะย่าย พ่ายจะแจของทักษิณและพลพรรค
มีบางคนลิงโลดว่า นี่คือชัยชนะของฝ่ายไม่เอาทักษิณ แต่ผมว่าไม่ใช่
เพราะนี่คือ การประกาศสงครามขั้นสุดท้ายแบบแตกหักของระบอบทักษิณกับพลพรรคเสียมากกว่า
ทักษิณกำลังใช้ตำราพิชัยสงครามของซุนวู “หนี” เป็นสุดยอดกลยุทธ์ หากไม่หนีในวาระอันควรอาจต้องแลกด้วยชีวิต
ซุนวู อธิบายกลยุทธ์ “หนี” ไว้ในตำราพิชัยสงครามในข้อ 36 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ข้อสุดท้ายของเขาว่า ทำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายในยามที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเพื่อชิงโอกาสตอบโต้ภายหลังมิใช่ถอยหนีอย่างพ่ายแพ้หมดรูป ตีโต้กลับมิได้อีก
นัยในจดหมายสั่งลาของทักษิณก็บ่งบอกเช่นนั้น
ทักษิณกล่าวหาว่า กระบวนการยุติธรรมที่เป็นหอกทิ่มแทงเขาอยู่นั้น เป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเอาผลลัพธ์ที่อยากจะได้เป็นตัวตั้ง เพื่อจัดการเขาและครอบครัว
ความคิดของเขาก็ไม่ต่างกับพลพรรคพลังประชาชนที่มองว่า รัฐธรรมนูญร่างเอาไว้เพื่อให้พวกเขาติดกับดัก แล้วจัดการกับพวกเขาอย่างขัดต่อหลักนิติธรรม
กฎหมายต่างหากที่ผิด พวกเขาไม่ได้กระทำผิด
ในจดหมายทักษิณ กล้าพูดอย่างไม่มียางอายว่า กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง ทั้งๆ ที่ศาลเพิ่งสั่งจำคุกทนายของเขาในข้อหาพยายามติดสินบนศาลจากกรณีถุงขนม 2 ล้าน ซึ่งครั้งนั้นทำให้กระบวนการศาลสถิตยุติธรรมถูกเคลือบแคลง
แต่นั่นไม่เท่ากับนัยที่แฝงไว้ด้วยคำอาฆาตมาดร้ายของทักษิณซึ่งอยู่ท้ายๆ จดหมายที่ว่า “วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนอดทนอีกนิดหนึ่งครับ”
นี่คือ การประกาศของทักษิณที่แปลความได้ว่า “ผมยังสู้อยู่ และจะกลับมาเอาคืน”
ผมไม่ได้สรุปเช่นนี้โดยลำพัง เพ็ญ-จักรภพ เพ็ญแข ก็บ่งบอกนัยนี้ไว้ภายใต้นามปากกา “กาหลิบ” ของเธอว่า การหนีของทักษิณเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งในสนามรบ และไม่ใช่การยอมแพ้
เพ็ญ บอกด้วยว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด เพราะเท่ากับคุณทักษิณกำลังเปิดแนวรบใหม่นอกพื้นที่อำนาจของศัตรูโดยตรงเผด็จศึกง่ายกว่ากันเยอะ
เพ็ญใช้คำว่า “ราชอาณาจักร” อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นเมื่อขีดเส้นใต้ ตรงคำว่า “จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด” คำว่า “ทั้งหมด” ก็บ่งบอกว่า ทักษิณจะกลับมาเพื่อถอนรากถอนโคนสิ่งที่เขาเชื่อว่า เป็นศัตรูของตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับแรงปรารถนาให้เกิดสงครามประชาชนจากการให้สัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้งของเธอ
“ราชอาณาจักร” แปลว่า อะไร “นอกพื้นที่ของศัตรู” คืออะไร แล้ว “ศัตรู”ของทักษิณที่เพ็ญว่าคือใคร ลองตีความกันเอาเอง
ความตั้งใจในการใช้คำในบทความชิ้นนี้ยังมีที่น่าสนใจตรงที่เพ็ญเธอบอกว่า เปรียบไปแล้วกลุ่มพันธมิตรฯ และ ASTV เป็นเพียงงูพิษตัวหนึ่งในบ่อสีขาวขนาดใหญ่ของสถานเสาวภา ซึ่งเป็นหน่วยงานในความดูแลของสภากาชาดไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่พญานาคราชแต่อย่างใด
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ เพ็ญ เย้ยหยันว่า พันธมิตรฯ ไม่ใช่ “พญานาคราช” แต่เป็นเพียงงูพิษตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อรีดพิษในบ่อของสถานเสาวภา
แต่ความตั้งใจของเธออยู่ที่ “ในพระบรมราชินูปถัมภ์” เสียมากกว่า
อยากรู้ว่าเพ็ญเธอซ่อนอะไรไว้ภายใต้คำนี้ ก็ลองศึกษาจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของเพ็ญเอง รวมถึงพฤติกรรมของคนรอบข้างที่ออกมาขับเคลื่อนทวงคืนความชอบธรรมให้กับระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ดา ตอร์ปิโด ชีพ ชูชัย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ จรัล ดิษฐาอภิชัย ฯลฯ
น่าประหลาดที่จดหมายของทักษิณคือ การประกาศสงคราม แต่กลับมีคนเรียกร้องให้พวกเราอันหมายถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถอยได้แล้วเพื่อความสมานฉันท์
น้ำเสียงเหล่านี้ไม่ต่างกับหลัง 19 กันยา ที่เคยบอกว่า ทักษิณตายแล้ว ราวกับว่า พวกเขามองไม่เห็นความสามานย์ของรัฐบาลหุ่นเชิด และความพิกลพิการของอำนาจรัฐปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในเงื้อมมือของระบอบทักษิณอย่างเต็มเปี่ยม
รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่เป็นรัฐบาลของประชาชาติไทย เพราะพวกเขาทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวที่นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินคนหนึ่งออกมาย่ำยีอธิปไตยทางการศาลของไทย
และเชื่อได้ว่า รัฐบาลสามานย์ชุดนี้จะควบคุมกลไกให้กระบวนการยุติธรรมล่าช้าที่จะตามล่าตัวผู้ร้ายหนีข้ามแดน และปล่อยให้ทีวีของรัฐออกมาปกป้องจำเลยของแผ่นดิน และช่วยโหมกระแสว่า ทักษิณกำลังต่อสู้กับอำนาจเหนือรัฐบาลที่ไม่เป็นธรรม
การต่อสู้ของระบอบทักษิณยังมีแนวร่วมมุมกลับ เช่น นักวิชาการบางคน ธงชัย วินิจจะกุล “ไอ้หัวโต” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และค่ายมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ฯลฯ เว็บไซต์ประชาไทที่กลายเป็นที่ซ่องสุมระดมพลของคนรักระบอบทักษิณ และชิงชังสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งแยกแยะไม่ได้ถึงความผิดถูกชั่วดี
นักวิชาการเหล่านี้มองข้ามความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ กระทั่งสำรอกความสามานย์ทางวิชาการออกมา เพื่อทำลายบั่นทอนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ
นักวิชาการด้านสันติวิธีหลายคนนิ่งเฉยที่มีการปลุกปั่นให้คนออกมาทำร้ายพันธมิตรฯ จนบาดเจ็บปางตายที่อุดรธานี มหาสารคาม บุรีรัมย์ ฯลฯ
นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนหลายคนเดือดดาลที่ช่อง 11 ในยุครัฐบาลเต่านำรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของสนธิ ลิ้มทองกุล ไปออกอากาศวันละ 1 ชั่วโมง แต่กลับนิ่งเฉย เมื่อลิ่วล้อของระบอบทักษิณจัดตั้งบริษัทเข้าไปยึดครองช่อง 11 เกือบทั้งสถานี และยังใช้เป็นสถานีบิดเบือนข้อเท็จจริงใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม
การวิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของนักวิชาการเหล่านี้จึงเต็มไปด้วยการสร้างวาทกรรมเพื่อบิดเบือน ความมั่วและอคติ ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า นี่คือ ยุคแห่งสำนึกผิดถูกชั่วดีไม่ใช่ซ้ายขวาอย่างในอดีต
ขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศสงครามครั้งสุดท้ายเพื่อสร้างการเมืองใหม่ ทำลายระบบการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมือง ปฏิรูปสังคม ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการศึกษาเพื่อทำให้บ้านเมืองก้าวเดินไปสู่ท่วงทำนองคลองธรรม
แต่สงครามครั้งสุดท้ายของทักษิณ นักวิชาการแนวร่วมมุมกลับ และพวกระบอบทักษิณมีความหมายที่กว้างไกลกว่านั้น
พวกเขาพกเอาอคติ และความชิงชังมาเป็นธงนำในการก่อสงครามในราชอาณาจักร เพื่อนำไปสู่การโค่นล้มศัตรู และสถาปนาอำนาจใหม่
กระทั่งทักษิณกลายเป็น “ผู้ร้าย” จากประเทศไทย หนีหมายศาลไปอยู่เมือง “ผู้ดี” ประเทศอังกฤษ ได้สดับตรับเสียงหลายคนคล้ายกับว่า นี่เป็นการหนียะย่าย พ่ายจะแจของทักษิณและพลพรรค
มีบางคนลิงโลดว่า นี่คือชัยชนะของฝ่ายไม่เอาทักษิณ แต่ผมว่าไม่ใช่
เพราะนี่คือ การประกาศสงครามขั้นสุดท้ายแบบแตกหักของระบอบทักษิณกับพลพรรคเสียมากกว่า
ทักษิณกำลังใช้ตำราพิชัยสงครามของซุนวู “หนี” เป็นสุดยอดกลยุทธ์ หากไม่หนีในวาระอันควรอาจต้องแลกด้วยชีวิต
ซุนวู อธิบายกลยุทธ์ “หนี” ไว้ในตำราพิชัยสงครามในข้อ 36 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ข้อสุดท้ายของเขาว่า ทำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายในยามที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเพื่อชิงโอกาสตอบโต้ภายหลังมิใช่ถอยหนีอย่างพ่ายแพ้หมดรูป ตีโต้กลับมิได้อีก
นัยในจดหมายสั่งลาของทักษิณก็บ่งบอกเช่นนั้น
ทักษิณกล่าวหาว่า กระบวนการยุติธรรมที่เป็นหอกทิ่มแทงเขาอยู่นั้น เป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเอาผลลัพธ์ที่อยากจะได้เป็นตัวตั้ง เพื่อจัดการเขาและครอบครัว
ความคิดของเขาก็ไม่ต่างกับพลพรรคพลังประชาชนที่มองว่า รัฐธรรมนูญร่างเอาไว้เพื่อให้พวกเขาติดกับดัก แล้วจัดการกับพวกเขาอย่างขัดต่อหลักนิติธรรม
กฎหมายต่างหากที่ผิด พวกเขาไม่ได้กระทำผิด
ในจดหมายทักษิณ กล้าพูดอย่างไม่มียางอายว่า กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง ทั้งๆ ที่ศาลเพิ่งสั่งจำคุกทนายของเขาในข้อหาพยายามติดสินบนศาลจากกรณีถุงขนม 2 ล้าน ซึ่งครั้งนั้นทำให้กระบวนการศาลสถิตยุติธรรมถูกเคลือบแคลง
แต่นั่นไม่เท่ากับนัยที่แฝงไว้ด้วยคำอาฆาตมาดร้ายของทักษิณซึ่งอยู่ท้ายๆ จดหมายที่ว่า “วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนอดทนอีกนิดหนึ่งครับ”
นี่คือ การประกาศของทักษิณที่แปลความได้ว่า “ผมยังสู้อยู่ และจะกลับมาเอาคืน”
ผมไม่ได้สรุปเช่นนี้โดยลำพัง เพ็ญ-จักรภพ เพ็ญแข ก็บ่งบอกนัยนี้ไว้ภายใต้นามปากกา “กาหลิบ” ของเธอว่า การหนีของทักษิณเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งในสนามรบ และไม่ใช่การยอมแพ้
เพ็ญ บอกด้วยว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด เพราะเท่ากับคุณทักษิณกำลังเปิดแนวรบใหม่นอกพื้นที่อำนาจของศัตรูโดยตรงเผด็จศึกง่ายกว่ากันเยอะ
เพ็ญใช้คำว่า “ราชอาณาจักร” อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นเมื่อขีดเส้นใต้ ตรงคำว่า “จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด” คำว่า “ทั้งหมด” ก็บ่งบอกว่า ทักษิณจะกลับมาเพื่อถอนรากถอนโคนสิ่งที่เขาเชื่อว่า เป็นศัตรูของตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับแรงปรารถนาให้เกิดสงครามประชาชนจากการให้สัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้งของเธอ
“ราชอาณาจักร” แปลว่า อะไร “นอกพื้นที่ของศัตรู” คืออะไร แล้ว “ศัตรู”ของทักษิณที่เพ็ญว่าคือใคร ลองตีความกันเอาเอง
ความตั้งใจในการใช้คำในบทความชิ้นนี้ยังมีที่น่าสนใจตรงที่เพ็ญเธอบอกว่า เปรียบไปแล้วกลุ่มพันธมิตรฯ และ ASTV เป็นเพียงงูพิษตัวหนึ่งในบ่อสีขาวขนาดใหญ่ของสถานเสาวภา ซึ่งเป็นหน่วยงานในความดูแลของสภากาชาดไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่พญานาคราชแต่อย่างใด
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ เพ็ญ เย้ยหยันว่า พันธมิตรฯ ไม่ใช่ “พญานาคราช” แต่เป็นเพียงงูพิษตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อรีดพิษในบ่อของสถานเสาวภา
แต่ความตั้งใจของเธออยู่ที่ “ในพระบรมราชินูปถัมภ์” เสียมากกว่า
อยากรู้ว่าเพ็ญเธอซ่อนอะไรไว้ภายใต้คำนี้ ก็ลองศึกษาจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของเพ็ญเอง รวมถึงพฤติกรรมของคนรอบข้างที่ออกมาขับเคลื่อนทวงคืนความชอบธรรมให้กับระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ดา ตอร์ปิโด ชีพ ชูชัย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ จรัล ดิษฐาอภิชัย ฯลฯ
น่าประหลาดที่จดหมายของทักษิณคือ การประกาศสงคราม แต่กลับมีคนเรียกร้องให้พวกเราอันหมายถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถอยได้แล้วเพื่อความสมานฉันท์
น้ำเสียงเหล่านี้ไม่ต่างกับหลัง 19 กันยา ที่เคยบอกว่า ทักษิณตายแล้ว ราวกับว่า พวกเขามองไม่เห็นความสามานย์ของรัฐบาลหุ่นเชิด และความพิกลพิการของอำนาจรัฐปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในเงื้อมมือของระบอบทักษิณอย่างเต็มเปี่ยม
รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่เป็นรัฐบาลของประชาชาติไทย เพราะพวกเขาทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวที่นักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินคนหนึ่งออกมาย่ำยีอธิปไตยทางการศาลของไทย
และเชื่อได้ว่า รัฐบาลสามานย์ชุดนี้จะควบคุมกลไกให้กระบวนการยุติธรรมล่าช้าที่จะตามล่าตัวผู้ร้ายหนีข้ามแดน และปล่อยให้ทีวีของรัฐออกมาปกป้องจำเลยของแผ่นดิน และช่วยโหมกระแสว่า ทักษิณกำลังต่อสู้กับอำนาจเหนือรัฐบาลที่ไม่เป็นธรรม
การต่อสู้ของระบอบทักษิณยังมีแนวร่วมมุมกลับ เช่น นักวิชาการบางคน ธงชัย วินิจจะกุล “ไอ้หัวโต” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และค่ายมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ฯลฯ เว็บไซต์ประชาไทที่กลายเป็นที่ซ่องสุมระดมพลของคนรักระบอบทักษิณ และชิงชังสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งแยกแยะไม่ได้ถึงความผิดถูกชั่วดี
นักวิชาการเหล่านี้มองข้ามความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ กระทั่งสำรอกความสามานย์ทางวิชาการออกมา เพื่อทำลายบั่นทอนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ
นักวิชาการด้านสันติวิธีหลายคนนิ่งเฉยที่มีการปลุกปั่นให้คนออกมาทำร้ายพันธมิตรฯ จนบาดเจ็บปางตายที่อุดรธานี มหาสารคาม บุรีรัมย์ ฯลฯ
นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนหลายคนเดือดดาลที่ช่อง 11 ในยุครัฐบาลเต่านำรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของสนธิ ลิ้มทองกุล ไปออกอากาศวันละ 1 ชั่วโมง แต่กลับนิ่งเฉย เมื่อลิ่วล้อของระบอบทักษิณจัดตั้งบริษัทเข้าไปยึดครองช่อง 11 เกือบทั้งสถานี และยังใช้เป็นสถานีบิดเบือนข้อเท็จจริงใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม
การวิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของนักวิชาการเหล่านี้จึงเต็มไปด้วยการสร้างวาทกรรมเพื่อบิดเบือน ความมั่วและอคติ ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า นี่คือ ยุคแห่งสำนึกผิดถูกชั่วดีไม่ใช่ซ้ายขวาอย่างในอดีต
ขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศสงครามครั้งสุดท้ายเพื่อสร้างการเมืองใหม่ ทำลายระบบการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมือง ปฏิรูปสังคม ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการศึกษาเพื่อทำให้บ้านเมืองก้าวเดินไปสู่ท่วงทำนองคลองธรรม
แต่สงครามครั้งสุดท้ายของทักษิณ นักวิชาการแนวร่วมมุมกลับ และพวกระบอบทักษิณมีความหมายที่กว้างไกลกว่านั้น
พวกเขาพกเอาอคติ และความชิงชังมาเป็นธงนำในการก่อสงครามในราชอาณาจักร เพื่อนำไปสู่การโค่นล้มศัตรู และสถาปนาอำนาจใหม่