xs
xsm
sm
md
lg

พธม.อีสานชูการเมืองใหม่แก้ปัญหาชาติ ภาค ปชช.หนุนที่มา"ส.ส."จากทุกอาชีพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวขอนแก่น - พันธมิตรฯหลายจังหวัดภาคอีสานระดมความคิดเห็นการเมืองใหม่ เปลี่ยนประเทศไทยให้ดีขึ้น "พิภพ" เผยการเมืองใหม่แก้ปัญหาประเทศ ห่วงประเด็นที่มา ส.ส.หากใช้ระบบเลือกตั้งเดิม การเมืองไทยไม่พ้นการเมืองน้ำเน่า ด้านแกนนำพันธมิตรฯอุดรธานี ชี้โศกนาฏกรรมที่อุดรธานี เป็นบทเรียน ย้ำต้องเปลี่ยนสู่การเมืองใหม่ ขณะที่ภาคประชาชนเห็นด้วยกับการเมืองใหม่ โดยเฉพาะที่มา ส.ส.ต้องคัดสรรจากทุกกลุ่มอาชีพ ล้มสภานายทุนสู่สภาผู้แทนประชาชนอย่างแท้จริง

วานนี้ (13 ส.ค.) พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดขอนแก่น จัดเสวนา "การเมืองใหม่ เพื่อทำให้ประเทศไทยดีขึ้น" มีนายพิภพ ธงไชย 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นวิทยากรให้ความรู้ พร้อมด้วยพันธมิตรฯหลายอำเภอใน จ.ขอนแก่น และจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น อุดรธานี มหาสารคาม ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด เข้าร่วมเสวนาและแสดงความคิดเห็น ณ ห้องประชุมรับขวัญ โรงแรมขวัญมอ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงที่มาของการเมืองใหม่ว่า ขณะนี้มีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ถึงการเมืองใหม่เป็นความหวังของประชาชนที่ได้เห็นความเลวร้ายจากนักการเมือง โดยเฉพาะการเมืองในระบอบทักษิณที่มีพฤติกรรมปฏิเสธการทำงานอย่างโปร่งใสขององค์กรอิสระทั้งหมด ตั้งแต่เกิดคดีความคดีซุกหุ้นภาค 1 เมื่อปี 2544 โดยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แทรกแซงองค์กรอิสระทุกองค์กร จนองค์กรอิสระเกิดความอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด

พร้อมกับความตั้งใจสร้างระบบการเมืองพรรคเดียวให้ได้ เพื่อให้มีอำนาจสูงสุด จนเกิดภาพลักษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นเทวดาของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนในชนบท หรือในระดับรากหญ้า ที่ได้รับอิทธิพลจากนโยบายประชานิยม เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมชนบท ส.ส.มีบทบาทสำคัญในการนำประชานิยมสู่ชาวบ้าน ทำให้ไม่สามารถเกิดการเมืองใหม่ได้

นายพิภพ กล่าวอีกว่า การสร้างการเมืองใหม่ จึงมีการพูดถึงบนเวทีพันธมิตรฯโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายสุริยะใส กตะศิลา ได้เห็นตรงกันและเสนอความเห็นว่า ส.ส. ควรมาจากการเลือกตั้งแบบเดิม 30% และมาจากการสรรหาจากกลุ่มอาชีพทุกกลุ่มอาชีพ 70% เพื่อจะได้เห็นภาพตัวแทนของทุกอาชีพอย่างแท้จริงที่จะมีการคานกันเองในการทำงานเพื่อให้เกิดความชอบธรรมต่อทุกสาขาอาชีพ ต่อประชาชนทั้งประเทศให้มากที่สุด

ทั้งนี้ ปัญหาสังคมไทยแตกแยกยังคงเกิดขึ้นอย่างมาก แต่ก็ถือเป็นจุดดี ในการที่จะได้เห็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประชาชนจากทุกภาคส่วนว่าต้องการบ้านเมืองอย่างไร ขณะนี้ผู้ที่ร่วมในจุดยืนกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีจำนวนมากโดยมีดัชนีชี้วัดจากยอดขายจานดาวเทียม ASTV มียอดขายกว่า 3 ล้านจาน ซึ่งน่าจะมีผู้ชมผ่านช่องทางนี้มากกว่า 15 ล้านคน และไม่นับรวมยอดผู้ชมจากทางอินเทอร์เน็ต ตลอดจนเคเบิลทีวีและผู้มาร่วมชุมนุมจำนวนมาก

พัฒนาการของ ASTV เดิมที่เคยเป็นทีวีของสื่อผู้จัดการ แต่วันนี้ ASTV กลายเป็นสื่อของประชาชน จากความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน ทำให้บทบาทของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ มีประชาชนจำนวนมหาศาลเป็นแกนนำ ในการที่จะให้แกนนำได้คิดและวิเคราะห์ในการเป็นแกนนำเพื่อเดินไปสู่ชัยชนะต่อไป

"ถึงเวลาที่ประชาชนจะต้องช่วยกันคิดว่า หากเอาระบอบทักษิณออกไปได้ แต่ระบบการเมืองและการเลือกตั้งยังคงเหมือนเดิม การเมืองก็ยังเป็นการเมืองน้ำเน่าเหมือนเดิม เราจะทำอย่างไร" นายพิภพ กล่าว

ด้านนายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำพันธมิตรฯอุดรธานี แสดงความคิดเห็นว่า กรณีโศกนาฏกรรมที่ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา พันธมิตรฯอุดรธานีถูกเหล่าอันธพาลรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก เป็นสิ่งยืนยันถึงความชั่วร้ายของการเมืองเก่า ที่คนเห็นแก่อามิสสินจ้าง ไปรับจ้างกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจ ทำร้ายคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง มุ่งหวังรักษาอำนาจทางการเมืองของตนไว้ให้นานที่สุด ดังนั้น ประชาชนทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันผลักดัน ให้เกิดการเมืองใหม่ให้เป็นรูปธรรม

ทางด้านนายไพโรจน์ มูลทิยะ ประธานชุมนุมสหพันธ์สหกรณ์ภาคอีสาน แสดงความคิดเห็นต่อการสร้างการเมืองใหม่ว่า ตนเห็นด้วยและต้องการเห็นการเมืองใหม่เกิดขึ้น เพื่อให้การเลือกผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.เลือกผู้แทนประชาชนจากสาขาอาชีพต่างๆ ตามสัดส่วนอาชีพที่มีในประเทศไทย

"การเมืองในทุกวันนี้ แม้จะเรียกว่าสภาผู้แทนราษฎรแต่ความจริงคือไม่มีตัวแทนของประชาชน หรือคนในอาชีพที่หลากหลายโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมเลย ทำให้ปัญหาของคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้รับการแก้ไข ในเวทีสภาผู้แทนราษฎร มีเพียงนายทุน และนักธุรกิจภาคอุตสาหกรรมที่นั่งอยู่เต็มสภาฯ"

นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า แม้จะมองว่าการเมืองใหม่เกิดยาก เพราะคนทั่วไปยังมีความรู้ทางการเมืองที่แท้จริงน้อย จากการปิดกั้นสื่อ ปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร โดยมีเพียงระบบหัวคะแนนที่เป็นผู้แจ้งข่าวสารต่อคนในชนบทหรือรากหญ้า เช่นกรณี "เขาพระวิหาร" ที่เห็นได้ชัดว่านักการเมืองเลวมากเพียงใด เพราะการให้หัวคะแนนไปบอกแก่ชาวบ้านว่าเรื่องเขาพระวิหาร เป็นเพียงเรื่องธรรมดา เสมือนเราเสียที่นาสักแปลงเท่านั้น ขอให้ประชาชนอย่าคิดอะไรมาก พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเลวร้ายของนักการเมืองไทย ที่ไม่ยอมเปิดเผยถึงการเสียดินแดนให้ชาวบ้าน ได้รู้ข้อมูลที่แท้จริง

เช่นเดียวกับผู้ร่วมสัมมนาอีกหลายคนที่เห็นด้วยกับการสร้างการเมืองใหม่ แต่เห็นว่าปัญหาสำคัญขณะนี้คือจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านและพี่น้องเกษตรกร ตลอดจนประชาชนทั่วประเทศ รู้จักและเข้าใจการเมืองใหม่และลบความคิดที่ว่า "เรื่องการเมืองไม่ใช่เรื่องของเรา" แต่ให้มองว่าเรื่องการเมือง เป็นเรื่องของประชาชนทุกคน
กำลังโหลดความคิดเห็น