วานนี้ (11 ส.ค.) นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 พร้อมคณะ เป็นตัวแทนรัฐสภาเดินทางไปยังโรงเรียนทหารขนส่ง เพื่อประชุมชี้แจงกับบรรดานักเรียน ครู ผู้ปกครองโรงเรียนช่างกลขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) แม่บ้าน ขส.ทบ. และประชาชนในชุมชนย่านเกียกกาย ถึงเหตุผลที่รัฐบาลเลือกพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่
ทั้งนี้ นายนิคมได้นำแผนที่ประกอบคำชี้แจงโดยพยายามชี้ให้เห็นถึงความเหมาะสมของพื้นที่ เนื่องจาก พื้นที่ดังกล่าวติดกับแม่น้ำ มีความสวยงาม และเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ พร้อมกับยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป เนื่องจากได้ผ่านมติครม. โดยจะมีการวางศิลาฤกษ์ก่อนวันที่ 5 ธ.ค. นี้
ส่วนการย้ายโรงเรียนโยธินบูรณะไปอยู่บริเวณใกล้วัดสร้อยทอง และการย้ายโรงเรียนช่างกล ขส.ทบ. และชุมชนบางส่วนไปอยู่บริเวณวัดสลัก จ.ปทุมธานี จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ไม่ใช่ 2 เดือนตามที่ปรากฎเป็นข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศเริ่มตึงเครียด เมื่อบรรดานักเรียน ครู ผู้ปกครอง ต่างสลับกันลุกขึ้นชี้แจงและคัดค้านการย้ายชุมชน และโรงเรียนไปสถานที่แห่งใหม่ เนื่องจากเกิดความไม่สะดวกในการเดินทางของครู นักเรียน และข้าราชการในพื้นที่ และเห็นว่า อาจจะเป็นการสร้างภาระค่าครองชีพในอนาคต นอกจากนี้ เห็นว่ารัฐบาลควรเลือกพื้นที่ที่ไม่มีเสียงคัดค้านจากประชาชน เพื่อไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินงบประมาณในการเวนคืน ขณะที่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า จนถึงขณะนี้ที่มีมติครม.ออกมาแล้ว แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่หรือผู้ใหญ่เข้าไปเจรจาให้ความชัดเจนกับประชาชนในพื้นที่เลย
อย่างไรก็ตาม หลังฟังการร้องเรียนแล้ว นายนิคม รับปากจะนำข้อท้วงติงต่างๆ ไปหารือกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค.นี้ ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจกับบรรดาผู้เข้าร่วมประชุม โดยตะโกนต่อว่ารัฐบาลพยายามซื้อเวลา พร้อมยืนยันว่า หากยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาล ชาวบ้านจะอาศัยในพื้นที่เดิม และจะยื่นถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป
จากนั้นนายนิคมให้สัมภาษณ์ ยืนยันการเดินหน้าโครงการดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้ทุกอย่างได้กำหนดแบบแผนแล้ว และพื้นที่ดังกล่าวได้ทำการศึกษาความเหมาะสมมาเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้ส่วนตัวรู้สึกเห็นใจผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ให้ความมั่นใจว่าพื้นที่ก่อสร้างโรงเรียน และชุมชนที่พักอาศัยแห่งใหม่ จะเป็นที่ถูกใจทุกฝ่าย เนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่าเดิม และปัจจุบันการเดินทางสัญจรไปมามีความสะดวกมากขึ้น ฉะนั้นจะไม่เป็นปัญหาในเรื่องของการเดินทาง และเชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่บานปลาย หากทุกฝ่ายพูดคุยด้วยเหตุผล พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้เข้าไปพบปะกับผู้ที่ได้รับผลกระทบมาโดยตลอด
ทั้งนี้ นายนิคมได้นำแผนที่ประกอบคำชี้แจงโดยพยายามชี้ให้เห็นถึงความเหมาะสมของพื้นที่ เนื่องจาก พื้นที่ดังกล่าวติดกับแม่น้ำ มีความสวยงาม และเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ พร้อมกับยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป เนื่องจากได้ผ่านมติครม. โดยจะมีการวางศิลาฤกษ์ก่อนวันที่ 5 ธ.ค. นี้
ส่วนการย้ายโรงเรียนโยธินบูรณะไปอยู่บริเวณใกล้วัดสร้อยทอง และการย้ายโรงเรียนช่างกล ขส.ทบ. และชุมชนบางส่วนไปอยู่บริเวณวัดสลัก จ.ปทุมธานี จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ไม่ใช่ 2 เดือนตามที่ปรากฎเป็นข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศเริ่มตึงเครียด เมื่อบรรดานักเรียน ครู ผู้ปกครอง ต่างสลับกันลุกขึ้นชี้แจงและคัดค้านการย้ายชุมชน และโรงเรียนไปสถานที่แห่งใหม่ เนื่องจากเกิดความไม่สะดวกในการเดินทางของครู นักเรียน และข้าราชการในพื้นที่ และเห็นว่า อาจจะเป็นการสร้างภาระค่าครองชีพในอนาคต นอกจากนี้ เห็นว่ารัฐบาลควรเลือกพื้นที่ที่ไม่มีเสียงคัดค้านจากประชาชน เพื่อไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินงบประมาณในการเวนคืน ขณะที่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า จนถึงขณะนี้ที่มีมติครม.ออกมาแล้ว แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่หรือผู้ใหญ่เข้าไปเจรจาให้ความชัดเจนกับประชาชนในพื้นที่เลย
อย่างไรก็ตาม หลังฟังการร้องเรียนแล้ว นายนิคม รับปากจะนำข้อท้วงติงต่างๆ ไปหารือกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค.นี้ ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจกับบรรดาผู้เข้าร่วมประชุม โดยตะโกนต่อว่ารัฐบาลพยายามซื้อเวลา พร้อมยืนยันว่า หากยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาล ชาวบ้านจะอาศัยในพื้นที่เดิม และจะยื่นถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป
จากนั้นนายนิคมให้สัมภาษณ์ ยืนยันการเดินหน้าโครงการดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้ทุกอย่างได้กำหนดแบบแผนแล้ว และพื้นที่ดังกล่าวได้ทำการศึกษาความเหมาะสมมาเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้ส่วนตัวรู้สึกเห็นใจผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ให้ความมั่นใจว่าพื้นที่ก่อสร้างโรงเรียน และชุมชนที่พักอาศัยแห่งใหม่ จะเป็นที่ถูกใจทุกฝ่าย เนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่าเดิม และปัจจุบันการเดินทางสัญจรไปมามีความสะดวกมากขึ้น ฉะนั้นจะไม่เป็นปัญหาในเรื่องของการเดินทาง และเชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่บานปลาย หากทุกฝ่ายพูดคุยด้วยเหตุผล พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้เข้าไปพบปะกับผู้ที่ได้รับผลกระทบมาโดยตลอด
