ความในพระบาลีมีมาช้านานแล้วว่าคนทุศีลนั้นไม่มีวันที่จะไม่ทำความชั่ว และอีกบทหนึ่งก็ว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร ทั้งสองบทนี้มีความเป็นจริงอยู่ในทุกกาล และเพราะเชื่อความจริงดังกล่าวนี้ จึงเคยประเมินสถานการณ์ไว้ว่าสักวันหนึ่งคุณทักษิณจะถูกลอยแพให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางแต่เพียงลำพัง
วันนี้สถานการณ์ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป ศูนย์อำนาจก็เปลี่ยนแปลงไป กระแสธารของผู้ยึดถือผลประโยชน์เป็นสรณะก็เปลี่ยนทิศทางไป จึงก่อเกิดเป็นสถานการณ์ใหม่ของประเทศ ที่จะขับเคลื่อนไปในวันข้างหน้า
ในปี 2549 ก่อนวันที่ 19 กันยายน เป็นเวลาวาระสุดท้ายที่คุณทักษิณเถลิงอำนาจเหนือประเทศนี้ มีอำนาจยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีคนใดในประวัติศาสตร์
และไม่มีใครที่จะคาดคิดได้ว่าคนมีสติปัญญา มีความสามารถ มีทรัพย์สินเงินทองบริวารและอำนาจมากมายมหาศาลขนาดนั้นจะสูญเสียอำนาจไปได้อย่างไร ซึ่งแม้แต่คุณทักษิณและครอบครัวก็คงไม่มีใครคาดคิดเช่นเดียวกัน
แต่แล้วสิ่งที่เหนือความคาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้! คุณทักษิณต้องหมดสิ้นอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องระเหเร่ร่อนไปพำนักในต่างประเทศ ครอบครัวลูกเมียพากันเดือดร้อนตามไปด้วย และเป็นความเดือดร้อนที่เหนือกว่าความเดือดร้อนใดๆ ที่มนุษย์เราจะพึงประสบพบได้
เพราะเป็นไปดังคำโบราณที่ว่าเมื่ออยู่สูงก็ย่อมหนาวเหน็บ ย่อมต้องเผชิญกับลมกล้าพายุกระหน่ำ ฟ้าคำรน ฝนคำราม ยิ่งกว่าหญ้าแพรกและเปลือกหอยธรรมดาอย่างเราท่าน
ในสถานการณ์อย่างนั้น ควรที่คุณทักษิณจะตรึกคิดเห็นความจริงได้กระจ่างว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้และแน่นอน มีความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมีความผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่และดับไปในที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่จะยึดมั่นถือมั่นได้เลย
ถ้าหากคิดได้อย่างนั้น อานุภาพแห่งพระธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ทำให้พ้นจากความทุกข์ความร้อนได้โดยมิต้องสงสัยใดๆ แต่ปรากฏว่าด้วยแรงคนรอบข้าง ผสมกับอัชฌาสัยและอารมณ์ความรู้สึก จึงทำให้คุณทักษิณคิดสู้ต่อไปในรูปของนอมินีหรือผู้แทน
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือการเสกหุ่นออกไปทำการศึกแทนตัว แต่ไม่ได้คาดคิดว่าอันการเมืองนั้นไม่เหมือนกับการเสกหุ่นในทางไสยศาสตร์ เพราะคนมีชีวิตจิตใจ ถึงจะยอมเป็นหุ่นเชิดในวันเวลาหนึ่ง แต่เมื่อถูกหล่อหลอมกล่อมเกลาด้วยอำนาจวาสนาเข้าแล้ว ก็ย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น และในที่สุดก็จะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปดังที่เห็นๆ กันอยู่
สิ่งที่ควรคิดคำนึงถึงแต่มิได้คิดให้เพียงพอก็คือการใช้คนพาล การยึดคนพาลเป็นสรณะนั้น เป็นอัปมงคลแก่ชีวิต ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ว่าการไม่คบคนพาลเป็นมงคลสูงสุด และมีอานิสงส์มากหลาย
โดยอรรถะหมายความว่าการคบคนพาลนั้น นอกจากจะเป็นความอัปมงคลแก่ชีวิตแล้ว ท่านยังแสดงวิบากไว้ด้วยว่าจะเป็นที่เกลียดชังของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย จะเป็นผู้พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง จะเป็นผู้มีจิตใจเศร้าหมอง ไม่มีวันเกษม หวั่นไหววอกแวกไปด้วยอำนาจแห่งลาภยศสุขสรรเสริญ และถึงกาลวิบัติพินาศในที่สุด
บรรดาหุ่นตัวสำคัญๆ ล้วนเป็นคนพาลตามความหมายที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ และส่งวิบากดังที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ทุกประการ
ไม่เห็นหรือว่าได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมาไม่ทันไร ก็เกิดวิกฤตใหญ่ในบ้านเมืองแทบทุกด้าน แผ่นดินกำลังเป็นกลียุคและทุรยุคไปพร้อมๆ กัน ศึกเหนือเสือใต้โหมกระหน่ำทำร้ายชาติบ้านเมือง ภายในเล่าก็กำลังจะเกิดสงครามกลางเมือง เศรษฐกิจก็พังพินาศ
ไม่เห็นหรือว่าผู้คนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย และจงรักภักดีพากันลุกขึ้นสู้ทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดอย่างกว้างขวางคึกคักและขยายตัวออกไปมากขึ้นทุกที ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของชาติเรา
อำนาจแห่งความยุติธรรมก็ขับเคลื่อนกงล้อประชิดติดตัวเข้ามาทุกที นี่คือวิบากโดยตรงของการคบคนพาล การใช้คนพาล และการถือคนพาลเป็นสรณะ
พิบัติซึ่งเป็นของตรงกันข้ามกับสมบัติกำลังครอบงำหนาขึ้นแน่นขึ้นหนักขึ้นจนท่วมทับยิ่งกว่าแผ่นดินกลบ ตามคติที่เรียกว่าธรณีสูบเสียอีก
ในขณะเดียวกัน พวกหุ่นเชิดก็กำเริบเหิมเกริมในอำนาจมากขึ้นทุกวันคืน พวกฝ่ายซ้ายอกหักก็ผลักผันตัวเองไปจับขั้วกับอำนาจใหม่ สมุนบริวารที่รวมตัวเกาะกลุ่มได้ด้วยอามิสก็หลั่งไหลไปในแหล่งอามิสใหม่
ดังนั้นสภาพที่คุณทักษิณและครอบครัวถูกลอยแพเพื่อให้เสี่ยงชะตากรรม เสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางจึงเกิดขึ้นภายใต้คำรับรองว่าจะช่วยแก้ไขเยียวยาในเวลาภายหลัง
มันเป็นข้ออ้างของหมาจิ้งจอกเพื่อจะแย่งยึดเอารังใหญ่มาครอบครองเท่านั้น หาสาระแก่นสารและความจริงใจไม่ได้เลย เพราะมีหรือที่ผู้ถืออำนาจใหม่จะแก้ไขปัญหาให้เพื่อให้อำนาจเก่ากลับมารุกไล่ยึดเอาเก้าอี้กลับคืน มันเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
สภาพเช่นนี้นักการเมืองหน้าใหม่คนไหนก็มองเห็นได้กระจ่าง ดังนั้นในวันนี้ถนนทุกสาย แม่น้ำทุกสายในพรรคพลังประชาชนจึงหลั่งไหลไปรวมศูนย์อยู่ที่นายสมัคร สุนทรเวช ขั้วอำนาจใหม่กำลังกำเนิดขึ้นแล้ว ทำให้สภาพการเมืองไทยกลายเป็นสามก๊ก
ฝ่ายอำนาจใหม่ก๊กหนึ่ง ฝ่ายที่ยังจงรักภักดีต่อคุณทักษิณก๊กหนึ่ง และฝ่ายค้านอีกก๊กหนึ่ง ในขณะที่การเมืองภาคประชาชนนอกสภาก็เติบใหญ่จนไม่อาจดูแคลนได้อีกต่อไปแล้ว นี่คือสภาพใหม่ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในประเทศของเรา
ไม่ต้องพูดถึงพวกพรรคร่วมรัฐบาลที่หาแก่นสารสาระอันใดมิได้ เป็นแค่เศษสวะที่ลอยไปตามกระแสน้ำแห่งอำนาจ รอวันที่จะออกสู่ทะเลและจมลงใต้พระมหาสมุทรหรือเป็นเหยื่อปูปลาในที่สุด
แล้วคุณทักษิณจะทำอย่างไรต่อไป? นี่คือการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมีผลยิ่งใหญ่ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติด้วย
สิ่งที่ควรทำที่สุดก็คือการเลิกคบคนพาล การแสวงหาปราชญ์และบัณฑิตมาเป็นที่พึ่งคิดอ่าน จึงจะนำพาออกมาจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้ จะต้องทนต่อความยั่วยวนที่ให้ก่อกรรมทำเข็ญอันเป็นอนันตริยกรรมอย่างเด็ดเดี่ยว เพราะนั่นก็คือการถูกหลอกให้เข้าไปเสี่ยงภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพันโดยที่ไม่มีวันได้รับผลตอบแทนใดๆ เลย
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่านายสมัคร สุนทรเวช กำลังปราบดาภิเษกตนเองเป็นขั้วอำนาจใหม่ และถีบไสไล่ส่งอำนาจเก่า ทั้งพร้อมที่จะสามัคคีกับฝ่ายซ้ายอกหัก
ใช่เลย! และถ้าเป็นไปในทิศทางนี้ก็คงเป็นดังที่นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาได้เคยกล่าวเอาไว้ว่าในเวลาอีก 8 ปีข้างหน้า ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีก 2-3 ปี นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจะมีชื่อว่าเนวิน ชิดชอบ
มันเป็นไปได้ภายใต้ระบบการเมืองปัจจุบันนี้ และในปัจจุบันนี้ในเวทีการเมืองไทย ใครๆ ต่างก็เห็นกันอย่างชัดเจนแล้วว่าคนที่เรืองศักดานุภาพและมีอำนาจมากไม่แพ้ใครในเวทีการเมืองก็คือชายฉกรรจ์ผู้มีชื่อว่าเนวิน ชิดชอบ ผู้นี้นี่เอง
อย่าดูแคลนคนที่ชื่อเนวิน ชิดชอบ เป็นอันขาด คนผู้นี้เป็นทั้งบุ๋นทั้งบู่ เชี่ยวชาญในบรรดาศาสตร์ลี้ลับมากหลาย ดำรงตนอยู่ในที่สลัวๆ คล้ายๆ กับเต๋าในคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งฉะนั้น
เพราะในคัมภีร์นั้นระบุว่าเต๋าไม่อยู่ในที่สว่าง และเต๋าก็ไม่อยู่ในที่มืด แต่เต๋าอยู่ในที่สลัวๆ
เข้าตำราว่าคนที่จะคิดการเป็นใหญ่นั้นจะต้องถือคติว่า “เป็นปลาใหญ่ต้องอยู่ในน้ำลึก เป็นกระบี่ต้องคมอยู่ในฝัก เป็นผู้คิดการใหญ่ต้องอยู่ในที่ผู้คนรบกวนไม่ถึง”
ทำไมถึงว่าใช่เลยเล่า? ก็ให้ดูจากสัญญาณสำคัญของการประกาศอิสรภาพของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งกระทำอย่างเปิดเผยแล้ว
นั่นคือการผลักดันให้คณะรัฐมนตรีมีมติตั้งคณะกรรมการประสานงานการลงทุนภาครัฐร่วมกับภาคเอกชน หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า PPP เพื่อให้เป็นตัวขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์หรือโครงการพิเศษพิสดารทั้งหลายโดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน พ.ศ. 2535 ที่ตราไว้เพื่อป้องกันการทุจริตฉ้อฉลปล้นชาติในสมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
คณะกรรมการชุดนี้มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นประธาน มีเลขาธิการคนดังของนายสมัคร สุนทรเวช เป็นรองประธาน นอกนั้นก็เป็นข้าราชการประจำ ซึ่งประดุจดั่งลูกไก่ในกำมือ ที่สามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้ดังใจ
คณะกรรมการชุดนี้สามารถดึงโครงการจากทุกกระทรวงทบวงกรมมาดำเนินการเองได้ ซึ่งหมายความว่าโครงการอันเป็นแหล่งเงินทองมหาศาลไม่ว่าอยู่ที่ไหนในความดูแลของใครก็สามารถใช้คณะกรรมการชุดนี้ดึงเอามาจัดการให้เสร็จไปอย่างรวดเร็วได้
และได้สำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นแล้วเมื่อ 3-4 วันมานี้ ด้วยการผลักดันโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษสายบางปะอิน-โคราช ระยะทาง 199 กิโลเมตร วงเงิน 170,050 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในอำนาจของลูกน้องนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล มาอย่างหน้าตาเฉย
แล้วยังดึงเอาโครงการพัฒนาหรือก่อสร้างโรงพยาบาลทั้งหลายทั่วประเทศมาอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการชุดนี้ ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องหวาดผวาว่ากิจการโรงพยาบาลทั้งประเทศกำลังจะถูกจัดออกไปนอกระบบเหมือนกับมหาวิทยาลัยอีกแล้ว โดยที่พลพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาได้แต่มองตาปริบๆ
ยิ่งกว่านั้น ยังดึงเอากิจการอุทยานทั้งประเทศเข้ามาอยู่ในอำนาจเพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุน พูดง่ายๆ ก็คือยกอุทยานแห่งชาติทั้งบนบกและในทะเลมูลค่าหลายล้านๆ บาทและเป็นพื้นที่กว่า 30 ล้านไร่ เอาไปให้เอกชนหรือต่างชาติปู้ยี้ปู้ยำกันอย่างสนุกสนานนั่นเอง พรรคมัชฌิมาธิปไตยก็คงมองตากันปริบๆ ต่อไป
ใครสวามิภักดิ์ก็จักได้รับการอำนวยอวยโภคผล ใครขืนขัดก็จะถูกขจัดออกไป ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น นี่คือการปราบดาภิเษกของขั้วอำนาจใหม่ทางการเมืองปัจจุบันนี้ ที่ได้ให้บทพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า “สัจจะไม่มีในหมู่โจร”
แต่อย่าเพิ่งดีใจ! เพราะมันไม่ใช่ของใหม่ หากเป็น “ระบอบทักษิณกลายพันธุ์” เท่านั้น.
วันนี้สถานการณ์ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป ศูนย์อำนาจก็เปลี่ยนแปลงไป กระแสธารของผู้ยึดถือผลประโยชน์เป็นสรณะก็เปลี่ยนทิศทางไป จึงก่อเกิดเป็นสถานการณ์ใหม่ของประเทศ ที่จะขับเคลื่อนไปในวันข้างหน้า
ในปี 2549 ก่อนวันที่ 19 กันยายน เป็นเวลาวาระสุดท้ายที่คุณทักษิณเถลิงอำนาจเหนือประเทศนี้ มีอำนาจยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีคนใดในประวัติศาสตร์
และไม่มีใครที่จะคาดคิดได้ว่าคนมีสติปัญญา มีความสามารถ มีทรัพย์สินเงินทองบริวารและอำนาจมากมายมหาศาลขนาดนั้นจะสูญเสียอำนาจไปได้อย่างไร ซึ่งแม้แต่คุณทักษิณและครอบครัวก็คงไม่มีใครคาดคิดเช่นเดียวกัน
แต่แล้วสิ่งที่เหนือความคาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้! คุณทักษิณต้องหมดสิ้นอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องระเหเร่ร่อนไปพำนักในต่างประเทศ ครอบครัวลูกเมียพากันเดือดร้อนตามไปด้วย และเป็นความเดือดร้อนที่เหนือกว่าความเดือดร้อนใดๆ ที่มนุษย์เราจะพึงประสบพบได้
เพราะเป็นไปดังคำโบราณที่ว่าเมื่ออยู่สูงก็ย่อมหนาวเหน็บ ย่อมต้องเผชิญกับลมกล้าพายุกระหน่ำ ฟ้าคำรน ฝนคำราม ยิ่งกว่าหญ้าแพรกและเปลือกหอยธรรมดาอย่างเราท่าน
ในสถานการณ์อย่างนั้น ควรที่คุณทักษิณจะตรึกคิดเห็นความจริงได้กระจ่างว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้และแน่นอน มีความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมีความผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่และดับไปในที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่จะยึดมั่นถือมั่นได้เลย
ถ้าหากคิดได้อย่างนั้น อานุภาพแห่งพระธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ทำให้พ้นจากความทุกข์ความร้อนได้โดยมิต้องสงสัยใดๆ แต่ปรากฏว่าด้วยแรงคนรอบข้าง ผสมกับอัชฌาสัยและอารมณ์ความรู้สึก จึงทำให้คุณทักษิณคิดสู้ต่อไปในรูปของนอมินีหรือผู้แทน
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือการเสกหุ่นออกไปทำการศึกแทนตัว แต่ไม่ได้คาดคิดว่าอันการเมืองนั้นไม่เหมือนกับการเสกหุ่นในทางไสยศาสตร์ เพราะคนมีชีวิตจิตใจ ถึงจะยอมเป็นหุ่นเชิดในวันเวลาหนึ่ง แต่เมื่อถูกหล่อหลอมกล่อมเกลาด้วยอำนาจวาสนาเข้าแล้ว ก็ย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น และในที่สุดก็จะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปดังที่เห็นๆ กันอยู่
สิ่งที่ควรคิดคำนึงถึงแต่มิได้คิดให้เพียงพอก็คือการใช้คนพาล การยึดคนพาลเป็นสรณะนั้น เป็นอัปมงคลแก่ชีวิต ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ว่าการไม่คบคนพาลเป็นมงคลสูงสุด และมีอานิสงส์มากหลาย
โดยอรรถะหมายความว่าการคบคนพาลนั้น นอกจากจะเป็นความอัปมงคลแก่ชีวิตแล้ว ท่านยังแสดงวิบากไว้ด้วยว่าจะเป็นที่เกลียดชังของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย จะเป็นผู้พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง จะเป็นผู้มีจิตใจเศร้าหมอง ไม่มีวันเกษม หวั่นไหววอกแวกไปด้วยอำนาจแห่งลาภยศสุขสรรเสริญ และถึงกาลวิบัติพินาศในที่สุด
บรรดาหุ่นตัวสำคัญๆ ล้วนเป็นคนพาลตามความหมายที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ และส่งวิบากดังที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ทุกประการ
ไม่เห็นหรือว่าได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมาไม่ทันไร ก็เกิดวิกฤตใหญ่ในบ้านเมืองแทบทุกด้าน แผ่นดินกำลังเป็นกลียุคและทุรยุคไปพร้อมๆ กัน ศึกเหนือเสือใต้โหมกระหน่ำทำร้ายชาติบ้านเมือง ภายในเล่าก็กำลังจะเกิดสงครามกลางเมือง เศรษฐกิจก็พังพินาศ
ไม่เห็นหรือว่าผู้คนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย และจงรักภักดีพากันลุกขึ้นสู้ทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดอย่างกว้างขวางคึกคักและขยายตัวออกไปมากขึ้นทุกที ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของชาติเรา
อำนาจแห่งความยุติธรรมก็ขับเคลื่อนกงล้อประชิดติดตัวเข้ามาทุกที นี่คือวิบากโดยตรงของการคบคนพาล การใช้คนพาล และการถือคนพาลเป็นสรณะ
พิบัติซึ่งเป็นของตรงกันข้ามกับสมบัติกำลังครอบงำหนาขึ้นแน่นขึ้นหนักขึ้นจนท่วมทับยิ่งกว่าแผ่นดินกลบ ตามคติที่เรียกว่าธรณีสูบเสียอีก
ในขณะเดียวกัน พวกหุ่นเชิดก็กำเริบเหิมเกริมในอำนาจมากขึ้นทุกวันคืน พวกฝ่ายซ้ายอกหักก็ผลักผันตัวเองไปจับขั้วกับอำนาจใหม่ สมุนบริวารที่รวมตัวเกาะกลุ่มได้ด้วยอามิสก็หลั่งไหลไปในแหล่งอามิสใหม่
ดังนั้นสภาพที่คุณทักษิณและครอบครัวถูกลอยแพเพื่อให้เสี่ยงชะตากรรม เสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางจึงเกิดขึ้นภายใต้คำรับรองว่าจะช่วยแก้ไขเยียวยาในเวลาภายหลัง
มันเป็นข้ออ้างของหมาจิ้งจอกเพื่อจะแย่งยึดเอารังใหญ่มาครอบครองเท่านั้น หาสาระแก่นสารและความจริงใจไม่ได้เลย เพราะมีหรือที่ผู้ถืออำนาจใหม่จะแก้ไขปัญหาให้เพื่อให้อำนาจเก่ากลับมารุกไล่ยึดเอาเก้าอี้กลับคืน มันเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
สภาพเช่นนี้นักการเมืองหน้าใหม่คนไหนก็มองเห็นได้กระจ่าง ดังนั้นในวันนี้ถนนทุกสาย แม่น้ำทุกสายในพรรคพลังประชาชนจึงหลั่งไหลไปรวมศูนย์อยู่ที่นายสมัคร สุนทรเวช ขั้วอำนาจใหม่กำลังกำเนิดขึ้นแล้ว ทำให้สภาพการเมืองไทยกลายเป็นสามก๊ก
ฝ่ายอำนาจใหม่ก๊กหนึ่ง ฝ่ายที่ยังจงรักภักดีต่อคุณทักษิณก๊กหนึ่ง และฝ่ายค้านอีกก๊กหนึ่ง ในขณะที่การเมืองภาคประชาชนนอกสภาก็เติบใหญ่จนไม่อาจดูแคลนได้อีกต่อไปแล้ว นี่คือสภาพใหม่ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในประเทศของเรา
ไม่ต้องพูดถึงพวกพรรคร่วมรัฐบาลที่หาแก่นสารสาระอันใดมิได้ เป็นแค่เศษสวะที่ลอยไปตามกระแสน้ำแห่งอำนาจ รอวันที่จะออกสู่ทะเลและจมลงใต้พระมหาสมุทรหรือเป็นเหยื่อปูปลาในที่สุด
แล้วคุณทักษิณจะทำอย่างไรต่อไป? นี่คือการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมีผลยิ่งใหญ่ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติด้วย
สิ่งที่ควรทำที่สุดก็คือการเลิกคบคนพาล การแสวงหาปราชญ์และบัณฑิตมาเป็นที่พึ่งคิดอ่าน จึงจะนำพาออกมาจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้ จะต้องทนต่อความยั่วยวนที่ให้ก่อกรรมทำเข็ญอันเป็นอนันตริยกรรมอย่างเด็ดเดี่ยว เพราะนั่นก็คือการถูกหลอกให้เข้าไปเสี่ยงภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพันโดยที่ไม่มีวันได้รับผลตอบแทนใดๆ เลย
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่านายสมัคร สุนทรเวช กำลังปราบดาภิเษกตนเองเป็นขั้วอำนาจใหม่ และถีบไสไล่ส่งอำนาจเก่า ทั้งพร้อมที่จะสามัคคีกับฝ่ายซ้ายอกหัก
ใช่เลย! และถ้าเป็นไปในทิศทางนี้ก็คงเป็นดังที่นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาได้เคยกล่าวเอาไว้ว่าในเวลาอีก 8 ปีข้างหน้า ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีก 2-3 ปี นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจะมีชื่อว่าเนวิน ชิดชอบ
มันเป็นไปได้ภายใต้ระบบการเมืองปัจจุบันนี้ และในปัจจุบันนี้ในเวทีการเมืองไทย ใครๆ ต่างก็เห็นกันอย่างชัดเจนแล้วว่าคนที่เรืองศักดานุภาพและมีอำนาจมากไม่แพ้ใครในเวทีการเมืองก็คือชายฉกรรจ์ผู้มีชื่อว่าเนวิน ชิดชอบ ผู้นี้นี่เอง
อย่าดูแคลนคนที่ชื่อเนวิน ชิดชอบ เป็นอันขาด คนผู้นี้เป็นทั้งบุ๋นทั้งบู่ เชี่ยวชาญในบรรดาศาสตร์ลี้ลับมากหลาย ดำรงตนอยู่ในที่สลัวๆ คล้ายๆ กับเต๋าในคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งฉะนั้น
เพราะในคัมภีร์นั้นระบุว่าเต๋าไม่อยู่ในที่สว่าง และเต๋าก็ไม่อยู่ในที่มืด แต่เต๋าอยู่ในที่สลัวๆ
เข้าตำราว่าคนที่จะคิดการเป็นใหญ่นั้นจะต้องถือคติว่า “เป็นปลาใหญ่ต้องอยู่ในน้ำลึก เป็นกระบี่ต้องคมอยู่ในฝัก เป็นผู้คิดการใหญ่ต้องอยู่ในที่ผู้คนรบกวนไม่ถึง”
ทำไมถึงว่าใช่เลยเล่า? ก็ให้ดูจากสัญญาณสำคัญของการประกาศอิสรภาพของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งกระทำอย่างเปิดเผยแล้ว
นั่นคือการผลักดันให้คณะรัฐมนตรีมีมติตั้งคณะกรรมการประสานงานการลงทุนภาครัฐร่วมกับภาคเอกชน หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า PPP เพื่อให้เป็นตัวขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์หรือโครงการพิเศษพิสดารทั้งหลายโดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน พ.ศ. 2535 ที่ตราไว้เพื่อป้องกันการทุจริตฉ้อฉลปล้นชาติในสมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
คณะกรรมการชุดนี้มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นประธาน มีเลขาธิการคนดังของนายสมัคร สุนทรเวช เป็นรองประธาน นอกนั้นก็เป็นข้าราชการประจำ ซึ่งประดุจดั่งลูกไก่ในกำมือ ที่สามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้ดังใจ
คณะกรรมการชุดนี้สามารถดึงโครงการจากทุกกระทรวงทบวงกรมมาดำเนินการเองได้ ซึ่งหมายความว่าโครงการอันเป็นแหล่งเงินทองมหาศาลไม่ว่าอยู่ที่ไหนในความดูแลของใครก็สามารถใช้คณะกรรมการชุดนี้ดึงเอามาจัดการให้เสร็จไปอย่างรวดเร็วได้
และได้สำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นแล้วเมื่อ 3-4 วันมานี้ ด้วยการผลักดันโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษสายบางปะอิน-โคราช ระยะทาง 199 กิโลเมตร วงเงิน 170,050 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในอำนาจของลูกน้องนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล มาอย่างหน้าตาเฉย
แล้วยังดึงเอาโครงการพัฒนาหรือก่อสร้างโรงพยาบาลทั้งหลายทั่วประเทศมาอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการชุดนี้ ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องหวาดผวาว่ากิจการโรงพยาบาลทั้งประเทศกำลังจะถูกจัดออกไปนอกระบบเหมือนกับมหาวิทยาลัยอีกแล้ว โดยที่พลพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาได้แต่มองตาปริบๆ
ยิ่งกว่านั้น ยังดึงเอากิจการอุทยานทั้งประเทศเข้ามาอยู่ในอำนาจเพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุน พูดง่ายๆ ก็คือยกอุทยานแห่งชาติทั้งบนบกและในทะเลมูลค่าหลายล้านๆ บาทและเป็นพื้นที่กว่า 30 ล้านไร่ เอาไปให้เอกชนหรือต่างชาติปู้ยี้ปู้ยำกันอย่างสนุกสนานนั่นเอง พรรคมัชฌิมาธิปไตยก็คงมองตากันปริบๆ ต่อไป
ใครสวามิภักดิ์ก็จักได้รับการอำนวยอวยโภคผล ใครขืนขัดก็จะถูกขจัดออกไป ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น นี่คือการปราบดาภิเษกของขั้วอำนาจใหม่ทางการเมืองปัจจุบันนี้ ที่ได้ให้บทพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า “สัจจะไม่มีในหมู่โจร”
แต่อย่าเพิ่งดีใจ! เพราะมันไม่ใช่ของใหม่ หากเป็น “ระบอบทักษิณกลายพันธุ์” เท่านั้น.