xs
xsm
sm
md
lg

ลูกจีน

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

เมืองไทยเป็นเมืองที่มีชนชาติพันธุ์นับสิบชนชาติพันธุ์ แต่ละชาติพันธุ์ก็มีไม่เท่ากัน และต่างก็มีถิ่นที่อยู่กระจัดกระจายกันไปทั้งบนพื้นราบกับที่ราบสูง ด้วยเหตุนี้ ในอดีตชนชั้นปกครองที่มีอำนาจในส่วนกลางซึ่งเป็นชนชาติพันธุ์ไทยจึงเรียกประเทศของตนว่า “สยาม” เพราะรู้ดีว่าประเทศของตนไม่ได้มี “ไทย” อยู่เพียงชาติพันธุ์เดียว

แต่ในยุคสมัยหนึ่งเมื่อราวพุทธทศวรรษ 2480 ชนชั้นปกครองในส่วนกลางได้เชิดชูลัทธิชาตินิยมขึ้นมาด้วยการชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของชนชาติพันธุ์ไทยที่มีเหนือชนชาติพันธุ์อื่น จึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศมาเป็น “ไทย” พร้อมกันนั้นก็ใช้นโยบายกีดกันสิทธิเสรีภาพของชนชาติพันธุ์อื่น และเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองไทยมีปัญหาความขัดแย้งทางชนชาติพันธุ์ฝังอยู่ลึกๆ มาจนทุกวันนี้

จีนเป็นชนชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในสยาม (ที่ปัจจุบันได้กลายเป็น “ประเทศไทย” ไปแล้ว) และถือเป็นชนชาติพันธุ์ที่มีเป็นจำนวนมาก เราไม่รู้ว่าในสมัยที่อยุธยายังเรืองอำนาจนั้น สยามประเทศมีชาวจีนเข้ามามากน้อยเพียงใด รู้แต่เพียงว่ามีแน่นอน และมีชุมชนของตัวเองอยู่ในอยุธยาเช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ที่เข้ามาในสมัยเดียวกันนี้

ต่อจนสมัยรัตนโกสินทร์ เราก็พบว่า มีชาวจีนเข้ามายังเมืองไทยอย่างมากมายมหาศาล และเข้ามาในฐานะแรงงานให้กับรัฐบาลในสมัยนั้น จวบจนราวๆ สมัยรัชกาลที่ 3 และ 4 สถานะของชาวจีนเหล่านี้ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา

คือนอกจากจะเป็นแรงงานแล้ว ก็ยังเริ่มมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น แล้วหันมามีอาชีพที่อิสระมากขึ้น กล่าวอีกอย่างคือเริ่มละจากอาชีพที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้น มาเป็นผู้ประกอบรายย่อย นอกจากนี้ ก็ยังมีชาวจีนที่มั่งคั่งมาจากเมืองจีนอยู่แต่เดิมก็ได้เข้ามาทำมาค้าขายในเมืองไทยด้วย กลุ่มหลังนี้ถือว่ารวยมาก่อนแล้วจากเมืองจีน และพอมาอยู่เมืองไทยก็ถูกเรียกว่าเจ้าสัว บางคนก็มีตำแหน่งเป็นขุนนางในรัฐบาลด้วย

ครั้นพอเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ชาวจีนกลุ่มแรกที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยก็ยกระดับฐานะของตนขึ้นมาบ้างเช่นกัน คือเปลี่ยนจากผู้ประกอบรายย่อยมาเป็นขนาดกลาง และเมื่อเวลาผ่านไปอีกก็กลายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ขึ้นมา แล้วก็กลายเป็นเจ้าสัวไปอีกกลุ่มหนึ่ง

แต่กระนั้นก็ตาม ชาวจีนที่ใช้แรงงานแบบเข้มข้นก็ยังมิได้หายไปจากเมืองไทยอยู่ดี และยังคงมีความขยันขันแข็งอยู่เช่นเดิม และก็พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าสัวได้ทุกเวลาเช่นกัน

ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวเป็นไปตามวิถีของกาลเวลา มีทั้งสุขและเศร้าคละเคล้ากันไป ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิตเช่นเดียวกับชนชาติพันธุ์อื่นในเมืองไทยเวลานั้น แต่ที่ดูจะต่างไปจากชนชาติพันธุ์อื่นอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ชาวจีนมีเป็นจำนวนมากและเริ่มมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ในบางสมัยจึงได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล ยิ่งถ้าเป็นรัฐบาลที่มีทัศนคติไปในทางชาตินิยมด้วยแล้ว ชาวจีนแทบจะกลายเป็นศัตรูของรัฐบาลไปเลยทีเดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ในยุคทศวรรษ 2480 ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ถือเป็นยุคที่ชาวจีนถูกตั้งข้อรังเกียจจากผู้นำรัฐบาลมากที่สุดยุคหนึ่ง ในเวลานั้นชาวจีนได้มาตั้งรกรากอย่างค่อนข้างถาวรในเมืองไทยแล้ว อีกทั้งยังได้มีการสืบสายกระจายพันธุ์จนเกิดปรากฏการณ์ “ลูกจีน” ขึ้นมา แต่ด้วยความที่มีเป็นจำนวนมากและมีฐานะทางเศรษฐกิจดี จึงเป็นกลุ่มชนชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดชนชาติพันธุ์หนึ่ง (เช่นเดียวกับชนชาติพันธุ์มลายูที่นับถือศาสนาอิสลามใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้เวลานั้น)

การสร้างทัศนคติที่ไม่ดีต่อชนชาติพันธุ์อื่นที่มิใช่ “ไทย” ของผู้นำรัฐบาลมีต่อเนื่องมาจนถึงทศวรรษ 2490 แต่กล่าวสำหรับชาวจีนหรือลูกจีนแล้ว แม้จะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใดก็ต้องอดทน ที่เจ็บแค้นใจนั้นก็มีเหมือนกัน แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้

ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงหัวอกลูกจีนก็คือ การใช้ “แซ่” ที่มักถูกเพื่อนเด็กด้วยกันนำมาล้ออยู่เสมอ ลูกจีนในบางครอบครัวจึงได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลเพื่อให้ดูกลมกลืนเป็น “ไทย” มากขึ้น

ซึ่งบางนามสกุลก็ทำได้กลมกลืนจริง แต่บางนามสกุลก็พยายามรักษารากความเป็นจีนเอาไว้ด้วยการคงแซ่เดิมของตนเอาไว้ในนามสกุล บางคนก็แปลความหมายในแซ่ของตนให้ดูเป็น “ไทย” ก็มี ในขณะที่บางคนก็ตั้งนามสกุลของตนเสียยาวเหยียด และด้วยศัพท์แสงที่ฟังดูหรูหราขึงขัง เรียกว่าเห็นนามสกุลแล้วก็เดาได้ว่าเป็นลูกจีน เป็นต้น

แต่ไม่ว่าจะใช้แซ่หรือนามสกุลก็ตาม ลูกจีนในเมืองไทยก็ใช้ชีวิตไปตามวิถีร่วมกับคนไทยและคนชาติพันธุ์อื่น หากลูกจีนจะเกเรเกตุงบ้าง ก็ไม่ต่างกับคนไทยหรือคนในชาติพันธุ์อื่นที่ก็มีเกเรเกตุงเหมือนกัน แต่ถ้ากล่าวในด้านดีแล้ว ลูกจีนก็สามารถสร้างคุณงามความดีได้ไม่ต่างคนไทยและคนชาติพันธุ์อื่นเช่นกัน

กล่าวเฉพาะคุณงามความดีแล้ว แม้ลูกจีนในหลายครอบครัวจะยังคงวัฒนธรรมจีนของตนอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็เป็นไปเฉพาะในครอบครัวหรือชุมชนของตนเท่านั้น ฉะนั้น ในขณะที่ลูกจีนฉลองเทศกาลตรุษจีนหรือไปเซ่นไหว้บรรพชนของตนในเทศกาลเช็งเม้ง หรือประเพณีจีนอื่นๆ ก็ไม่ได้หมายความลูกจีนจะไม่รักวัฒนธรรมไทยไปด้วยไม่

ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบลูกจีนที่มีผลงานในการศึกษาวัฒนธรรมอย่าง พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ สุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นต้น ครั้นเหลียวมาดูผลงานที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองเราก็พบลูกจีนอย่าง ปรีดี พนมยงค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ลูกจีนก็รักชาติบ้านเมืองไทยไม่ต่างกับลูกไทยหรือชนชาติพันธุ์อื่นในเมืองไทยแม้แต่น้อย

ตราบจนปัจจุบันนี้ แม้จะยังมีลูกจีนอยู่เป็นจำนวนมากในเมืองไทย แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นลูกจีนที่มีความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมไทยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ที่ยังสัมพันธ์กับวัฒนธรรมจีนนั้นก็เป็นเพียงบางประเพณีหรือบางพิธีกรรมไม่กี่เทศกาลเท่านั้น ลูกจีนในทุกวันนี้จึงเหลือแต่เพียงเชื้อสาย พ้นไปจากนี้แล้วลูกจีนก็เข้าวัดเข้าวาทำบุญฟังพระเทศเหมือนลูกไทย กินน้ำพริกปลาทูหรือปลาร้าและอาหารแบบไทย ฉลองเทศกาลแบบไทยได้ทุกเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นสงกรานต์หรือลอยกระทง ฯลฯ และสามารถเที่ยวสำมะเลเทเมากอดคอร่ำสุรากับลูกไทยได้เหมือนกัน

และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในบ้านเมือง ลูกจีนก็สามารถเข้าร่วมกับลูกไทยและลูกชนชาติพันธุ์อื่นๆ เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง เหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา, หรือพฤษภา 2535 ต่างก็มีลูกจีนเข้าร่วมทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือ เวลามีปัญหาการเมืองเกิดขึ้น ลูกจีนก็มักมีส่วนร่วมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และไม่ได้เข้าร่วมเพื่อ “ชาติจีน” แต่อย่างใด

ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบว่า เมื่อมีการต่อต้านระบอบทักษิณ หรือต่อต้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั้น ลูกจีนก็อยู่ในขบวนการทางการเมืองทั้งสองฝ่าย ดังนั้น พอมาถึงรัฐบาล คุณสมัคร สุนทรเวช ก็มีลูกจีนเข้าไปอยู่ทั้งในขบวนการต่อต้านและสนับสนุนรัฐบาลด้วยกันทั้งสองขบวนการ

แต่ที่พิเศษกว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนหน้านี้ก็คือ ในขบวนการต่อต้านรัฐบาลนั้นได้ปรากฏมีลูกจีนที่ไปร่วมใส่เสื้อยืดที่มีข้อความว่า “ลูกจีนรักชาติ” ขึ้นมา ซึ่งในสายตาของคนนอกอย่างผมแล้วตอนที่เห็นในภาพก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาในการสร้างสีสันให้แก่การชุมนุมมากกว่า และคงเป็นสีสันที่เกิดขึ้นจากการที่คนเหล่านี้มีหน้าตาที่บ่งชี้ว่าเป็นลูกจีน คือเห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นตี๋ หมวย เฮีย เจ๊ ซ้อ กู๋ ฯลฯ ประมาณนั้น

ไม่ได้คิดไปไกลถึงเรื่องการปลุกระดมเพื่อแบ่งแยกชนชาติพันธุ์แต่อย่างใด ก็เหมือนกับที่เราเห็นข้อความ “อีสานกู้ชาติ” นั่นแหละครับ ที่ไม่ได้หมายความว่า ชนชาติพันธุ์ลาวในภาคอีสานของเราจะอ้างเชื้อชาติแต่อย่างใด

ฉะนั้น การที่ คุณสมัคร ยกเอาข้อความดังกล่าวมาชี้ในทำนองว่าเป็นการปลุกระดมแบ่งแยกเชื้อชาติเพื่อให้เกิดความขัดแย้งกัน จนต้องให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเพื่อที่จะเล่นงานคนใส่เสื้อดังกล่าวนั้น ผมกลับเห็นว่ารังแต่จะสร้างความขัดแย้งแตกแยกทางเชื้อชาติสิไม่ว่า

ยิ่งเห็น คุณสมัคร ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาคู่กับการเสนอแก้รัฐธรรมนูญให้จำกัดการชุมนุมด้วยแล้ว ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะหา “ความเนียน” ที่จะเล่นงานคนอื่นไม่พบแม้แต่น้อย เห็นก็แต่ความกระเหี้ยนกระหือรือเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น