ผู้จัดการรายวัน- พาณิชย์ เปิดแผนดูแลราคาสินค้า ยึดราคาน้ำมันและเงินเฟ้อเป็นเกณฑ์ ระบุหากดีเซลเกิน 37 บาท เงินเฟ้อเกิน 7% แน่ เตรียมเพิ่มบัญชีสินค้าดูแล สินค้าควบคุม งัดกฎหมายใช้เข้มงวด พร้อมเสนอไอเดียคลังลดเก็บ VAT จากปัจจุบันลงอย่างน้อย 7% เหลือ 3% กระตุ้นแรงซื้อขณะที่สศค.โต้เป็นไปได้ยากจะกระทบฐานะการคลัง หนี้สาธารณะยิ่งพุ่งกระฉูด บ่นอุบยุคนี้ใช้นโยบายคลังผ่านภาษีมากที่สุดแล้ว
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดทำมาตรการดูแลราคาสินค้า ทั้งต้นทาง (ผู้ผลิต) และปลายทาง (ผู้บริโภค) โดยยึดปัจจัยราคาน้ำมันดีเซล และเงินเฟ้อเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กรณี ซึ่งหากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง มาตรการที่จะนำมาใช้ก็จะมีความเข้มงวดแตกต่างกันไป โดยมั่นใจว่า มาตรการที่จะทำนี้ จะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน พยุงไม่ให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป และส่งผลให้เงินเฟ้อไม่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ
สำหรับทั้ง 3 กรณีนั้น กรณีที่หนึ่ง อยู่ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยทั้งปี 2551 อยู่ที่ 33-34 บาทต่อลิตร และเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 6-6.5% กรณีที่สอง ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ย 34-35 บาทต่อลิตร และเงินเฟ้อ 6.5-7% และกรณีที่สาม ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ย 36-37 บาทต่อลิตร และเงินเฟ้อตั้งแต่ 7% ขึ้นไป
นายยรรยง กล่าวว่า กรณีที่หนึ่ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน เพราะราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค.2551 อยู่ที่ 33 บาทต่อลิตร และเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย..) เพิ่มขึ้น 6.3% ซึ่งกรมฯ ได้มีมาตรการดูแลราคาต้นทางในส่วนสินค้าที่ติดตามดูแล 200 รายการ และสินค้า/บริการควบคุม 35 รายการ ได้แก่ กำหนดราคาจำหน่าย ควบคุมราคาจำหน่าย แจ้งต้นทุน/ราคาจำหน่าย ชะลอการปรับราคา/ตรึงราคา และมีคณะอนุกรรมการดูแลราคาเฉพาะในกลุ่มสินค้า
ส่วนการดูแลปลายทาง มีสินค้า 700-1,000 ชนิด หรือ 40,000 กว่าไอเทม นั้น กรมฯ ได้กำหนดให้ต้องปิดป้ายแสดงราคาขายปลีก กำหนดความสำคัญของสินค้าและจัดระบบติดตามภาวะราคาอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบแบบเข้ม รับเรื่องร้องเรียน รวมถึงให้ห้างค้าปลีกขายสินค้าในสต๊อกตามราคาเดิม ห้างแจ้งข้อมูลการเปลี่ยนแปลงราคาของผู้ผลิต (ซัปพลายเออร์) อีกทั้งยังจะช่วยลดค่าครองชีพด้วยการเพิ่มจุดร้านอาหารธงฟ้า อิ่มทั่วฟ้า มิตรธงฟ้า ธงฟ้าสู่ชุมชน ตลาดนัดธงฟ้า
กรณีที่สอง จะเพิ่มความเข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบสถานการณ์ราคาอย่างเข้มข้น ขอความร่วมมือผู้ผลิตตรึงราคาให้นานที่สุด มีมาตรการช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการเพื่อแบ่งเบาภาระต้นทุน เช่น ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ หาแหล่งวัตถุดิบราคาถูกทดแทนการนำเข้า เป็นต้น รวมถึงเพิ่มและขยายโครงการลดค่าครองชีพให้เป็นที่เชื่อถือ และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง
ขณะที่กรณีที่ 3 ยังคงใช้มาตรการเดียวกับกรณีที่หนึ่ง และสอง แต่จะเพิ่มความเข้มงวดขึ้นอีกด้วยการ กำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด และส่วนเหลื่อมการตลาด (กำไรแต่ละช่วงการขาย) กรณีเกิดปัญหาราคาและปริมาณจะใช้พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ.2542 และบริหารการนำเข้า-ส่งออก เช่น ห้ามส่งออกสินค้าที่จำเป็น และอนุญาตให้นำเข้าสินค้าบางรายการ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลค่าบริการสาธารณะ เช่น ค่าขนส่ง ค่ารถโดยสาร ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา รวมทั้งยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเห็นว่าหากรัฐบาลต้องการที่จะช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ก็ควรจะพิจารณาลด VAT ลงมาอย่างต่ำ 7% เหลือ 3%
" ตอนนี้ ยังอยู่ในกรณีที่หนึ่ง ซึ่งหากต่อไปราคาน้ำมันและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นก็จะมีมาตรการเข้มงวดเพิ่มเติม ตั้งแต่เพิ่มรายการสินค้าดูแล และหากรายการไหนมีปัญหามากๆ ก็จะจับเข้าบัญชีควบคุม เพื่อให้ดูแลได้ง่ายขึ้น " นายยรรยงกล่าว
รายงานข่าว แจ้งว่า เป้าหมายเงินเฟ้อปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าไม่เกิน 5-5.5% แต่เชื่อว่าอาจจะเกินจากนี้ กรมการค้าภายใน จึงต้องกำหนดกรณีดูแลราคาสินค้าอย่างเข้มงวด เพื่อหวังไม่ให้เงินเฟ้อเกินไปกว่าเป้าหมาย
**สศค.โต้ทันทีกระทบฐานะการคลัง
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า หากมีการเสนอขอลดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) ลงอีก อาจกระทบต่อฐานะทางการคลังอย่างมาก เพราะรัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่มเติมกระทบต่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่าจะเหลือเวลาเพียง 2 เดือนในปีงบประมาณปี 51 ก็เป็นเรื่องที่หนักพอสมควร สำหรับการจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะปัจจุบันประชาชนประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้นทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงไปมาก
**ลั่นไม่เคยเห็นยุคไหนลดภาษีมากสุด
นับว่าตั้งแต่ต้นปี 51 เป็นต้นมารัฐบาลได้ลดภาษีประเภทต่างๆ ให้กับทุกส่วนหลายประเภท ทั้งภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับการซื้อบ้าน ค่าธรรมการเนียมการโอน การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนรายใหม่จาก 30% ลดเหลือ25% การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีรายได้ปานกลางเฉลี่ยประมาณ 5,000 บาทต่อคน และยังลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงอีกจาก นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน นับว่าในปีนี้ถือเป็นการใช้นโยบายการคลังผ่านนโยบายภาษีมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา ดังนั้น หากกระทรวงพาณิชย์ขอลดภาษีลงมาอีกคงต้องหารืออย่างรอบคอบและต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลว่าจะตัดสินใจอย่างไร
**เอกชนหวังคลัง-พาณิชย์ประสานงานมากกว่านี้
นายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลจะเชิญนายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มานั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แทนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการปรับคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า ภาคเอกชนติดตามข่าวดังกล่าวอยู่ และหากเป็นจริงก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และต้องการเห็นการทำงานระหว่างคลังและพาณิชย์ที่เป็นทีมเดียวกันมากกว่าปัจจุบัน
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดทำมาตรการดูแลราคาสินค้า ทั้งต้นทาง (ผู้ผลิต) และปลายทาง (ผู้บริโภค) โดยยึดปัจจัยราคาน้ำมันดีเซล และเงินเฟ้อเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กรณี ซึ่งหากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง มาตรการที่จะนำมาใช้ก็จะมีความเข้มงวดแตกต่างกันไป โดยมั่นใจว่า มาตรการที่จะทำนี้ จะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน พยุงไม่ให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป และส่งผลให้เงินเฟ้อไม่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ
สำหรับทั้ง 3 กรณีนั้น กรณีที่หนึ่ง อยู่ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยทั้งปี 2551 อยู่ที่ 33-34 บาทต่อลิตร และเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 6-6.5% กรณีที่สอง ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ย 34-35 บาทต่อลิตร และเงินเฟ้อ 6.5-7% และกรณีที่สาม ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ย 36-37 บาทต่อลิตร และเงินเฟ้อตั้งแต่ 7% ขึ้นไป
นายยรรยง กล่าวว่า กรณีที่หนึ่ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน เพราะราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค.2551 อยู่ที่ 33 บาทต่อลิตร และเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย..) เพิ่มขึ้น 6.3% ซึ่งกรมฯ ได้มีมาตรการดูแลราคาต้นทางในส่วนสินค้าที่ติดตามดูแล 200 รายการ และสินค้า/บริการควบคุม 35 รายการ ได้แก่ กำหนดราคาจำหน่าย ควบคุมราคาจำหน่าย แจ้งต้นทุน/ราคาจำหน่าย ชะลอการปรับราคา/ตรึงราคา และมีคณะอนุกรรมการดูแลราคาเฉพาะในกลุ่มสินค้า
ส่วนการดูแลปลายทาง มีสินค้า 700-1,000 ชนิด หรือ 40,000 กว่าไอเทม นั้น กรมฯ ได้กำหนดให้ต้องปิดป้ายแสดงราคาขายปลีก กำหนดความสำคัญของสินค้าและจัดระบบติดตามภาวะราคาอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบแบบเข้ม รับเรื่องร้องเรียน รวมถึงให้ห้างค้าปลีกขายสินค้าในสต๊อกตามราคาเดิม ห้างแจ้งข้อมูลการเปลี่ยนแปลงราคาของผู้ผลิต (ซัปพลายเออร์) อีกทั้งยังจะช่วยลดค่าครองชีพด้วยการเพิ่มจุดร้านอาหารธงฟ้า อิ่มทั่วฟ้า มิตรธงฟ้า ธงฟ้าสู่ชุมชน ตลาดนัดธงฟ้า
กรณีที่สอง จะเพิ่มความเข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบสถานการณ์ราคาอย่างเข้มข้น ขอความร่วมมือผู้ผลิตตรึงราคาให้นานที่สุด มีมาตรการช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการเพื่อแบ่งเบาภาระต้นทุน เช่น ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ หาแหล่งวัตถุดิบราคาถูกทดแทนการนำเข้า เป็นต้น รวมถึงเพิ่มและขยายโครงการลดค่าครองชีพให้เป็นที่เชื่อถือ และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง
ขณะที่กรณีที่ 3 ยังคงใช้มาตรการเดียวกับกรณีที่หนึ่ง และสอง แต่จะเพิ่มความเข้มงวดขึ้นอีกด้วยการ กำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด และส่วนเหลื่อมการตลาด (กำไรแต่ละช่วงการขาย) กรณีเกิดปัญหาราคาและปริมาณจะใช้พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ.2542 และบริหารการนำเข้า-ส่งออก เช่น ห้ามส่งออกสินค้าที่จำเป็น และอนุญาตให้นำเข้าสินค้าบางรายการ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลค่าบริการสาธารณะ เช่น ค่าขนส่ง ค่ารถโดยสาร ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา รวมทั้งยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเห็นว่าหากรัฐบาลต้องการที่จะช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ก็ควรจะพิจารณาลด VAT ลงมาอย่างต่ำ 7% เหลือ 3%
" ตอนนี้ ยังอยู่ในกรณีที่หนึ่ง ซึ่งหากต่อไปราคาน้ำมันและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นก็จะมีมาตรการเข้มงวดเพิ่มเติม ตั้งแต่เพิ่มรายการสินค้าดูแล และหากรายการไหนมีปัญหามากๆ ก็จะจับเข้าบัญชีควบคุม เพื่อให้ดูแลได้ง่ายขึ้น " นายยรรยงกล่าว
รายงานข่าว แจ้งว่า เป้าหมายเงินเฟ้อปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าไม่เกิน 5-5.5% แต่เชื่อว่าอาจจะเกินจากนี้ กรมการค้าภายใน จึงต้องกำหนดกรณีดูแลราคาสินค้าอย่างเข้มงวด เพื่อหวังไม่ให้เงินเฟ้อเกินไปกว่าเป้าหมาย
**สศค.โต้ทันทีกระทบฐานะการคลัง
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า หากมีการเสนอขอลดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) ลงอีก อาจกระทบต่อฐานะทางการคลังอย่างมาก เพราะรัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่มเติมกระทบต่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่าจะเหลือเวลาเพียง 2 เดือนในปีงบประมาณปี 51 ก็เป็นเรื่องที่หนักพอสมควร สำหรับการจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะปัจจุบันประชาชนประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้นทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงไปมาก
**ลั่นไม่เคยเห็นยุคไหนลดภาษีมากสุด
นับว่าตั้งแต่ต้นปี 51 เป็นต้นมารัฐบาลได้ลดภาษีประเภทต่างๆ ให้กับทุกส่วนหลายประเภท ทั้งภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับการซื้อบ้าน ค่าธรรมการเนียมการโอน การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนรายใหม่จาก 30% ลดเหลือ25% การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีรายได้ปานกลางเฉลี่ยประมาณ 5,000 บาทต่อคน และยังลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงอีกจาก นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน นับว่าในปีนี้ถือเป็นการใช้นโยบายการคลังผ่านนโยบายภาษีมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา ดังนั้น หากกระทรวงพาณิชย์ขอลดภาษีลงมาอีกคงต้องหารืออย่างรอบคอบและต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลว่าจะตัดสินใจอย่างไร
**เอกชนหวังคลัง-พาณิชย์ประสานงานมากกว่านี้
นายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลจะเชิญนายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มานั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แทนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการปรับคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า ภาคเอกชนติดตามข่าวดังกล่าวอยู่ และหากเป็นจริงก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และต้องการเห็นการทำงานระหว่างคลังและพาณิชย์ที่เป็นทีมเดียวกันมากกว่าปัจจุบัน