xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองใหม่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (1)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ศูนย์นวัตกรรมความคิดทฤษฎี
สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
15 กรกฎาคม 2551


ประเทศไทยก้าวถึงจุดเปลี่ยนใหญ่

ณ วันนี้ ประเทศไทยได้ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนทางการเมืองอย่างแท้จริงแล้ว บนเส้นทางการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกำกับของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ภาคประชาชนเป็นเจ้าภาพ”

นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ ก็คืออำนาจการเมืองในมือของกลุ่มทุนจะถูกถ่ายโอนไปสู่มือของประชาชน จากอำนาจเพื่อคนกลุ่มน้อยไปเป็นอำนาจเพื่อคนส่วนใหญ่จากประชาธิปไตยกลุ่มทุนไปเป็นประชาธิปไตยประชาชน ซึ่งก็คือระบบการเมืองใหม่ที่มีความเป็นเอกลักษณ์แบบไทย เหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นจริงของประเทศไทย สามารถยังประโยชน์สูงสุดแก่ปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง

การเมืองใหม่ที่ว่า จะเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยประชาชนเอกลักษณ์ไทย” ก็ย่อมได้

ประชาธิปไตยประชาชนเอกลักษณ์ไทย คือเนื้อในที่เป็นเนื้อแท้ของการเมืองใหม่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หาใช่การเลิกล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่ประการใดไม่

ขอให้ทุกท่านทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดๆ ว่า ในบริบทของการเมืองใหม่นี้ ประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน ทุกเชื้อชาติศาสนา ทุกระดับชั้น ทุกสถานภาพ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ กลมกลืน สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย

ทั้งนี้ เพื่อเบิกทางให้แก่ประเทศไทย ในอันที่จะพัฒนาตนเองให้เจริญรุ่งเรืองรอบด้าน ใน “ยุคแห่งเอเชีย” ที่มีจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศสนธิสัญญาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เกาะกลุ่มกันทะยานขึ้นสู่ความเป็น “หัวรถจักร” ขับเคลื่อนความเจริญรอบใหม่ของสังคมโลก อันจะเป็นรอบของการเจริญร่วมกันทั้งโลกโดยไม่แยกเขาแยกเรา ซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

นั่นหมายถึงว่า ประเทศใดที่มีการปฏิรูปตนเองได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปทางการเมือง ก็จะยิ่งเกิดความพร้อมในการที่จะเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ใน “ยุคเอเชีย” นี้ พัฒนานำลิ่วไปก่อนคนอื่น

ปัจจุบัน ประเทศที่ได้สร้างความพร้อมให้กับตัวเองแล้วในระดับที่แตกต่างกัน แต่ที่โดดเด่นก็มี จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ รองลงมาก็เช่น มาเลเซีย และเวียดนาม

กล่าวโดยรวมๆ ก็คือ ประเทศเหล่านี้ได้พาตนเองหลุดพ้นจาก “วงจรอุบาทว์” ได้แล้วเป็นพื้นฐาน จึงได้แสดงพลังศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในการพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องนานนับสิบๆ ปี และไม่มีวี่แววว่าจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้แต่ประการใด ขณะที่ประเทศไทยยังวนเวียนอยู่ในวงจรแห่งปัญหาและวิกฤตแบบเดิมๆ ดังที่รู้ๆ กันอยู่ทั่วไป

ทำอย่างไรประเทศของเราจึงจะพาตัวให้พ้นไปจากวงจรอุบาทว์นี้เสียที กลายเป็นคำถามลึกๆ อยู่ในหัวใจของคนไทยทั่วไป และคอยบอกกับตนเองทุกเช้าเย็นว่า ขอแต่ให้มี “ช่องโอกาส” เกิดขึ้นเถอะน่า จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศเราก้าวพ้นจากขุมนรกนี้ให้ได้

การรวบซื้อประเทศไทยของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ได้จุดระเบิดวิกฤตทางการเมืองลูกใหญ่อย่างเฉียบพลัน และพลันมันก็ได้กลายเป็นโอกาสงามของขบวนการการเมืองภาคประชาชนในอันที่จะผลักดันให้เกิดกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองอย่างรอบด้านขึ้นในประเทศไทย สร้างความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืนเฉกเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในประเทศต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

ทำไมต้องเป็นขบวนการการเมืองภาคประชาชน? ก็เพราะไม่มีกลุ่มอำนาจอื่นใดสามารถแบกรับภารกิจทางประวัติศาสตร์นี้ได้ เนื่องจากพวกเขาได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า ไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ เช่น กลุ่มทหาร ทำได้แต่รัฐประหาร แต่บริหารประเทศไม่เป็น ส่วนกลุ่มทุนก็รู้แต่กอบโกยผลประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พันธมิตรฯ นำประชาชนสร้างการเมืองใหม่ได้

หลายคนคงต้องการคำตอบอย่างมากว่า ทำไมการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการต่อต้านระบอบทักษิณ ประกาศแนวทาง “ไม่เอาการเมืองเก่า” และ “สร้างการเมืองใหม่” ทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” ต่อสู้ล้มล้างอำนาจปกครองของกลุ่มทุนสามานย์ จึงมีเสียงขานรับอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีคนเข้าร่วมอย่างมากมายและนับวันยิ่งมากขึ้น กระทั่งมีแนวโน้มที่จะเป็นตัวแปรหรือปัจจัยชี้ขาดในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์นี้

เป็นเพราะบุคลิกเฉพาะตัวของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ความแน่วแน่ของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง หรือเพราะอะไรอื่นใดที่เป็นสาเหตุเฉพาะเจาะจง?

อาจใช่ แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด
คำตอบที่ถูกต้องคืออะไร คงต้องอาศัยทุกฝ่ายมาร่วมกันศึกษา วิเคราะห์หาคำตอบ แต่บทวิเคราะห์ต่อไปนี้ น่าจะพอทำให้มองเห็นความจริงได้ลางๆ เพื่อนำไปสู่การเข้าถึงแก่นแท้แห่งสัจธรรมร่วมกันในเวลาที่ไม่นานเกินรอ

แต่ก่อนที่จะเข้าถึงคำตอบนั้น ใคร่ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้รู้ผู้ตื่น ที่ทำงานทางด้านความคิดทฤษฎีที่มีจุดยืนเพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ว่าถ้าหากเราสามารถยืนหยัดอยู่ในหลักการที่เป็นวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างแท้จริง และมีวิธีการทำงานที่พลิกแพลงยืดหยุ่นไปตามสภาวะเป็นจริง ไม่ติดอยู่กับปรากฏการณ์ผิวเผิน โดยพยายามเข้าถึงและจับมั่นปัญหาที่เป็นปมเงื่อน ที่เป็นแก่นแท้ของปัญหา ที่เป็นเหตุปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ใครอยู่ตรงไหนก็ทำงานได้ ผลิตผลงานได้ และคำตอบที่ได้ก็จะสามารถให้คำตอบได้อย่างถูกต้องต่อสิ่งที่กำลังเป็นไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วผลงานที่ตั้งอยู่บนฐานความเป็นจริงของแต่ละท่านจะถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยเหตุปัจจัยใหม่ๆ ที่กำลังแตกตัวออกมาในท่ามกลางการพลิกผันของเหตุการณ์ และนำไปสู่การทำงานร่วมกันได้ในที่สุด

การทำงานแบบ “เอาจริงเอาจัง เอาการเอางาน” อย่างเป็นผู้กระทำอยู่ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง จะทำให้เกิดกระบวนการถักทอทางปัญญาอย่างเป็นรูปธรรม ไปปรากฏอยู่ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวของมวลชน หรือกระทั่งคณะผู้นำ

การทำงานในทำนองดังกล่าว จะทำให้ผลงานของแต่ละท่านเกิดผลทรงคุณค่าต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระดับที่แน่นอน โดยที่ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้ (ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น