เอเอฟพี/ผู้จัดการรายวัน - ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียปี2009 ลงเป็น 7.6% เนื่องจากสภาพสินเชื่อตึงตัวและราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ของไทยจะอยู่ในระดับ 5.2%
ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายนทีผ่านมา ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) เคยพยากรณ์เอาไว้ว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคปีหน้าจะขยายตัว 7.8% แต่ก็ได้บอกด้วยว่าอัตราการเติบโตจริงอาจจะน้อยกว่านี้หากว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในเอเชียรวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงย่ำแย่ลงไปอีก
แต่สำหรับปีนี้ รายงาน “เอเชีย อีโคโนมิก มอนิเตอร์” ของเอดีบี ฉบับล่าสุดที่นำออกเผยแพร่วานนี้ ยังคงประมาณการอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจเอเชียไว้ที่ 7.6% ในขณะที่มองว่าเศรษฐกิจจีนปี 2009 จะมีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 10% เป็นครั้งแรกในรอบห้าปี โดยในปี 2008 อัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ 9.9% และปีหน้าอยู่ที่ 9.7% ในขณะเดียวกันทางธนาคารก็คาดว่าอัตราเงินเฟ้อสำหรับเอเชียตะวันออกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.3% จากเดิม ที่คาดไว้ 5.1% เมื่อเดือนเมษายน เทียบกับอัตราเงินเฟ้อจริงของเมื่อปีก่อนที่อยู่ที่ 3.9%
รายงานบอกว่า เวียดนามเป็นประเทศที่น่าจะประสบปัญหาเงินเฟ้อสูงที่สุดในภูมิภาค
เอดีบีคาดว่าอัตราเงินเฟ้อปีนี้ของเวียดนามจะอยู่ที่ 19.4% และจะลดลงเป็น 10.2% ในปีหน้า และก็ได้เตือนทางการฮานอยให้ "ดำเนินมาตรการอันเฉียบคมและรวดเร็วเพื่อป้องกันมิให้เศรษฐกิจย่ำแย่ไปมากกว่านี้"
นอกจากนี้ธนาคารก็ยังได้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆใช้ "มาตรการการเงินอย่างเข้มงวด" เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อให้ได้ มิให้ลุกลามกลายเป็นปัญหาหน่วงเหนี่ยวอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ลดลงไปจากเดิม เพราะว่ามีรัฐบาลหลายแห่งนั้น "ตกเคิร์ฟ" หรือทำงานไม่มีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้ปัญหาหยั่งรากลึกลงไปทั่วทั้งเศรษฐกิจ
"ความเสี่ยงของความเฉื่อยเนือยในเรื่องนี้กำลังเพิ่มขึ้น หน่วยงานด้านการเงินของรัฐบาลต่าง ๆในภูมิภาคควรจะออกนโยบายป้องกันที่เข้มงวดกว่าเดิมออกมาได้แล้ว" เอดีบีกล่าว
แม้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ในประเทศเอเชียที่กำลังพัฒนาขยายตัวแข็งแกร่งกว่าที่คาดเอาไว้ แต่ในไตรมาสสองอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงเพราะว่าการชะลอตัวจากประเทศอุตสาหกรรมเริ่มส่งผลกระทบเข้ามาในภูมิภาคแล้ว
ธนาคารยังชี้อีกว่าอัตราการเติบโตของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมของภูมิภาคซึ่งได้แก่ ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์และไต้หวันจะชะลอลงเหลือ 4.7% ในปีนี้เพราะว่าการส่งออกอ่อนตัว แต่ในปีหน้าอัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.9%
ส่วนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจรวมของประเทศในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) น่าจะลดลงเหลือ 5.5% ในปีนี้ ส่วนปีหน้าจะขยับขึ้นเป็น 5.8% โดยอัตราการเติบโตในอินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์จะลดความเร็วลงกว่าปีก่อน
อย่างไรก็ตาม สำหรับไทยนั้น เอดีบีคาดหมายว่าเศรษฐกิจกลับจะขยายตัวจาก 4.8% ในปีที่แล้ว เป็น 5.0%ในปีนี้ และ 5.2% ในปีหน้า โดยที่ในปีนี้ การเติบโตสูงขึ้นจะมาจากนโยบายการคลังที่มุ่งการขยายตัว อีกทั้งมีการใช้นโยบายการเงินที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยแก้ปัญหาอัตราการส่งออกที่ลดต่ำ กระนั้นก็ตาม อัตราเติบโตของไทยก็ยังคงต่ำที่สุดในหมู่สมาชิกอาเซียน
เอดีบียังเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้จะฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ไปได้ "ค่อนข้างดี" แต่ธนาคารกลางจะต้องเหนื่อยหนักเพราะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ตรงกันข้ามกันสองประการก็คือต้องการควบคุมเงินเฟ้อแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจไปด้วย
ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายนทีผ่านมา ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) เคยพยากรณ์เอาไว้ว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคปีหน้าจะขยายตัว 7.8% แต่ก็ได้บอกด้วยว่าอัตราการเติบโตจริงอาจจะน้อยกว่านี้หากว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในเอเชียรวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงย่ำแย่ลงไปอีก
แต่สำหรับปีนี้ รายงาน “เอเชีย อีโคโนมิก มอนิเตอร์” ของเอดีบี ฉบับล่าสุดที่นำออกเผยแพร่วานนี้ ยังคงประมาณการอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจเอเชียไว้ที่ 7.6% ในขณะที่มองว่าเศรษฐกิจจีนปี 2009 จะมีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 10% เป็นครั้งแรกในรอบห้าปี โดยในปี 2008 อัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ 9.9% และปีหน้าอยู่ที่ 9.7% ในขณะเดียวกันทางธนาคารก็คาดว่าอัตราเงินเฟ้อสำหรับเอเชียตะวันออกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.3% จากเดิม ที่คาดไว้ 5.1% เมื่อเดือนเมษายน เทียบกับอัตราเงินเฟ้อจริงของเมื่อปีก่อนที่อยู่ที่ 3.9%
รายงานบอกว่า เวียดนามเป็นประเทศที่น่าจะประสบปัญหาเงินเฟ้อสูงที่สุดในภูมิภาค
เอดีบีคาดว่าอัตราเงินเฟ้อปีนี้ของเวียดนามจะอยู่ที่ 19.4% และจะลดลงเป็น 10.2% ในปีหน้า และก็ได้เตือนทางการฮานอยให้ "ดำเนินมาตรการอันเฉียบคมและรวดเร็วเพื่อป้องกันมิให้เศรษฐกิจย่ำแย่ไปมากกว่านี้"
นอกจากนี้ธนาคารก็ยังได้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆใช้ "มาตรการการเงินอย่างเข้มงวด" เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อให้ได้ มิให้ลุกลามกลายเป็นปัญหาหน่วงเหนี่ยวอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ลดลงไปจากเดิม เพราะว่ามีรัฐบาลหลายแห่งนั้น "ตกเคิร์ฟ" หรือทำงานไม่มีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้ปัญหาหยั่งรากลึกลงไปทั่วทั้งเศรษฐกิจ
"ความเสี่ยงของความเฉื่อยเนือยในเรื่องนี้กำลังเพิ่มขึ้น หน่วยงานด้านการเงินของรัฐบาลต่าง ๆในภูมิภาคควรจะออกนโยบายป้องกันที่เข้มงวดกว่าเดิมออกมาได้แล้ว" เอดีบีกล่าว
แม้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ในประเทศเอเชียที่กำลังพัฒนาขยายตัวแข็งแกร่งกว่าที่คาดเอาไว้ แต่ในไตรมาสสองอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงเพราะว่าการชะลอตัวจากประเทศอุตสาหกรรมเริ่มส่งผลกระทบเข้ามาในภูมิภาคแล้ว
ธนาคารยังชี้อีกว่าอัตราการเติบโตของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมของภูมิภาคซึ่งได้แก่ ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์และไต้หวันจะชะลอลงเหลือ 4.7% ในปีนี้เพราะว่าการส่งออกอ่อนตัว แต่ในปีหน้าอัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.9%
ส่วนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจรวมของประเทศในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) น่าจะลดลงเหลือ 5.5% ในปีนี้ ส่วนปีหน้าจะขยับขึ้นเป็น 5.8% โดยอัตราการเติบโตในอินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์จะลดความเร็วลงกว่าปีก่อน
อย่างไรก็ตาม สำหรับไทยนั้น เอดีบีคาดหมายว่าเศรษฐกิจกลับจะขยายตัวจาก 4.8% ในปีที่แล้ว เป็น 5.0%ในปีนี้ และ 5.2% ในปีหน้า โดยที่ในปีนี้ การเติบโตสูงขึ้นจะมาจากนโยบายการคลังที่มุ่งการขยายตัว อีกทั้งมีการใช้นโยบายการเงินที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยแก้ปัญหาอัตราการส่งออกที่ลดต่ำ กระนั้นก็ตาม อัตราเติบโตของไทยก็ยังคงต่ำที่สุดในหมู่สมาชิกอาเซียน
เอดีบียังเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้จะฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ไปได้ "ค่อนข้างดี" แต่ธนาคารกลางจะต้องเหนื่อยหนักเพราะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ตรงกันข้ามกันสองประการก็คือต้องการควบคุมเงินเฟ้อแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจไปด้วย
