พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบช.ก. เปิดเผยวานนี้ (18 ก.ค.) ถึงคดีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พูดจาจาบจ้วง เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า ยังไม่ได้รับรายงานทั้งทางวาจา และสรุปสำนวนเอกสารจากหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนคดี ที่มี พล.ต.ต.สมเดช ขาวขำ รองผบช.ก. เป็นประธานดูแล แต่ที่ผ่านมานายจักรภพ ได้นำคำชี้แจงคำแปล ในส่วนของตนเองมามอบให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว
ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงการทำคดีไม่เป็นธรรม ไม่ใปร่งใส จะให้เกิดความลำเอียงทำให้เรื่องไม่กระจ่างต่อสังคมนั้น พล.ต.ท.สมยศ ยืนยันว่า ไม่มีเกิดขึ้นแน่นอน ที่สำคัญมีคณะกรรมการกลั่นกรองตรวจสอบคดีนี้ถึง 3 ขั้นตอน คือ จากกองปราบปราม จากคณะกรรมการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และคณะกรรมการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สนช.)
ผู้สื่อข่าวถามว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ออกหมายจับนายจักรภพ ดั่งเช่นผู้ต้องหารายอื่นที่กระทำผิดเข้าขายหมิ่นเบื้องสูง จนถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า นายจักรภพ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง ไม่มีบ่ายเบี่ยง ให้ความร่วมมือพนักงานสอบสวนด้วยดี
“นายจักรภพเขาเป็นมวยอยู่แล้ว เคยเป็นถึงรัฐมนตรีเขารู้ว่าต้องทำตัวเช่นไร จึงเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยความสมัครใจเอง เขารู้ดีว่าต้องปฏิบัติตัวตามขบวนการยุติธรรม หากเปรียบกับคดี คตส.แล้ว ออกหมายเรียกไปไม่มาพบ เรื่องหมายจับจึงแตกต่างกัน เรื่องที่จะไปเข้าข้างใครไม่มี” พล.ต.ท.สมยศกล่าว
ผู้สื่อข่าถามว่มีการมองว่าผู้ที่เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนเป็นตำรวจ เพื่อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะส่งผลให้คดีพลิกจากดำเป็นขาว หรือไม่ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า ไม่มี และไม่มีใครชี้นำใครได้ โดยเฉพาะตนไม่ถูกครอบงำหรือถูกใครมาสั่งการเป็นพิเศษ แต่ทุกอย่างต้องทำตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ ทำตามขั้นตอนกฎหมายเท่านั้น
สำหรับกรณีนี้ จะเป็นแค่คดีมวยล้มต้มคนดูหรือไม่นั้น พล.ต.ท.สมยศ กล่าวเสียงเข้มว่า ไม่มี ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก คดีมีมูลมากน้อยขึ้นอยู่กับการสอบพยาน และมีหลักฐานพอเพียงส่งอัยการฟ้อง และต้องให้คณะกรรมการทั้ง 3 ชุด ตรวจสอบเห็นชอบ ตนไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว และมีอำนาจไปสั่ง หรือแทรกแซงได้
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่นำประชาชนบุกบ้านสีเสาเทเวศน์ ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จนถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อจราจลหน้าบ้านสี่เสาเทเวศน์ กล่าวเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการกับนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในระหว่างการกล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ออกหมายจับนายสมเกียรติ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ยังไม่ปรากฎว่ามีคนในพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค จนถึงลูกพรรคคนอื่นๆจะออกมาแสดงท่าทีเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแม้แต่คนเดียว
ซึ่งแตกต่างจากคราวที่ พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการกับ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกล่าวหาด้วยข้อกล่าวหาเดียวกับนายสมเกียรติ ซึ่งทั้งพรรคประชาธิปัตย์แสดงออกว่าอดทนไม่ได้ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะพิจารณาและแสดงภาวะผู้นำดำเนินการอย่างไรให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
“การไม่ดำเนินการจะทำให้ประชาชนทั้งประเทศจะมองเห็นว่าที่จริงแล้ว ความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์เป็นเพียงการดำเนินการทางการเมืองกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น และหากยังหลบเลี่ยงไม่แสดงความชัดเจนในกรณีดังกล่าว พรรคประชาธิปัตย์ควรใช้โอกาสของเทศกาลเข้าพรรษาพากันบวชปากกันทั้งพรรคเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อยุติการพูดเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง”
ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงการทำคดีไม่เป็นธรรม ไม่ใปร่งใส จะให้เกิดความลำเอียงทำให้เรื่องไม่กระจ่างต่อสังคมนั้น พล.ต.ท.สมยศ ยืนยันว่า ไม่มีเกิดขึ้นแน่นอน ที่สำคัญมีคณะกรรมการกลั่นกรองตรวจสอบคดีนี้ถึง 3 ขั้นตอน คือ จากกองปราบปราม จากคณะกรรมการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และคณะกรรมการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สนช.)
ผู้สื่อข่าวถามว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ออกหมายจับนายจักรภพ ดั่งเช่นผู้ต้องหารายอื่นที่กระทำผิดเข้าขายหมิ่นเบื้องสูง จนถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า นายจักรภพ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง ไม่มีบ่ายเบี่ยง ให้ความร่วมมือพนักงานสอบสวนด้วยดี
“นายจักรภพเขาเป็นมวยอยู่แล้ว เคยเป็นถึงรัฐมนตรีเขารู้ว่าต้องทำตัวเช่นไร จึงเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยความสมัครใจเอง เขารู้ดีว่าต้องปฏิบัติตัวตามขบวนการยุติธรรม หากเปรียบกับคดี คตส.แล้ว ออกหมายเรียกไปไม่มาพบ เรื่องหมายจับจึงแตกต่างกัน เรื่องที่จะไปเข้าข้างใครไม่มี” พล.ต.ท.สมยศกล่าว
ผู้สื่อข่าถามว่มีการมองว่าผู้ที่เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนเป็นตำรวจ เพื่อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะส่งผลให้คดีพลิกจากดำเป็นขาว หรือไม่ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า ไม่มี และไม่มีใครชี้นำใครได้ โดยเฉพาะตนไม่ถูกครอบงำหรือถูกใครมาสั่งการเป็นพิเศษ แต่ทุกอย่างต้องทำตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ ทำตามขั้นตอนกฎหมายเท่านั้น
สำหรับกรณีนี้ จะเป็นแค่คดีมวยล้มต้มคนดูหรือไม่นั้น พล.ต.ท.สมยศ กล่าวเสียงเข้มว่า ไม่มี ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก คดีมีมูลมากน้อยขึ้นอยู่กับการสอบพยาน และมีหลักฐานพอเพียงส่งอัยการฟ้อง และต้องให้คณะกรรมการทั้ง 3 ชุด ตรวจสอบเห็นชอบ ตนไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว และมีอำนาจไปสั่ง หรือแทรกแซงได้
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่นำประชาชนบุกบ้านสีเสาเทเวศน์ ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จนถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อจราจลหน้าบ้านสี่เสาเทเวศน์ กล่าวเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการกับนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในระหว่างการกล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ออกหมายจับนายสมเกียรติ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ยังไม่ปรากฎว่ามีคนในพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค จนถึงลูกพรรคคนอื่นๆจะออกมาแสดงท่าทีเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแม้แต่คนเดียว
ซึ่งแตกต่างจากคราวที่ พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการกับ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกล่าวหาด้วยข้อกล่าวหาเดียวกับนายสมเกียรติ ซึ่งทั้งพรรคประชาธิปัตย์แสดงออกว่าอดทนไม่ได้ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะพิจารณาและแสดงภาวะผู้นำดำเนินการอย่างไรให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
“การไม่ดำเนินการจะทำให้ประชาชนทั้งประเทศจะมองเห็นว่าที่จริงแล้ว ความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์เป็นเพียงการดำเนินการทางการเมืองกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น และหากยังหลบเลี่ยงไม่แสดงความชัดเจนในกรณีดังกล่าว พรรคประชาธิปัตย์ควรใช้โอกาสของเทศกาลเข้าพรรษาพากันบวชปากกันทั้งพรรคเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อยุติการพูดเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง”