ผู้จัดการรายวัน - ธนมิตร แฟคตอริ่ง ฟุ้งปีนี้ตั้งเป้ารายได้โต 10% พร้อม ดันพอร์ตสินเชื่อปีนี้โต 11,000 ล้านบาท แม้การเมืองวุ่น เศรษฐกิจซบ มั่นใจความต้องการสินเชื่อยังสูง เหตุแบงก์เข้มงวด ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี หันมาพึ่งบริษัทแฟคตอริ่งมากขึ้น เผยผลงานไตรมาส 2 ยังออกมาดี
นายวิวัฒน์ คงคาสัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนมิตร แฟคตอริ่ง จำกัด ( มหาชน)(DM) เปิด เผยว่าผลงานไตรมาส 2 ที่เพิ่งปิดงบและรออยู่ระหว่างการตรวจสอบงบการเงินของผู้ตรวจสอบบัญชี พบว่าเป็นไปได้ตามเป้าหมาย ซึ่งสูงกว่าไตรมาสแรก และเชื่อว่าผลงานทั้งปีน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยบริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ระดับ 10 % หรือประมาณ 150 ล้านบาท จากปี 50 ที่บริษัททำรายได้รวมปีดังกล่าวได้ที่ 130 ล้านบาท ขณะที่คาดว่ากำไรก็น่าจะเติบโตในทิศทาง เดียวกัน
เนื่องจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมา DM มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นสูงจากเดิมที่มี 400 ราย ก็เพิ่มเป็นกว่า 500 ราย แล้วในปัจจุบัน และเชื่อว่าเมื่อสิ้นปีนี้บริษัทน่าจะมีลูกค้าเพิ่มอีกระดับ เพราะจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยเอื้อ การเมืองยังไม่นิ่ง ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ต้องระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นผลดีทำให้มีลูกค้าบางส่วนหันมาใช้บริการของบริษัท แฟคตอริ่ง
"แต่การปล่อยสินเชื่อ เราต้องหันมาเน้นการบริหารต้นทุนการดำเนินงาน เพราะปีที่ผ่านมาเป็นช่วงดอกเบี้ยขาลงเป็นโอกาสที่บริษัทเร่งดำเนินธุรกิจให้เติบโต ถือว่าเป็นปีที่ดี ขณะที่ปีนี้ภาวะ ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขึ้นเราก็ต้องปรับการทำงานของเราให้ตามกระแส และเราต้องปรับการกู้เงินจากแบงก์เป็นระยะยาวมากขึ้น โดยปกติเราจะกู้ปีละประมาณ 1 พันล้านบาทและจะมีส่วนต่างของกำไรจากการกู้เงินเพื่อนำมาปล่อยกู้ ประมาณ 7-8% " นายวิวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อหลายปีก่อน DM ประสบภาวะเกิดหนี้เสีย ทำให้ต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมและเพิ่งล้างหมด เมื่อปี 49 ปัจจุบัน DM ปล่อยสินเชื่อ เดือนละ 900-1 พันล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนปล่อยที่ 800-900 ล้านบาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้นถึง 20% ขณะที่มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น 5-10%
ปัจจุบัน ธุรกิจแฟตตอริ่งได้รับความสนใจจากธนาคารพานิชย์ที่จะหันมาให้บริการมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง เพราะธุรกิจนี้โดยรวมมีอัตราการเติบโตปีละ 40- 50% แต่ บริษัทเชื่อว่าจากความชำนาญและถนัดในการทำธุรกิจนี้มานานกว่า ย่อมได้เปรียบรายใหม่บวกกับฐานลูกค้าเดิมที่อยู่ รวมทั้งลูกค้าใหม่ที่จะมีเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับปีนี้ DM ตั้งเป้าที่จะดันพอร์ตสินเชื่อให้ได้ถึง 11,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อแล้ว 5-6 พันล้านบาท แม้ภาวะเศรษฐกิจจะซบและการ เมืองยังไม่นิ่ง แต่เชื่อว่าความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการยังมีต่อเนื่อง เพราะลูกค้าเอสเอ็มอีและอยู่ในกลุ่มที่ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภค และเป็นผู้ผลิตสินค้าระดับกลางลงไปหาล่าง ก็ยังสามารถเพิ่มกำลังผลิตและจำหน่ายได้ต่อเนื่อง
โดยลูกค้าของ DM ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจเอสเอ็มอี ดังนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยเช่นปัจจุบัน DM ก็พยายามดูแลลูกค้าและเลือกปล่อยสินเชื่อ และภาพรวมโดยทั่วไปปีนี้ถือว่าลำบาก เพราะผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลต่อยอดขายของผู้ประกอบการ ซึ่งนอกจากการปล่อยสินเชื่อแล้ว DM ก็คอยให้คำปรึกษากับลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการ เพื่อให้ระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยลูกค้าที่ผลิตสินค้าจำเป็นจะยังมียอดขายเพิ่ม สวนทางกับผู้ผลิตสินค้าฟุ่มเฟือยที่ยอดขายลดลง
สำหรับไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 12.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.36 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มเกือบ 30% ขณะที่มีรายได้รวม 34.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 31.37 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1/2551 จำนวน 34.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 3.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.60 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อน มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มเล็กน้อย ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง
นายวิวัฒน์ คงคาสัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนมิตร แฟคตอริ่ง จำกัด ( มหาชน)(DM) เปิด เผยว่าผลงานไตรมาส 2 ที่เพิ่งปิดงบและรออยู่ระหว่างการตรวจสอบงบการเงินของผู้ตรวจสอบบัญชี พบว่าเป็นไปได้ตามเป้าหมาย ซึ่งสูงกว่าไตรมาสแรก และเชื่อว่าผลงานทั้งปีน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยบริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ระดับ 10 % หรือประมาณ 150 ล้านบาท จากปี 50 ที่บริษัททำรายได้รวมปีดังกล่าวได้ที่ 130 ล้านบาท ขณะที่คาดว่ากำไรก็น่าจะเติบโตในทิศทาง เดียวกัน
เนื่องจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมา DM มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นสูงจากเดิมที่มี 400 ราย ก็เพิ่มเป็นกว่า 500 ราย แล้วในปัจจุบัน และเชื่อว่าเมื่อสิ้นปีนี้บริษัทน่าจะมีลูกค้าเพิ่มอีกระดับ เพราะจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยเอื้อ การเมืองยังไม่นิ่ง ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ต้องระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นผลดีทำให้มีลูกค้าบางส่วนหันมาใช้บริการของบริษัท แฟคตอริ่ง
"แต่การปล่อยสินเชื่อ เราต้องหันมาเน้นการบริหารต้นทุนการดำเนินงาน เพราะปีที่ผ่านมาเป็นช่วงดอกเบี้ยขาลงเป็นโอกาสที่บริษัทเร่งดำเนินธุรกิจให้เติบโต ถือว่าเป็นปีที่ดี ขณะที่ปีนี้ภาวะ ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขึ้นเราก็ต้องปรับการทำงานของเราให้ตามกระแส และเราต้องปรับการกู้เงินจากแบงก์เป็นระยะยาวมากขึ้น โดยปกติเราจะกู้ปีละประมาณ 1 พันล้านบาทและจะมีส่วนต่างของกำไรจากการกู้เงินเพื่อนำมาปล่อยกู้ ประมาณ 7-8% " นายวิวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อหลายปีก่อน DM ประสบภาวะเกิดหนี้เสีย ทำให้ต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมและเพิ่งล้างหมด เมื่อปี 49 ปัจจุบัน DM ปล่อยสินเชื่อ เดือนละ 900-1 พันล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนปล่อยที่ 800-900 ล้านบาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้นถึง 20% ขณะที่มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น 5-10%
ปัจจุบัน ธุรกิจแฟตตอริ่งได้รับความสนใจจากธนาคารพานิชย์ที่จะหันมาให้บริการมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง เพราะธุรกิจนี้โดยรวมมีอัตราการเติบโตปีละ 40- 50% แต่ บริษัทเชื่อว่าจากความชำนาญและถนัดในการทำธุรกิจนี้มานานกว่า ย่อมได้เปรียบรายใหม่บวกกับฐานลูกค้าเดิมที่อยู่ รวมทั้งลูกค้าใหม่ที่จะมีเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับปีนี้ DM ตั้งเป้าที่จะดันพอร์ตสินเชื่อให้ได้ถึง 11,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อแล้ว 5-6 พันล้านบาท แม้ภาวะเศรษฐกิจจะซบและการ เมืองยังไม่นิ่ง แต่เชื่อว่าความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการยังมีต่อเนื่อง เพราะลูกค้าเอสเอ็มอีและอยู่ในกลุ่มที่ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภค และเป็นผู้ผลิตสินค้าระดับกลางลงไปหาล่าง ก็ยังสามารถเพิ่มกำลังผลิตและจำหน่ายได้ต่อเนื่อง
โดยลูกค้าของ DM ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจเอสเอ็มอี ดังนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยเช่นปัจจุบัน DM ก็พยายามดูแลลูกค้าและเลือกปล่อยสินเชื่อ และภาพรวมโดยทั่วไปปีนี้ถือว่าลำบาก เพราะผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลต่อยอดขายของผู้ประกอบการ ซึ่งนอกจากการปล่อยสินเชื่อแล้ว DM ก็คอยให้คำปรึกษากับลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการ เพื่อให้ระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยลูกค้าที่ผลิตสินค้าจำเป็นจะยังมียอดขายเพิ่ม สวนทางกับผู้ผลิตสินค้าฟุ่มเฟือยที่ยอดขายลดลง
สำหรับไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 12.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.36 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มเกือบ 30% ขณะที่มีรายได้รวม 34.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 31.37 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1/2551 จำนวน 34.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 3.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.60 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อน มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มเล็กน้อย ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง
