xs
xsm
sm
md
lg

“เบิร์กไชร์”ของ“บัฟเฟตต์” เข้าสู่ภาวะ“ตลาดหมี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รอยเตอร์ – ราคาหุ้นบริษัทเบิร์กไชร์แฮธาเวย์อิงก์ ของ วอร์เรนต บัฟเฟตต์ ก็กำลังร่วงหล่นเข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” เหมือนกัน ไม่เพียงแต่ดัชนีสำคัญของตลาดวอลล์สตรีทเท่านั้น กระนั้นก็ตาม นักวิเคราะห์และนักลงทุนมองว่าไม่น่าวิตกกังวลอะไร และตลาดหลักทรัพย์ย่ำแย่คราวนี้กลับจะเป็นโอกาสให้อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งโลกผู้นี้ ได้เข้าซื้อหาพวกบริษัทที่ลงหลักปักฐานแล้ว เพิ่มเข้ามาในพอร์ตมากขึ้นอีกด้วยซ้ำ

เบิร์กไชร์ -บริษัทที่มีกิจการสำคัญทางด้านการประกันภัยและการลงทุนของบัฟเฟตต์แห่งนี้ ขณะนี้มีราคาหุ้นลดฮวบลงมากว่า 20% จากช่วงที่ขึ้นไปสูงสุดรอบล่าสุด นับว่าอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรกภายหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2003 เป็นต้นมา

การถอยรูดลงมา 20% เช่นนี้ ตามคำจำกัดความซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ก็คือเท่ากับการหล่นลงมาสู่ภาวะ “ตลาดหมี” อันซึมเซาเศร้าสร้อยนั่นเอง ทั้งนี้ ดัชนีสำคัญของตลาดวอลล์สตรีทต่างก็ไหลลงสู่ตลาดหมีกันถ้วนหน้าแล้ว โดยที่ดัชนีตลาดแนสแดคเข้ามาอยู่ในสภาพนี้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ส่วนดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม และดัชนีหุ้นสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ 500 ในวันที่ 9 กรกฎาคม

สำหรับหุ้นประเภทเอ ของเบิร์กไชร์ เมื่อตอนปิดวันศุกร์(11) ได้หล่นลงมา 22.5% จากระยะที่ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดในวันที่ 11 ธันวาคม 2007 ณ ราคา 151,650 ดอลลาร์ ในวันจันทร์(14)ช่วงบ่ายๆ ราคายังคงหล่นต่อมาอีก 1,650 ดอลลาร์ อยู่ที่ 115,850 ดอลลาร์ ทางด้านหุ้นประเภทบีนั้น มีการซื้อขายกันในระดับประมาณเศษ 1 ส่วน 30 ของราคาหุ้นประเภทเอ

แวแฮน จันจิเกียน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Even Buffet Isn’t Perfect” (กระทั่งบัฟเฟตต์ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบ) ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นว่า เรื่องอย่างนี้เป็นสิ่งที่น่าจะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

“กิจการประกันภัยเป็นตัวที่ทำกำไรให้แก่เบิร์กไชร์จำนวนมหึมา แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะทำให้ได้พรีเมียมพิเศษ อย่างที่พวกเขาเคยทำได้ในช่วงไม่นานที่ผ่านมานี้อีกแล้ว” เขาอธิบาย “ผมคิดว่าต้องถือเป็นข่าวดีด้วยซ้ำที่หุ้นเบิร์กไชร์ลดลงมาเพียง 20% เมื่อคุณเปรียบเทียบเบิร์กไชร์กับพวกซิตี้กรุ๊ป, แฟนนี เม, เฟรดดี แมค หรือบริษัททางด้านการเงินใหญ่ๆ แห่งอื่นๆ คุณก็จะเห็นว่าแท้ที่จริงแล้วเบิร์กไชร์ยังกำลังทำได้อย่างดีมาก”

เบิร์กไชร์ยังไม่ได้แสดงความเห็นอะไรในเรื่องนี้ในตอนนี้ แต่ครั้งที่เบิร์กไชร์จัดการประชุมประจำปีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ณ เมืองโอมาฮา มลรัฐเนแบรสกา บัฟเฟตต์ได้เคยพูดไว้แล้วว่า “ไม่ต้องมีคำถามกันเลย” เพราะผลตอบแทนของบริษัทจะต้องลดต่ำลงแน่นอน และพวกผู้ถือหุ้นที่คาดหมายว่าผลประกอบการยังจะสามารถซ้ำรอยอดีตที่ผ่านมา ควรที่จะขายหุ้นของพวกเขาออกไปดีกว่า อภิมหาเศรษฐีนักลงทุนผู้นี้แนะนำ

ทั้งนี้เบิร์กไชร์ทำกำไรประมาณครึ่งหนึ่งจากกิจการประกันภัย แต่ดัชนีประกันภัยของสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ ในวันศุกร์(11)ที่แล้ว ได้ลดต่ำลงถึง 32% แล้วนับตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคมเป็นต้นมา

บัฟเฟตต์นั้นถือหุ้นอยู่ประมาณ 27% ในเบิร์กไชร์ ซึ่งมูลค่าตามราคาตลาดหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 182,000 ล้านดอลลาร์หากคิดคำนวณจากราคาในวันศุกร์ นิตยสารฟอร์บส์ฉบับเดือนมีนาคม ได้จัดอันดับให้เขาขึ้นเป็นอภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งเป็นอันดับหนึ่งของโลก ถึงแม้บัฟเฟตต์ที่เวลานี้อายุ 77 ปีแล้ว กำลังอยู่ระหว่างการทยอยบริจาคทรัพย์สินจำนวนมากของเขาให้แก่กิจการการกุศล

เบิร์กไชร์นั้นเป็นเจ้าของธุรกิจต่างๆ ราว 76 แห่งที่มีความแตกต่างหลายหลากมาก ตั้งแต่ การประกันภัยรถยนต์, การขายพรม, การให้เช่าเครื่องบินไอพ่นแก่บริษัทธุรกิจ, ไอศกรีม, การผลิตบ้านสำเร็จรูป, สี, และชุดชั้นใน

นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม เบิร์กไชร์ยังเข้าไปลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้คิดเป็นมูลค่ารวม 111,000 ล้านดอลลาร์ ในบริษัทแบรนด์เนมดังๆ อย่างเช่น อเมริกันเอกซเพรส, โคคาโคล่า, พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล, และเวลส์ฟาร์โก

หุ้นที่ถือครองไว้เหล่านี้มีจำนวนมากทีเดียวที่ราคาตกลงไปในภาวะที่ตลาดหลักทรัพย์กำลังย่ำแย่เช่นนี้ อย่างเมื่อวันจันทร์ หุ้นของ เอ็มแอนด์ที แบงก์ คอร์ป ที่มีรายงานว่าเบิร์กไชร์ถือหุ้นอยู่ 6.1% มีราคาไหลรูดสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง หลังจากธนาคารระดับท้องถิ่นในย่านมิดแอตแลนติกแห่งนี้แถลงว่า ประสบปัญหาขาดทุนจากสินเชื่อ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้ผลกำไรรอบไตรมาสลดฮวบลง 25%

กระนั้นก็ตามที เบิร์กไชร์ในช่วงหลังๆ นี้กลับกำลังแสดงบทบาทเป็นเสมือนนายแบงก์ ที่พร้อมจะปล่อยเงินกู้สำหรับอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน ในยามที่ภาวะตลาดทุนตึงตัวกำลังทำให้การทำข้อตกลงซื้อขายควบรวมกิจการเป็นสิ่งที่กระทำได้ลำบากมาก

อาทิ ในสัปดาห์ที่แล้ว บัฟเฟตต์ควักเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยให้ บริษัทดาวเคมิคอล สามารถซื้อกิจการคู่แข่ง คือ โรห์มแอนด์ฮาส ได้สำเร็จ หรือในเดือนเมษายน เขาก็ตกลงออกเงิน 6,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยบริษัทมาร์สอิงก์ ในการซื้อบริษัทหมากฝรั่ง ริกลีย์

ณ สิ้นเดือนมีนาคม เบิร์กไชร์มียอดเงินสดอยู่ 35,600 ล้านดอลลาร์ โดยที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “AAA” มานมนานแล้ว นอกจากนั้น บริษัทประกันพันธบัตรเทศบาล ที่เป็นกิจการเปิดใหม่ของเบิร์กไชร์ ยังกำลังชิงธุรกิจแย่งส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งขันหน้าเดิมๆ อย่าง เอ็มเบีย อิงก์ และ แอมแบค ไฟแนนเชียล กรุ๊ป อิงก์ ซึ่งกำลังประสบความลำบากหนักหน่วง จากการไปขยายตัวทำธุรกิจประกันตราสารหนี้ที่อิงกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทซับไพรม์

“จริงๆ แล้วนี่คือสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับเบิร์กไชร์” เป็นความเห็นของ โธมัส รุสโซ หุ้นส่วนระดับจัดการรายหนึ่งของ การ์ดเนอร์, รุสโซ, แอนด์ การ์ดเนอร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองแลงแคสเตอร์ มลรัฐเพนซิลเวเนีย และก็เป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของเบิร์กไชร์ “เมื่อดูจากสภาพคล่องที่บริษัทมีอยู่ บริษัทกำลังอยู่ในฐานะที่โชคดีมาก ซึ่งจะทำให้มีโอกาสมากกว่าที่จะกลายเป็นภาระ”

เมื่อเดือนพฤษภาคม บัฟเฟตต์เดินทางไปยุโรปเพื่อมองหาลู่ทางโอกาสในการลงทุน รวมทั้งการซื้อกิจการต่างๆ ที่น่าสนใจ จันจิเกียนคาดหมายว่า บัฟเฟตต์จะอาศัยภาวะความลำบากของตลาดการเงินในปัจจุบัน มาเป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อกิจการหรือเข้าซื้อหุ้นจำนวนมาก ในบรรดาบริษัทที่ลงหลักปักฐานมั่นคงแล้ว

“คุณสามารถวางเดิมพันในเรื่องนี้ได้เลย เมื่อดูจากความอ่อนแอในตลาดหุ้นแล้ว เราน่าจะได้เห็นข่าวคราวเพิ่มมากกว่านี้เยอะแยะจากเบิร์กไชร์” เขากล่าวต่อ
กำลังโหลดความคิดเห็น