นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประธิปัตย์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 แถลงความคืบหน้าในการพิจารณางบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่อยู่ในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ ทีมีการขอซื้อเครื่องบินขนาดเล็ก 3 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ รวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยคณะกรรมาธิการฯ ตั้งข้อสังเกตว่า งบตรงนี้เป็นงบผูกพันจากปี 51 ที่ขอซื้อไป รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมามีการประกวดราคาที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะมีการประมูลงานโดยวิธิ อี-ออคชั่น (ผ่านอินเตอร์เน็ต) แต่ปรากฎว่า การจัดซื้อเครื่องบินขนาดเล็ก ลำแรก ที่มีมูลค่ากว่า 95 ล้านบาท เหลือผู้ประมูลเพียงรายเดียว เนื่องจากบริษัทอื่นๆ ขาดคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง และข้อสังเกตที่สำคัญคือ ตามธรรมเนียมในมาตรการการจัดซื้อเครื่องบิน ต้องจ่ายเงินงวดแรก 15% แต่กระทรวงเกษตรฯกลับจ่าย เงินก้อนแรกไป 20% เท่ากับเสียค่าโง่ไป 5%
นอกจากนี้คณะกรรมาธิการฯ ยังตั้งข้อสังเกตของกรมชลประทาน ในการของบประมาณ มูลค่า 35,600 ล้านบาท โดยเฉพาะการตั้งบผูกพัน ปี 51-53 ในสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งตามระเบียบของสำนักงบประมาณ ในแต่ละปี จะตั้งไว้ที่สัดส่วน 20 :40:40 แต่งบของกรมชลฯ พบว่า กรมชลประทานไม่ได้ยึดหลักเกณฑ์นี้ แต่ใช้หลักแบบปรับก้าวกระโดด โดยปี 51 กรมชลฯได้ของบ 35,000 ล้านบาท พอมาปี 53 จะขอ จำนวนถึง 67,000ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่า โครงการในพื้นที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยู่ในสัดส่วนที่ควรจะเป็น เช่น ในพื้นที่ของ นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก คือโครงการฝายบ้านผักหวาน จ.พิษณุโลก ที่ตั้งงบประมาณ 96 ล้าน โดยปี 51 ได้งบก่อสร้าง 21 ล้าน แต่มาปี 52 ได้เพียง 5 ล้านบาท ส่วนปี 53 ได้ 70 ล้านบาท เป็นต้น ตรงนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่
"นอกจากนี้ยังมีการตั้งงบประมาณที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ เพื่อให้บริษัทเอกชนไปดำเนินการ แต่ข้อเท็จจริงเป็นข้าราชการกรมชลประทานไปทำ ใช้อุปกรณ์ของรัฐไปดำเนินการ เช่น ค่าสำรวจออกแบบโครงการต่างๆ มูลค่า 553 ล้านบาท อาทิ ค่าสำรวจแผนที่ ค่าดำเนินการออกแบบชลประทาน ค่าสำรวจจัดทำรายงานความเหมาะสม เป็นต้น" นายบุญยอดกล่าว
นายบุญยอด กล่าวว่า อธิบดีกรมชลประทาน ชี้แจงในเรื่องสัดส่วนงบผูกพันแต่ละปี 20:40:40 ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก โดยเฉพาะงบประมาณที่ก้าวกระโดดในแต่ละปี โดยอธิบดีบอกเพียงว่า การจัดสรรงบผูกพัน ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของโครงการฯ ถ้าโครงการคืบหน้ามาก งบประมาณก็ต้องลงไปมากเช่นกัน
นอกจากนี้คณะกรรมาธิการฯ ยังตั้งข้อสังเกตของกรมชลประทาน ในการของบประมาณ มูลค่า 35,600 ล้านบาท โดยเฉพาะการตั้งบผูกพัน ปี 51-53 ในสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งตามระเบียบของสำนักงบประมาณ ในแต่ละปี จะตั้งไว้ที่สัดส่วน 20 :40:40 แต่งบของกรมชลฯ พบว่า กรมชลประทานไม่ได้ยึดหลักเกณฑ์นี้ แต่ใช้หลักแบบปรับก้าวกระโดด โดยปี 51 กรมชลฯได้ของบ 35,000 ล้านบาท พอมาปี 53 จะขอ จำนวนถึง 67,000ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่า โครงการในพื้นที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยู่ในสัดส่วนที่ควรจะเป็น เช่น ในพื้นที่ของ นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก คือโครงการฝายบ้านผักหวาน จ.พิษณุโลก ที่ตั้งงบประมาณ 96 ล้าน โดยปี 51 ได้งบก่อสร้าง 21 ล้าน แต่มาปี 52 ได้เพียง 5 ล้านบาท ส่วนปี 53 ได้ 70 ล้านบาท เป็นต้น ตรงนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่
"นอกจากนี้ยังมีการตั้งงบประมาณที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ เพื่อให้บริษัทเอกชนไปดำเนินการ แต่ข้อเท็จจริงเป็นข้าราชการกรมชลประทานไปทำ ใช้อุปกรณ์ของรัฐไปดำเนินการ เช่น ค่าสำรวจออกแบบโครงการต่างๆ มูลค่า 553 ล้านบาท อาทิ ค่าสำรวจแผนที่ ค่าดำเนินการออกแบบชลประทาน ค่าสำรวจจัดทำรายงานความเหมาะสม เป็นต้น" นายบุญยอดกล่าว
นายบุญยอด กล่าวว่า อธิบดีกรมชลประทาน ชี้แจงในเรื่องสัดส่วนงบผูกพันแต่ละปี 20:40:40 ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก โดยเฉพาะงบประมาณที่ก้าวกระโดดในแต่ละปี โดยอธิบดีบอกเพียงว่า การจัดสรรงบผูกพัน ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของโครงการฯ ถ้าโครงการคืบหน้ามาก งบประมาณก็ต้องลงไปมากเช่นกัน
