xs
xsm
sm
md
lg

ทุกขลาภเหตุแห่งวิบากกรรมที่สมัครได้รับ

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินได้ฟังหรือได้เห็นคำว่า ทุกขลาภ และเชื่อว่าส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงการได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่างแล้วเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ตามภายหลัง นี่คือความหมายที่ชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไปเข้าใจตรงกัน

แต่ในความเป็นจริงคำนี้เกิดมาจากคำพยากรณ์ของโหราศาสตร์ และมีความหมายกว้างและละเอียดอ่อนกว่าที่ชาวบ้านทั่วไปเข้าใจดังกล่าวแล้วข้างต้น กล่าวคือมีความหมายแบ่งออกเป็นนัยดังนี้

1. หมายถึง การได้มาซึ่งอะไรบางอย่างด้วยความลำบาก มีอุปสรรคขัดขวางก่อนการได้มาแทบจะเอาตัวไม่รอด

2. หมายถึง การรักษาไว้ซึ่งสิ่งที่ได้มาแล้วให้อยู่เป็นของตนเองต่อไปนานๆ ทำได้ยาก

โดยนัยแห่งความหมายทั้ง 2 ประการนี้ ประการใดประการหนึ่งก็เข้าข่ายเรียกได้ว่าทุกขลาภ และถ้ายิ่งเข้าข่ายทั้งสองความหมายด้วยแล้ว ก็น่าที่จะเรียกได้ว่าเป็นอภิทุกขลาภก็ว่าได้

ในขณะนี้และเวลานี้นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน และนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศไทย เป็นหนึ่งที่พูดได้ว่าได้รับอภิทุกขลาภจากการได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลผสม 6 พรรคการเมือง ทั้งนี้อนุมานด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกศาสตร์ดังต่อไปนี้

1. เหตุแห่งวิบากกรรมของนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองเริ่มขึ้นในทันทีที่เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค ด้วยการถูกมองว่าเป็นหัวหน้าพรรคตัวแทนของกลุ่มอำนาจเก่าที่แปลงร่างมาจากพรรคไทยรักไทย และนับจากนั้นเรื่อยมาสังคมก็เริ่มวิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงพฤติกรรมปลีกย่อยทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการหาเสียงด้วยการนำเอาภาพวีซีดีของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยมาจากในพื้นที่เลือกตั้งภาคอีสานที่สมาชิกพรรคพลังประชาชนบางคนได้กระทำโดยที่นายสมัครมีส่วนรู้หรือไม่มีส่วนรู้ก็ไม่ทราบได้ แต่คนที่อยู่ในพรรคนี้ต่างก็ถูกมองว่าเป็นตัวแทนกลุ่มอำนาจเก่าไปเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาในฐานะเป็นผู้นำรัฐบาล สังคมโดยเฉพาะนักวิชาการทางการเมืองทั้งจากรั้วมหาวิทยาลัย และในวงการสื่อต่างเพ่งไปที่จุดเดียวคือจะมีพฤติกรรมใดส่อให้เห็นว่าเป็นหุ่นรับคำสั่งจากกลุ่มอำนาจเก่า และในท่ามกลางสายตาสังคมที่เฝ้ามองก็มาถึงบางอ้อ เมื่อมีกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมุ่งไปที่มาตรา 237 เพื่อแก้ปัญหาการถูกยุบพรรคการเมือง และมาตรา 309 เพื่อล้างความผิดให้แก่กลุ่มอำนาจเก่า ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะแก้เกี้ยวว่าเป็นเรื่องของ ส.ส.รัฐบาลไม่เกี่ยว แต่ดูเหมือนว่าคำแก้ตัวในทำนองนี้มิได้ช่วยให้ข้อกล่าวหาว่าเป็นหุ่นของรัฐบาลตกไปแต่ประการใด เมื่อนำความคิดในเชิงตรรกมาประกอบการอธิบายขยายความ โดยยกประเด็นที่ว่า ประธานสภาฯ ก็เป็นคนของพรรคพลังประชาชนซึ่งโดยนิตินัยก็คือลูกพรรคของนายสมัคร

และถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของ ส.ส.ในพรรค แล้วหัวหน้าพรรคจะไม่รู้และไม่มีส่วนรับผิดชอบได้อย่างไร นี่คือทุกขลาภที่นายสมัครได้รับในฐานะหัวหน้าพรรค และเป็นเหตุให้เกิดวิบากกรรมอยู่ในขณะนี้ประการหนึ่ง

2. ส.ส.ลูกพรรคของพรรคพลังประชาชน ทั้งที่มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการด้านบุคลากรที่นายสมัคร สุนทรเวช ต้องรับผิดชอบในฐานะหัวหน้ารัฐบาลได้กระทำผิด และตกเป็นผู้ต้องหาตามกระบวนการตุลาการ เริ่มด้วยนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นเบื้องสูง และต้องลาออกไป นายสุธา ชันแสง ตกเป็นจำเลยทางสังคมในเรื่องของวุฒิการศึกษาปลอม และสุดท้ายลาออกไปด้วยปัญหาสุขภาพ นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตกเป็นผู้ต้องหาคดีด้วยการถือหุ้นของภรรยาที่เกินเปอร์เซ็นต์ และถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพการเป็นรัฐมนตรีไป

สุดท้าย นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตกเป็นผู้ต้องหากระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่ามีความผิดจริง เป็นเหตุให้ ส.ส.ฝ่ายค้านและ ส.ส.ส่วนหนึ่งฟ้องร้องถอดถอนในเวลาต่อมา แต่นายนพดลได้ถือโอกาสลาออกเพื่อลดความกดดันทางการเมืองไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ก.ค.โดยให้มีผลในวันที่ 14 ก.ค.

จะเห็นได้ว่านายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะผู้นำรัฐบาลก็ต้องพบกับปัญหาอันเนื่องมาจากรัฐมนตรีถึง 4 คน และยังได้รับแรงกดดันจากการที่ลูกพรรคคือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งมีตำแหน่งถึงประธานสภาฯ โดนใบแดงจากการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง โดยให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.และเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ทั้งยังจะมีผลไปถึงการยุบพรรคตามมาตรา 237 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย

ทั้งหมดที่กล่าวมาถือได้ว่าเป็นวิบากกรรมที่เกิดขึ้นแก่นายสมัคร สุนทรเวช อันเนื่องมาจากได้เป็นผู้นำรัฐบาลอันเป็นทุกขลาภ ในประเด็นที่ว่าเมื่อได้ตำแหน่งแล้วยากที่จะรักษาให้อยู่ได้นาน

3. นอกจากต้องรับวิบากกรรมอันเกิดจากการได้ตำแหน่งทางการเมืองตามข้อ 1-2 แล้ว นายสมัคร สุนทรเวช ยังมีวิบากกรรมเก่าอันเกิดจากการได้ตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.รออยู่อีกถึง 2 คดี คือ คดีซื้อรถดับเพลิงของ กทม.และกำลังจะเกิดเป็นคดีในข้อหาสินบน 125 ล้านบาทที่บริษัทญี่ปุ่นนำมาเปิดเผย อีกทั้งฝ่ายค้านและ สตง.ของไทยกำลังเจาะหาหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ถ้าบังเอิญมีหลักฐานครบครัน และนำไปสู่การฟ้องร้องได้ เชื่อว่า นายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะผู้ว่าฯ กทม.ก็คงจะอยู่ในข่ายตกเป็นผู้ต้องหาในคดีค่อนข้างแน่นอน

ส่วนจะมีความผิดหรือไม่ต้องรอกระบวนการของศาลต่อไป แต่เพียงถูกกล่าวหาและศาลรับฟ้องสถานะทางการเมืองของนายสมัคร สุนทรเวช ก็ง่อนแง่นแล้วนี่ก็อีกประการหนึ่งของวิบากกรรมอันเนื่องมาจากการได้ทุกขลาภของนายสมัคร

ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าการได้มาซึ่งตำแหน่ง ทั้งผู้ว่าฯ กทม.หัวหน้าพรรคพลังประชาชน และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช กล่าวได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นทุกขลาภ และเป็นเหตุให้เกิดวิบากกรรมที่ตามสนองนายสมัคร สุนทรเวช อยู่ในขณะนี้ทั้งสิ้นถ้ามองในแง่ของชาวพุทธที่เชื่อกฎแห่งกรรม แต่ถ้าปฏิเสธกฎแห่งกรรมแต่ใช้ดุลพินิจแบบคนที่มีมานะและทิฐิแบบสุดโต่งในทางลบโดยไม่ต้องดูว่าสังคมส่วนใหญ่คิดอย่างไรก็อาจพูดได้ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่นายสมัคร สุนทรเวช และรัฐมนตรีร่วมคณะล้วนแล้วแต่เป็นเหตุมาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 และทางเดียวที่จะแก้วิบากกรรมที่ว่านี้ก็คือต้องแก้รัฐธรรมนูญ ดังที่นายสมัครได้ประกาศกับคนในพรรคเมื่อเร็วๆ มานี้ และถ้าวิบากกรรมแก้ได้ด้วยการแก้กฎหมายแล้วละก็ ประเทศไทยจะมีคุกว่างนักโทษการเมืองแน่นอน เพราะผู้มีอำนาจทางการเมืองทำผิดก็แก้ได้ด้วยการแก้กฎหมาย แล้วจะมีนักการเมืองหน้าโง่คนไหนรอให้ตัวเองติดคุกโดยที่ไม่คิดแก้กฎหมาย

แต่ถ้ามองในแง่คำสอนของพระพุทธศาสนา ถึงแม้คนทำผิดจะพ้นผิดไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย แต่โทษทางกรรมต้องได้รับอยู่ ไม่เชื่อลองดูหน้าตาคนกระทำผิดที่อยู่ในสังคมไทยวันนี้ว่ามีความสุขหรือมีความทุกข์ ก็พอจะเข้าใจได้
กำลังโหลดความคิดเห็น