ผู้จัดการรายวัน - “เจชูส์” ไม่หวั่นเศรษฐกิจผันผวน ขยายตลาดสู่กลุ่มผู้หญิง นำรองเท้าทำตลาด วางจำหน่ายใน “เซ็นทรัลลาดพร้าว-ปิ่นเกล้า” เผยหากได้รับการตอบรับดีพร้อมเพิ่มแบบและช่องทางจำหน่ายเป็น 7 สาขาภายใน 1 ปี ตั้งเป้ากวาดยอดขายรองเท้าผู้หญิงปีแรก 3-4 พันคู่ ส่วนยอดขายรวมยังมั่นใจขยายตัวต่อเนื่องได้อีก 15%
นางสาววิยุดา โชคเฉลิมวัฒน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท เดอะ ชู ช็อพ จำกัด ผู้นำเข้ารองเท้าแบรนด์เจชูส์ (J Shoes) จากประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทแม่ได้ปรับคอนเซ็ปต์และแนวทางการทำการตลาดมาเป็น DO THE JAYWALK ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาพบว่า ภาพลักษณ์ของบริษัทมีความชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้ ส่งผลให้ยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% จากที่ได้คาดการณ์การขยายตัวสำหรับปีนี้ไว้ประมาณ 10-15% ขณะที่สภาพตลาดรวมมีอัตราการขยายตัวไม่ถึง
“สินค้าเราจับกลุ่มเป้าหมายและตลาดระดับกลางขึ้นไป ทำให้ตัวเลขยอดขายในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่พอเข้าช่วงไตรมาสที่ 2 เริ่มเห็นภาวะการชะลอตัวของตลาดไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อน คาดว่าน่าจะเป็นเพราะผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นนั่นเอง”
จากแนวโน้มดังกล่าวนี้ทำให้บริษัทต้องมองหาช่องว่างและโอกาสใหม่ๆ ทางการตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยนอกจากจะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ให้แบรนด์ “เจชูส์” เข้าไปอยู่ในใจของกลุ่มผู้บริโภคคนไทยให้มากยิ่งขึ้นแล้ว ที่ผ่านมาบริษัทยังได้นำเข้ารองเท้าแตะ ซึ่งมีระดับราคาประมาณ 2,000 บาทต้นๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นรองเท้าที่เหมาะกับสภาพอากาศและไลฟ์สไตล์ของคนไทย บวกกับตัวเลขยอดขายในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างดี บริษัทจึงให้น้ำหนักนำเข้ามาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่รองเท้าลำลองสำหรับผู้ชายอยู่ในสัดส่วนที่สูงถึง 80-90% รองเท้าแตะ 10-20% และในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมนี้สัดส่วนของรองเท้าแตะได้เพิ่มขึ้นเป็น 30%
ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมนำเข้ารองเท้าสำหรับกลุ่มผู้หญิงเข้ามาทำตลาดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ จากเดิมที่จับเฉพาะกลุ่มผู้ชายเป็นหลัก ทั้งนี้มองว่าตลาดรองเท้าสำหรับกลุ่มผู้หญิงยังมีโอกาสและช่องว่างทางการตลาดสูงไม่แพ้กลุ่มผู้ชายแม้ว่าจะมีคู่แข่งในตลาดที่สูงกว่าก็ตาม โดยในช่วงเริ่มต้นจะนำเข้ามาวางจำหน่ายใน 2 สาขาก่อน คือ สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว และเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า และมีรองเท้าวางจำหน่ายประมาณ 40 แบบ หลังจากนั้นบริษัทมีแนวทางที่จะเพิ่มตัวสินค้าให้มีความหลากหลาย โดยจะวางสินค้าแบบใหม่ ในทุกๆเดือน พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการขายอีก 5 สาขา รวมเป็น 7 สาขาภายใน 1 ปี
“ในส่วนของตัวสินค้ารองเท้าสำหรับผู้หญิงนั้นเรายังคงเน้นรองเท้าลำลอง ทั้งส้นสูง พื้นเรียบ และแบบที่ออกแนวสปอร์ต ระดับราคามีตั้งแต่ 2,000-5,000 บาทสำหรับรองเท้าลำลอง และประมาณ 2,000 บาทต้นๆสำหรับรองเท้าแตะ และในช่วงหน้าหนาวเราก็มีแผนนำรองเท้าบูทเข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้นด้วย ที่สำคัญรูปแบบของตัวสินค้าก็จะมีความแตกต่างจากแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาดทั่วไปเช่นเดียวกับรองเท้าผู้ชาย”
บริษัทมีแผนทำของพรีเมี่ยมสำหรับแจก ณ จุดขายเข้ามาเสริม ทำให้เชื่อมั่นว่ากลุ่มรองเท้าผู้หญิงจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคคนไทยเช่นเดียวกับที่บริษัทประสบความสำเร็จจากการทำตลาดรองเท้าสำหรับกลุ่มผู้ชายมาแล้ว โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 3,000-4,000 คู่ในช่วงปีแรกนี้ (กรกฎาคม 2551-มิถุนายน 2552)
นางสาววิยุดากล่าวต่อไปด้วยว่า หลังจากที่บริษัทนำเข้ารองเท้าสำหรับกลุ่มผู้หญิงเข้ามาทำตลาดจะทำให้รองเท้าผู้ชายมีสัดส่วนประมาณ 80% และรองเท้าผู้หญิงอีก 20% และหากรองเท้าผู้หญิงได้รับการตอบรับที่ดีบริษัทก็พร้อมที่จะปรับสัดส่วนการจำหน่ายให้สอดรับกับความต้องการของตลาดอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าจากแนวทางดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถมีอัตราการขยายตัวของยอดขายได้ประมาณ 15% ในปีนี้
นางสาววิยุดา โชคเฉลิมวัฒน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท เดอะ ชู ช็อพ จำกัด ผู้นำเข้ารองเท้าแบรนด์เจชูส์ (J Shoes) จากประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทแม่ได้ปรับคอนเซ็ปต์และแนวทางการทำการตลาดมาเป็น DO THE JAYWALK ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาพบว่า ภาพลักษณ์ของบริษัทมีความชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้ ส่งผลให้ยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% จากที่ได้คาดการณ์การขยายตัวสำหรับปีนี้ไว้ประมาณ 10-15% ขณะที่สภาพตลาดรวมมีอัตราการขยายตัวไม่ถึง
“สินค้าเราจับกลุ่มเป้าหมายและตลาดระดับกลางขึ้นไป ทำให้ตัวเลขยอดขายในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่พอเข้าช่วงไตรมาสที่ 2 เริ่มเห็นภาวะการชะลอตัวของตลาดไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อน คาดว่าน่าจะเป็นเพราะผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นนั่นเอง”
จากแนวโน้มดังกล่าวนี้ทำให้บริษัทต้องมองหาช่องว่างและโอกาสใหม่ๆ ทางการตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยนอกจากจะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ให้แบรนด์ “เจชูส์” เข้าไปอยู่ในใจของกลุ่มผู้บริโภคคนไทยให้มากยิ่งขึ้นแล้ว ที่ผ่านมาบริษัทยังได้นำเข้ารองเท้าแตะ ซึ่งมีระดับราคาประมาณ 2,000 บาทต้นๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นรองเท้าที่เหมาะกับสภาพอากาศและไลฟ์สไตล์ของคนไทย บวกกับตัวเลขยอดขายในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างดี บริษัทจึงให้น้ำหนักนำเข้ามาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่รองเท้าลำลองสำหรับผู้ชายอยู่ในสัดส่วนที่สูงถึง 80-90% รองเท้าแตะ 10-20% และในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมนี้สัดส่วนของรองเท้าแตะได้เพิ่มขึ้นเป็น 30%
ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมนำเข้ารองเท้าสำหรับกลุ่มผู้หญิงเข้ามาทำตลาดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ จากเดิมที่จับเฉพาะกลุ่มผู้ชายเป็นหลัก ทั้งนี้มองว่าตลาดรองเท้าสำหรับกลุ่มผู้หญิงยังมีโอกาสและช่องว่างทางการตลาดสูงไม่แพ้กลุ่มผู้ชายแม้ว่าจะมีคู่แข่งในตลาดที่สูงกว่าก็ตาม โดยในช่วงเริ่มต้นจะนำเข้ามาวางจำหน่ายใน 2 สาขาก่อน คือ สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว และเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า และมีรองเท้าวางจำหน่ายประมาณ 40 แบบ หลังจากนั้นบริษัทมีแนวทางที่จะเพิ่มตัวสินค้าให้มีความหลากหลาย โดยจะวางสินค้าแบบใหม่ ในทุกๆเดือน พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการขายอีก 5 สาขา รวมเป็น 7 สาขาภายใน 1 ปี
“ในส่วนของตัวสินค้ารองเท้าสำหรับผู้หญิงนั้นเรายังคงเน้นรองเท้าลำลอง ทั้งส้นสูง พื้นเรียบ และแบบที่ออกแนวสปอร์ต ระดับราคามีตั้งแต่ 2,000-5,000 บาทสำหรับรองเท้าลำลอง และประมาณ 2,000 บาทต้นๆสำหรับรองเท้าแตะ และในช่วงหน้าหนาวเราก็มีแผนนำรองเท้าบูทเข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้นด้วย ที่สำคัญรูปแบบของตัวสินค้าก็จะมีความแตกต่างจากแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาดทั่วไปเช่นเดียวกับรองเท้าผู้ชาย”
บริษัทมีแผนทำของพรีเมี่ยมสำหรับแจก ณ จุดขายเข้ามาเสริม ทำให้เชื่อมั่นว่ากลุ่มรองเท้าผู้หญิงจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคคนไทยเช่นเดียวกับที่บริษัทประสบความสำเร็จจากการทำตลาดรองเท้าสำหรับกลุ่มผู้ชายมาแล้ว โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 3,000-4,000 คู่ในช่วงปีแรกนี้ (กรกฎาคม 2551-มิถุนายน 2552)
นางสาววิยุดากล่าวต่อไปด้วยว่า หลังจากที่บริษัทนำเข้ารองเท้าสำหรับกลุ่มผู้หญิงเข้ามาทำตลาดจะทำให้รองเท้าผู้ชายมีสัดส่วนประมาณ 80% และรองเท้าผู้หญิงอีก 20% และหากรองเท้าผู้หญิงได้รับการตอบรับที่ดีบริษัทก็พร้อมที่จะปรับสัดส่วนการจำหน่ายให้สอดรับกับความต้องการของตลาดอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าจากแนวทางดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถมีอัตราการขยายตัวของยอดขายได้ประมาณ 15% ในปีนี้
