xs
xsm
sm
md
lg

เปิดอกช้ำ"ปู่วินัย"ลูกปลัดขวา"ขุนชัย"คนเฝ้าปราสาทพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คุณปู่ "วินัย" วัย 74 ปีลูกชาย "ขุนชัย" ปลัดขวาผู้ได้รับมอบหมายเฝ้า "ปราสาทพระวิหาร" เศร้า! ยูเนสโกมีมติขึ้นทะเบียนยกเป็น "มรดกโลก" ของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ย้ำแม้เป็นมรดกโลกรัฐบาลไทยต้องผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากเขตแดนไทยที่เชิงเขาพระวิหารให้จงได้ พร้อมเปิดอกช้ำอย่างแสนสาหัสกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของชาติไทยจากคำพิพากษาศาลโลก 15 มิ.ย.2505 สู่ปี 2551 ยุครัฐบาลหุ่นเชิด "ขายชาติ" ครองเมือง

วานนี้ (8 ก.ค.) นายวินัย ไชยยะเดชะ อายุ 74 ปี หรือ "ปู่วินัย" บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ลูกชายของ "ขุนชัย ชโนปกิตต์" ปลัดขวาอำเภอน้ำอ้อม จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สมัยก่อนและเป็น "ปลัดขวา" ผู้ได้รับมอบหมายให้ไปเฝ้าดูแลปราสาทพระวิหารในช่วงปี 2484-2500 เปิดเผยว่า การที่มีข่าวองค์การยูเนสโกมีมติเห็นชอบให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามขอประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น หากเป็นความจริงตนรู้สึกเสียใจมาก

ทั้งนี้ เนื่องจากตนและประชาชนชาว อ.กันทรลักษ์ รวมทั้งชาวศรีสะเกษทุกคนมีความผูกพันกับปราสาทพระวิหารแห่งนี้มาช้านาน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตนขึ้นไปวิ่งเล่นอยู่บนปราสาทพระวิหารแทบทุกวัน ฝ่ายกัมพูชา ไม่เคยแสดงตัวเป็นเจ้าของ และไม่ได้เข้ามายึดครองในเขตปราสาทพระวิหารแต่อย่างใด มีเพียงนักท่องเที่ยวชาวไทยเท่านั้นที่เข้าไปเที่ยวชมปราสาทพระวิหาร โดยจะต้องนั่งเกวียนเดินทางเข้าไป ซึ่งใช้เวลานานหลายวันทีเดียวกว่าจะเข้าไปถึงเชิงเขาพระวิหารและขึ้นไปยังตัวปราสาทพระวิหาร

"ปู่วินัย" กล่าวต่อว่า หากไทยต้องสูญเสียปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชา แต่เพียงฝ่ายเดียว นับว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มากของไทย กับการต้องมาพ่ายแพ้แก่ประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชาอีกครั้งหนึ่งในยุคสมัยนี้ หลังจากที่ไทยแพ้คดีในศาลโลกมาแล้วในวันที่ 15 มิถุนายนปี 2505 ทั้งที่ปัจจุบันประเทศเราเต็มไปด้วยผู้คนที่มีความรู้ความสามารถ ขณะที่กัมพูชาวันนี้ยังคงเป็นประเทศ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือจากไทยอยู่ในหลายเรื่องแทบทุกด้าน

"มาถึงวันนี้แม้ว่าปราสาทพระวิหารจะเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ตาม ก็ขอให้รัฐบาลไทยได้ดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามาตั้งชุมชน ร้านค้าอาศัยอยู่ที่เชิงเขาพระวิหารซึ่งเป็นเขตแดนไทยให้ออกไปจากแผ่นดินไทยโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยให้ชาวกัมพูชาอยู่บริเวณนี้ต่อไป แผ่นดินไทยบริเวณเชิงเขาพระวิหารก็จะตกเป็นของกัมพูชาอีกอย่างแน่นอน และคนไทยก็จะพบกับความเจ็บช้ำอย่างไม่มีวันจบสิ้น" นายวินัย กล่าว

"ปู่วินัย" บอกเล่าอีกว่า สมัยก่อนนั้นเขาพระวิหารรกร้างเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และมีป่ารกทึบจำนวนมาก ซึ่งบนปราสาทพระวิหารยังไม่มีผู้ใดขึ้นไปแสดงตัวเป็นเจ้าของ มีเพียงกำลังทหารของไทยที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่บริเวณเขาพระวิหารเท่านั้น นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแสดงอธิปไตยไทยบนปราสาทพระวิหาร ได้มีการก่อสร้างฐานตั้งเสาธงชาติไทยอยู่ที่บริเวณ "เป้ยตาดี" ซึ่งเป็นจุดสูงที่สุดของประสาทพระวิหาร โดยธงชาติไทยได้โบกสะบัดอยู่บนเป้ยตาดีมานานหลายปี

ต่อมาประมาณปี 2488 ได้มีชาวไทยที่ทราบข่าวพากันนั่งเกวียนลุยป่าขึ้นไปเที่ยวชมความสวยงามของปราสาทพระวิหารกันอย่างไม่ขาดสาย โดยทางราชการได้ส่ง "ขุนชัย" ซึ่งเป็นพ่อของตนให้ไปเฝ้ารักษาปราสาทพระวิหาร และต่อมาพ่อได้เกษียณอายุราชการ จึงได้มอบหมายให้ "ขุนศรี" ซึ่งเป็นกำนันบ้านผือ เป็นผู้เฝ้าดูแลปราสาทเขาพระวิหาร ต่อไป โดยมีที่พักอยู่ที่ถ้ำใต้ทางขึ้นปราสาทพระวิหาร ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปชมปราสาทพระวิหารก็จะพากันแวะพักที่ "ถ้ำขุนศรี" ซึ่งเป็นสถานที่กว้างขวาง สามารถหลบแดดหลบฝนได้เป็นอย่างดี

"ปู่วินัย" เล่าต่อว่า ขณะนั้นตนขึ้นไปวิ่งเล่นบนปราสาทเขาพระวิหารเป็นประจำแทบทุกวัน จนกระทั่งต่อมาปี 2502 สมเด็จสีหนุ กัมพูชา ได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก เพื่อขอมีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วบริเวณปราสาทพระวิหารไม่เคยมีฝ่ายเขมรเข้ามาครอบครองดูแลแต่อย่างใด มีเพียงคนไทยเท่านั้นที่เข้าไปช่วยกันแผ้วถางดูแล เช่น นายสนอง ห้วยจันทร์ ประธานประชาคมอำเภอกันทรลักษ์ ในขณะนี้ เมื่อสมัยยังหนุ่มแน่นได้นำเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร เข้าไปตรวจสอบดูแลปราสาทเขาพระวิหารด้วย ทำให้ชาวไทยทุกคนมีความรู้สึกตรงกันว่าปราสาทพระวิหารคือดินแดนและมรดกของไทย มาโดยตลอด แต่เนื่องจากขณะนั้นการต่อสู้ระหว่างลัทธิคอมมิวนิสต์กับโลกเสรีกำลังรุนแรง และพวก "ฝรั่ง" กลัวว่า เขมรจะถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์ครอบงำ จึงได้รวมหัวกันหนุนเขมรให้มีสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร จนกระทั่งศาลโลกได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ให้เขมรมีอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร

"ทำให้พวกเราชาวไทยขณะนั้นมีความรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการพิพากษาของศาลโลก" ปู่วินัย กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามแม้ว่าศาลโลกจะตัดสินให้ซากประสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ความรู้สึกของเราชาวไทยทั้งชาติก็ยังคงมีความรู้สึกว่า ปราสาทพระวิหารยังคงเป็นของคนไทยตลอดมา

"การที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ประเทศไทยควรมีส่วนร่วมในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่รัฐบาลไทยกลับไม่ทำเช่นนั้น ทำให้พวกเราชาวศรีสะเกษและชาวไทยทั่วประเทศต้องมาเจ็บช้ำอย่างแสนสาหัสอีกครั้งในวันนี้ กับความสูญเสียเป็นครั้งที่ 2 และคงไม่มีวันทวงคืนได้อีกแล้ว" คุณปู่วินัยกล่าวในตอนท้ายด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ และสุดที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น