นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะทำงาน ด้านกฎหมาย กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง พิพากษาให้ใบแดง นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่า การที่แกนนำของพรรครัฐบาล ทุจริตการเลือกตั้งจึงถือว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ นายกรัฐมตรีก็จ่อที่จะถูก ป.ป.ช.วินิจฉัยว่าทุจริตการจัดซื้อรถดับเพลิงและอาจถูกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ยืนให้จำคุกในคดีหมิ่นประมาท ซึ่งหากเป็นรัฐบาลในต่างประเทศที่มีคุณธรรมจริยธรรม เขาไม่สามารถที่จะบริหารประเทศได้ต่อไป ควรลาออกและเปิดโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาลไปจับขั้วใหม่ และที่พูดไม่ได้ กระสันหรืออยากเป็นรัฐบาล
นายถาวร กล่าวว่า เมื่อกลับไปดูคะแนนเสียงสัดส่วนของการเลือกตั้ง ส.ส. พรรคประชาธปัตย์ได้คะแนนในระบบสัดส่วนน้อยกว่า พรรคพลังประชาชนเพียงแสนกว่าคะแนนเท่านั้น เราก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หลายคนกังวลว่า การเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะบริหารประเทศยาก ซึ่งไม่จริงเพราะรัฐบาลจะมีอันเป็นไปด้วยการถูกอภิภรายไม่ไว้วางใจเกินครึ่งตามหลักรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเสียงของพรรคพลังประชาชนมี 233 เสียง วันนี้ถูกพักการทำหน้าที่ไป 10 เสียง เหลือประมาณ 223 เป็นอย่างมาก
ถ้าทุกพรรคที่ไม่ใช่พรรคพลังประชาชน ลองมาทบทวนจับขั้วรัฐบาลผมคิดว่า ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร หลายคนถามว่าควรจะยุบสภาดีไหม ถามว่าถ้าจะยุบสภา เพื่อหาทางออกให้พรรคพลังประชาชนเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง เพราะส.ส. จากพรรคอื่นไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด และเชื่อว่านายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี คงไม่ขี้ขลาดยุบสภาหนี เพราะไม่ใช่ทางออกสุดท้าย ถ้าจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ใช้เงินของประชาชนจัดการเลือกตั 3-4 พันล้านก็ไม่มีเหตุอันควรที่จะเอาเงินพี่น้องประชาชนไปผลาญเพื่อแก้ปัญหาภายในของพรรคพลังประชาชน หรือเกิดกับรัฐมนตรีบางคนที่มาจากพรรคพลังประชาชน
นายถาวร กล่าวว่า การเปลี่ยนขั้วรัฐบาลเท่าที่ได้ติดตาม แม้จะเกิดยากมาก หรือพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ได้คิด แต่เกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นในยุคที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ลาออกก็เปลี่ยนขั้วมายกมือให้ประชาธิปัตย์เป็นแกน ในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการบริหารงานของ พล.อ.ชวลิต เรื่องค่าเงินบาท ดังนั้นรัฐบาลควรจะทบทวนความผิดพลาดล้มเหลวใน 5 เดือนที่ผ่านมา และเปิดโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจเปลี่ยนขั้ว
ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกับพรรคอื่นๆ เรื่องนี้ และยังไม่ถึงขั้นส่งเทียบเชิญ พรรคอื่นๆ มาคุยกัน เพียงแต่ผมโยนหินถามทางไปยังพรรคร่วมรัฐบาลที่ก่อนหน้าที่จะเลือกตั้งก็เคยหารือกันอยู่บ้างว่าถ้ามีโอกาสที่จะทำงานฝ่ายบริหารร่วมกันกันพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเหล่านั้นคิดเห็นเป็นอย่างไร แต่หลังการเลือกตั้งพรรคเหล่านั้นไปจับมือกับพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรม แต่วันนี้ผมก็โยนหินถามทาง ไปอีกครั้งหนึ่งว่าคิดถึงวันเก่ากันได้ไหมอย่างไร
นายถาวร กล่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็มีคดียุบพรรคอยู่จะมีผลต่อการ เปลี่ยนขั้วรัฐบาลหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า ในการยุบพรรคจะมีผลเฉพาะคนที่เป็น กรรมการบริหารพรรคเท่านั้น สมมติคนที่เป็นส.ส.มาจากเขตเลือกตั้ง ก็เลือกตั้งใหม่เลือกตั้งซ่อม คนที่ไม่ถูกตัดสิทธิก็ไปหาพรรคใหม่ ส่วนส.ส.ส่วนที่ถูกตัดสิทธิก็ เลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาไม่มีปัญหา ซึ่งเมื่อกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ก็ต้องเลือกตั้งตามกติกานี้
นายถาวร กล่าวอีกว่า หลังจาที่นายยงยุทธ โดนใบแดง คาดว่า สูงสุดน่าจะใช้เวลานำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน 7 เดือน จาก ครั้งก่อนที่พิจารณา ยุบพรรคไทยรักไทย ใช้เวลา 9 เดือน เพราะครั้งนี้ไม่ต้องทำอะไรมากในสอบสวน โดยกฎหมายเขียนไว้ชัดว่าหากกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นการทุจริตการเลือกตั้ง ก็เข้าสู่กระบวนการยุบพรรค นี่กรรมการบริหารพรรคดำเนินการเสียเอง ยิ่งกว่ารู้เห็นเสียอีก ก็เข้าสูกระบวนการยุบพรรคได้เลย
นายถาวร กล่าวว่า เมื่อกลับไปดูคะแนนเสียงสัดส่วนของการเลือกตั้ง ส.ส. พรรคประชาธปัตย์ได้คะแนนในระบบสัดส่วนน้อยกว่า พรรคพลังประชาชนเพียงแสนกว่าคะแนนเท่านั้น เราก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หลายคนกังวลว่า การเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะบริหารประเทศยาก ซึ่งไม่จริงเพราะรัฐบาลจะมีอันเป็นไปด้วยการถูกอภิภรายไม่ไว้วางใจเกินครึ่งตามหลักรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเสียงของพรรคพลังประชาชนมี 233 เสียง วันนี้ถูกพักการทำหน้าที่ไป 10 เสียง เหลือประมาณ 223 เป็นอย่างมาก
ถ้าทุกพรรคที่ไม่ใช่พรรคพลังประชาชน ลองมาทบทวนจับขั้วรัฐบาลผมคิดว่า ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร หลายคนถามว่าควรจะยุบสภาดีไหม ถามว่าถ้าจะยุบสภา เพื่อหาทางออกให้พรรคพลังประชาชนเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง เพราะส.ส. จากพรรคอื่นไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด และเชื่อว่านายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี คงไม่ขี้ขลาดยุบสภาหนี เพราะไม่ใช่ทางออกสุดท้าย ถ้าจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ใช้เงินของประชาชนจัดการเลือกตั 3-4 พันล้านก็ไม่มีเหตุอันควรที่จะเอาเงินพี่น้องประชาชนไปผลาญเพื่อแก้ปัญหาภายในของพรรคพลังประชาชน หรือเกิดกับรัฐมนตรีบางคนที่มาจากพรรคพลังประชาชน
นายถาวร กล่าวว่า การเปลี่ยนขั้วรัฐบาลเท่าที่ได้ติดตาม แม้จะเกิดยากมาก หรือพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ได้คิด แต่เกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นในยุคที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ลาออกก็เปลี่ยนขั้วมายกมือให้ประชาธิปัตย์เป็นแกน ในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการบริหารงานของ พล.อ.ชวลิต เรื่องค่าเงินบาท ดังนั้นรัฐบาลควรจะทบทวนความผิดพลาดล้มเหลวใน 5 เดือนที่ผ่านมา และเปิดโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจเปลี่ยนขั้ว
ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกับพรรคอื่นๆ เรื่องนี้ และยังไม่ถึงขั้นส่งเทียบเชิญ พรรคอื่นๆ มาคุยกัน เพียงแต่ผมโยนหินถามทางไปยังพรรคร่วมรัฐบาลที่ก่อนหน้าที่จะเลือกตั้งก็เคยหารือกันอยู่บ้างว่าถ้ามีโอกาสที่จะทำงานฝ่ายบริหารร่วมกันกันพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเหล่านั้นคิดเห็นเป็นอย่างไร แต่หลังการเลือกตั้งพรรคเหล่านั้นไปจับมือกับพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรม แต่วันนี้ผมก็โยนหินถามทาง ไปอีกครั้งหนึ่งว่าคิดถึงวันเก่ากันได้ไหมอย่างไร
นายถาวร กล่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็มีคดียุบพรรคอยู่จะมีผลต่อการ เปลี่ยนขั้วรัฐบาลหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า ในการยุบพรรคจะมีผลเฉพาะคนที่เป็น กรรมการบริหารพรรคเท่านั้น สมมติคนที่เป็นส.ส.มาจากเขตเลือกตั้ง ก็เลือกตั้งใหม่เลือกตั้งซ่อม คนที่ไม่ถูกตัดสิทธิก็ไปหาพรรคใหม่ ส่วนส.ส.ส่วนที่ถูกตัดสิทธิก็ เลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาไม่มีปัญหา ซึ่งเมื่อกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ก็ต้องเลือกตั้งตามกติกานี้
นายถาวร กล่าวอีกว่า หลังจาที่นายยงยุทธ โดนใบแดง คาดว่า สูงสุดน่าจะใช้เวลานำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน 7 เดือน จาก ครั้งก่อนที่พิจารณา ยุบพรรคไทยรักไทย ใช้เวลา 9 เดือน เพราะครั้งนี้ไม่ต้องทำอะไรมากในสอบสวน โดยกฎหมายเขียนไว้ชัดว่าหากกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นการทุจริตการเลือกตั้ง ก็เข้าสู่กระบวนการยุบพรรค นี่กรรมการบริหารพรรคดำเนินการเสียเอง ยิ่งกว่ารู้เห็นเสียอีก ก็เข้าสูกระบวนการยุบพรรคได้เลย