ไฟแนนเชียลไทมส์ – นายธนาคารคนสำคัญของอินเดีย ออกมาแสดงความกังวลเรื่องที่บริษัทของแดนภารตะ ออกไปควบรวมกิจการบริษัทต่างชาติอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เพราะเขาเห็นว่ารากฐานแห่งความรุ่งเรืองของภาคการเงินน่าจะมาจากการเติบโตขยายตัวภายในประเทศ
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่ของอินเดียต่างแสดงความกระหายที่จะเพิ่มศักยภาพให้กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดโลก โดยผ่านการควบรวมกิจการบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะกรณีที่ ทาทา สตีล เข้าควบรวมบริษัทคอรัส ผู้ผลิตเหล็กกล้าลูกครึ่งอังกฤษ-ดัตช์เมื่อปีที่แล้ว ที่มีมูลค่าถึง 13,300 ล้านดอลลาร์
ทว่า อูเดย์ โคตัก กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ โคตัก มหินทรา แบงก์ หนึ่งในผู้นำวงการธนาคารเอกชนของอินเดีย กลับแสดงความกังวลเรื่องการขยายกิจการด้วยวิธีนี้ของบริษัทอินเดีย ในขณะที่กำลังเกิดความปั่นป่วนอย่างหนักในภาคการเงินของโลก
เขากล่าวว่า “ระบบของอินเดีย ทั้งราชการและธุรกิจ ในบางระดับต้องถือว่ากำลังกลายเป็นเหยื่อของความฟุ้งฝัน ซึ่งตอนนี้ปัญหากำลังเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ”
โคตักกล่าวว่าเป็นโชคดีของทาทา ที่การควบรวมกับคอรัสนั้นดำเนินไปได้ด้วยดีกว่าที่คาดหมายกันไว้ แต่การที่กลุ่มธุรกิจเบอร์ลา เข้าไปควบรวมกิจการของโนเวลลิส ผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ของแคนาดานั้น ยังไม่อาจบอกได้ว่าประสบความสำเร็จ นอกจากนี้โคตักยังเรียกการควบรวมกิจการของจากัวร์และแลนด์โรเวอร์โดย ทาทามอเตอร์ส ว่าเป็น “ความเคลื่อนไหวที่ห้าวหาญบ้าบิ่น”
เขาแสดงนัยว่าความกระหายของภาคบรรษัทอินเดียในการซื้อกิจการขนาดใหญ่ กำลังเริ่มลดลงแล้วท่ามกลางภาวะสินเชื่อตึงตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นรวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
โคตักกล่าวว่าตอนนี้ธนาคารของเขา โคตัก มหินทรา ซึ่งเป็นธนาคารภาคเอกชนที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของอินเดีย หันมาสนใจการขยายสาขา 200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์การเงินที่สร้างกำไรให้ไม่ยาก รวมทั้งเป็นการตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจด้วย
เขาเชื่อว่าด้วยขนาดของเศรษฐกิจอินเดีย จะทำให้การขยายตัวของธนาคารจะอยู่ในอัตราที่สูงมาก โดยวางพื้นฐานอยู่บนการเติบโตของผลผลิตมวลรวมประชาชาติของอินเดีย ว่าในระยะปานกลางจะเพิ่มขึ้นในอัตรา 8%
โคตักกล่าวว่าโอกาสทางธุรกิจนั้นอยู่ในประเทศ ไม่ใช่ต่างประเทศ การควบรวมกิจการก็เป็นนโยบายหลักที่ธนาคารจะมุ่งหน้าไป ยิ่งในปีหน้า อินเดียจะการเลือกตั้งในระดับชาติซึ่งน่าจะทำให้รัฐบาลหันมาเตรียมการยกเลิกข้อห้ามของตอนนี้ ที่มิให้ธนาคารภาคเอกชนเข้าถือหุ้นใหญ่ในธนาคารของรัฐทั้งหลาย โดยเขามองว่าหากธนาคารภาคเอกชนและภาครัฐสามารถควบรวมกันได้ ก็จะสร้างโอกาสทางธุรกิจมิใช่น้อย เพราะตอนนี้ธนาคารของรัฐมีส่วนแบ่งในตลาดเงินฝากของอินเดียอยู่ถึง 75% และมีสาขาอยู่หนาแน่นในทั่วทุกท้องถิ่น
.ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นแรงหนุนให้บรรดาธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ในอินเดียมีเงินทุนอย่างอุดมสมบูรณ์เมื่อเทียบกับธนาคารในโลกตะวันตกที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวภายในประเทศ
อย่างไรก็ตามโคตักก็แสดงนัยออกมาว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับนโยบายอนุรักษ์นิยมของธนาคารกลางอินเดียนัก เพราะภายใต้ระเบียบปัจจุบัน ธนาคารอินเดียจะต้องนำเอาเงินฝากราว 25% ไปซื้อหลักทรัพย์ของรัฐบาลเอาถือไว้ และในขณะที่อีก 40% ของเงินฝากจะต้องนำไปให้กู้แก่ภาคการเกษตร
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่ของอินเดียต่างแสดงความกระหายที่จะเพิ่มศักยภาพให้กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดโลก โดยผ่านการควบรวมกิจการบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะกรณีที่ ทาทา สตีล เข้าควบรวมบริษัทคอรัส ผู้ผลิตเหล็กกล้าลูกครึ่งอังกฤษ-ดัตช์เมื่อปีที่แล้ว ที่มีมูลค่าถึง 13,300 ล้านดอลลาร์
ทว่า อูเดย์ โคตัก กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ โคตัก มหินทรา แบงก์ หนึ่งในผู้นำวงการธนาคารเอกชนของอินเดีย กลับแสดงความกังวลเรื่องการขยายกิจการด้วยวิธีนี้ของบริษัทอินเดีย ในขณะที่กำลังเกิดความปั่นป่วนอย่างหนักในภาคการเงินของโลก
เขากล่าวว่า “ระบบของอินเดีย ทั้งราชการและธุรกิจ ในบางระดับต้องถือว่ากำลังกลายเป็นเหยื่อของความฟุ้งฝัน ซึ่งตอนนี้ปัญหากำลังเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ”
โคตักกล่าวว่าเป็นโชคดีของทาทา ที่การควบรวมกับคอรัสนั้นดำเนินไปได้ด้วยดีกว่าที่คาดหมายกันไว้ แต่การที่กลุ่มธุรกิจเบอร์ลา เข้าไปควบรวมกิจการของโนเวลลิส ผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ของแคนาดานั้น ยังไม่อาจบอกได้ว่าประสบความสำเร็จ นอกจากนี้โคตักยังเรียกการควบรวมกิจการของจากัวร์และแลนด์โรเวอร์โดย ทาทามอเตอร์ส ว่าเป็น “ความเคลื่อนไหวที่ห้าวหาญบ้าบิ่น”
เขาแสดงนัยว่าความกระหายของภาคบรรษัทอินเดียในการซื้อกิจการขนาดใหญ่ กำลังเริ่มลดลงแล้วท่ามกลางภาวะสินเชื่อตึงตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นรวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
โคตักกล่าวว่าตอนนี้ธนาคารของเขา โคตัก มหินทรา ซึ่งเป็นธนาคารภาคเอกชนที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของอินเดีย หันมาสนใจการขยายสาขา 200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์การเงินที่สร้างกำไรให้ไม่ยาก รวมทั้งเป็นการตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจด้วย
เขาเชื่อว่าด้วยขนาดของเศรษฐกิจอินเดีย จะทำให้การขยายตัวของธนาคารจะอยู่ในอัตราที่สูงมาก โดยวางพื้นฐานอยู่บนการเติบโตของผลผลิตมวลรวมประชาชาติของอินเดีย ว่าในระยะปานกลางจะเพิ่มขึ้นในอัตรา 8%
โคตักกล่าวว่าโอกาสทางธุรกิจนั้นอยู่ในประเทศ ไม่ใช่ต่างประเทศ การควบรวมกิจการก็เป็นนโยบายหลักที่ธนาคารจะมุ่งหน้าไป ยิ่งในปีหน้า อินเดียจะการเลือกตั้งในระดับชาติซึ่งน่าจะทำให้รัฐบาลหันมาเตรียมการยกเลิกข้อห้ามของตอนนี้ ที่มิให้ธนาคารภาคเอกชนเข้าถือหุ้นใหญ่ในธนาคารของรัฐทั้งหลาย โดยเขามองว่าหากธนาคารภาคเอกชนและภาครัฐสามารถควบรวมกันได้ ก็จะสร้างโอกาสทางธุรกิจมิใช่น้อย เพราะตอนนี้ธนาคารของรัฐมีส่วนแบ่งในตลาดเงินฝากของอินเดียอยู่ถึง 75% และมีสาขาอยู่หนาแน่นในทั่วทุกท้องถิ่น
.ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นแรงหนุนให้บรรดาธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ในอินเดียมีเงินทุนอย่างอุดมสมบูรณ์เมื่อเทียบกับธนาคารในโลกตะวันตกที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวภายในประเทศ
อย่างไรก็ตามโคตักก็แสดงนัยออกมาว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับนโยบายอนุรักษ์นิยมของธนาคารกลางอินเดียนัก เพราะภายใต้ระเบียบปัจจุบัน ธนาคารอินเดียจะต้องนำเอาเงินฝากราว 25% ไปซื้อหลักทรัพย์ของรัฐบาลเอาถือไว้ และในขณะที่อีก 40% ของเงินฝากจะต้องนำไปให้กู้แก่ภาคการเกษตร