รอยเตอร์ - ข้อกล่าวหามีเพศสัมพันธ์กับผู้ช่วยชายที่อันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้ามาเลเซียกำลังเผชิญหน้า อาจพลิกกลับมาเป็นตัวช่วยหนุนส่งให้ความพยายามก้าวขึ้นสู่อำนาจปกครองประเทศเป็นจริงได้ มากกว่าที่จะทำลายชื่อเสียงของเขา
อันวาร์กล่าวว่าข้อกล่าวหาของผู้ช่วยวัย 23 ปีผู้นี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนสมรู้ร่วมคิดอันชั่วร้าย ที่จะสกัดกั้นเขาไม่ให้แย่งชิงอำนาจการปกครองมาจากพันธมิตรแนวร่วมแห่งชาติ ที่ครองประเทศมาตั้งแต่มาเลเซียประกาศเอกราชในปี 1957
ทั้งนี้หากมีการเปลี่ยนศูนย์อำนาจการปกครอง บรรดาพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลย่อมเสี่ยงที่จะสูญเสียผลประโยชน์ในมือไป เนื่องจากพรรคเหล่านี้เป็นเจ้าของกิจการบริษัทรายใหญ่ที่สุดในมาเลเซียไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อมอยู่ และยังอาศัยระบบอุปถัมภ์เอื้อประโยชน์ในรูปของสัญญาประมูลโครงการต่าง ๆ มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
เมื่อสิบปีก่อน อดีตนายกรัฐมนตรีมหาธีร์ โมฮัมหมัด เคยปลดอันวาร์ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ทั้งสองขัดแย้งกันในเรื่องการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์การเงินเอเชีย ซึ่งอันวาร์ได้ตอบโต้โดยเปิดโปงเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณะ ทำให้ต่อมาเขาถูกจับในคดีคอร์รัปชั่นและมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย และต้องติดคุกนานถึง 6 ปี ก่อนที่ศาลสูงสุดจะวินิจฉัยว่าหลักฐานคดีเพศสัมพันธ์นั้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และพลิกคำตัดสินในปี 2004 ซึ่งเป็นช่วงที่มหาธีร์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว
ดังนั้น จึงไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด ที่ผลสำรวจความคิดเห็นจึงระบุว่า คนส่วนใหญ่เชื่อว่าอันวาร์บริสุทธิ์ และการพิจารณาของศาลที่เป็นสาธารณชน ก็มีแนวโน้มจะตัดสินกรณีดังกล่าวได้ดีกว่าศาลตามกฎหมายเสียด้วย
ยิ่งกว่านั้น ภาพอันวาร์ขณะขึ้นศาลในปี 1988 โดยถูกสวมเครื่องพันธนาการล่ามคอและดวงตาข้างหนึ่งดำคล้ำเนื่องจากถูกอธิบดีกรมตำรวจในเวลานั้นซ้อม ก็ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของคนส่วนใหญ่
"ผมคิดว่าผลสุดท้ายคงไม่มีการฟ้องร้อง เพราะเรื่องทำนองนี้สืบสวนหาข้อเท็จจริงได้ยาก หากไม่ได้มีการบันทึกวิดีโอหรือถ่ายภาพเป็นหลักฐานไว้" ศาสตราจารย์เจมส์ ชิน แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโมนาช วิทยาเขตมาเลเซียกล่าว "นี่เป็นการพูดกล่าวหาผู้อื่นเพียงข้างเดียว"
ส่วนอันวาร์ก็อ้างว่าเขามีพยานรู้เห็นหลายคน ที่สามารถสนับสนุนข้อต่อสู้ของเขาว่า เขาไม่ได้อยู่ที่อพาร์ตเมนต์หรูในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในเวลาที่เดียวกับที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าทั้งสองมีเพศสัมพันธ์กัน
ตัวอัยการสูงสุดเองก็อาจต้องพิจารณาทบทวนเรื่องการนำตัวอันวาร์ขึ้นสู่ศาลเช่นกัน เพราะการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ย่อมกินเวลานานและเป็นประเด็นถกเถียงยืดเยื้อ ดังในกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1998 ซึ่งชาวมาเลย์ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศออกมาประท้วงด้วยความโกรธแค้นเพราะทำให้บุคคลที่เป็นวีรบุรุษในใจต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
ยิ่งกว่านั้น นายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี ก็ประสบความยากลำบากในการฟื้นฟูความน่าเชื่อถือและความเป็นอิสระของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระบวนการยุติธรรมที่แปดเปื้อนจากการเมืองในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้การตัดสินคดีว่ามีความผิดมีความเป็นไปได้น้อยมาก
ศาสตราจารย์ชินเห็นว่า อันวาร์นั้นอยู่ในสถานการ์ที่มีแต่ได้กับได้ "ถ้าหากเขาถูกฟ้อง เขาสามารถอ้างว่าเป็นการเรื่องการเมือง และใช้เป็นประเด็นในการระดมผู้สนับสนุนเขา แต่ถ้าหากรัฐบาลตัดสินใจไม่ฟ้อง เขาก็สามารถกลับไปบอกกับผู้สนับสนุนว่า นี่เป็นการกลั่นแกล้งเขา"
แต่ไม่ว่าจะออกมาเช่นไร การช่วงชิงอำนาจก็จะเกิดขึ้นและเป็นการเร่งจังหวะก้าวทางการเมืองให้เร็วขึ้นด้วย นักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่าอันวาร์ไม่ทีทางอื่นนอกจากโต้กลับอย่างหนักเพื่อช่วงชิงอำนาจการเมืองมาให้ได้
ก่อนหน้านี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านได้จับมือกันแย่งที่นั่งในรัฐสภามาได้มากเกินคาดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคม โดยถ้าได้อีก 30 ที่นั่งก็จะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของทั้งสภาที่มีรวม 222 ที่นั่ง แถมมีชัยได้เป็นผู้ปกครองท้องถิ่นถึง 5 รัฐจาก 13 รัฐ และพันธมิตรฝ่ายค้านยังพยายามดึงตัวสมาชิกรัฐสภาในฟากรัฐบาลมาเป็นพวก โดยตั้งเป้าจะครองเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาให้ได้ในกลางเดือนกันยายนปีนี้
ในระหว่างนี้ อับดุลเลาะห์จึงพยายามแก้ปัญหาภาวะผู้นำของเขาในขณะที่พรรคอัมโน เกิดการแตกแยกกันภายในรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งรองนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ก็กล่าวเป็นนัยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เขาอาจลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในการประชุมเลือกหัวหน้าพรรคในเดือนธันวาคมนี้ด้วย
อันวาร์กล่าวว่าข้อกล่าวหาของผู้ช่วยวัย 23 ปีผู้นี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนสมรู้ร่วมคิดอันชั่วร้าย ที่จะสกัดกั้นเขาไม่ให้แย่งชิงอำนาจการปกครองมาจากพันธมิตรแนวร่วมแห่งชาติ ที่ครองประเทศมาตั้งแต่มาเลเซียประกาศเอกราชในปี 1957
ทั้งนี้หากมีการเปลี่ยนศูนย์อำนาจการปกครอง บรรดาพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลย่อมเสี่ยงที่จะสูญเสียผลประโยชน์ในมือไป เนื่องจากพรรคเหล่านี้เป็นเจ้าของกิจการบริษัทรายใหญ่ที่สุดในมาเลเซียไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อมอยู่ และยังอาศัยระบบอุปถัมภ์เอื้อประโยชน์ในรูปของสัญญาประมูลโครงการต่าง ๆ มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
เมื่อสิบปีก่อน อดีตนายกรัฐมนตรีมหาธีร์ โมฮัมหมัด เคยปลดอันวาร์ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ทั้งสองขัดแย้งกันในเรื่องการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์การเงินเอเชีย ซึ่งอันวาร์ได้ตอบโต้โดยเปิดโปงเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณะ ทำให้ต่อมาเขาถูกจับในคดีคอร์รัปชั่นและมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย และต้องติดคุกนานถึง 6 ปี ก่อนที่ศาลสูงสุดจะวินิจฉัยว่าหลักฐานคดีเพศสัมพันธ์นั้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และพลิกคำตัดสินในปี 2004 ซึ่งเป็นช่วงที่มหาธีร์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว
ดังนั้น จึงไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด ที่ผลสำรวจความคิดเห็นจึงระบุว่า คนส่วนใหญ่เชื่อว่าอันวาร์บริสุทธิ์ และการพิจารณาของศาลที่เป็นสาธารณชน ก็มีแนวโน้มจะตัดสินกรณีดังกล่าวได้ดีกว่าศาลตามกฎหมายเสียด้วย
ยิ่งกว่านั้น ภาพอันวาร์ขณะขึ้นศาลในปี 1988 โดยถูกสวมเครื่องพันธนาการล่ามคอและดวงตาข้างหนึ่งดำคล้ำเนื่องจากถูกอธิบดีกรมตำรวจในเวลานั้นซ้อม ก็ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของคนส่วนใหญ่
"ผมคิดว่าผลสุดท้ายคงไม่มีการฟ้องร้อง เพราะเรื่องทำนองนี้สืบสวนหาข้อเท็จจริงได้ยาก หากไม่ได้มีการบันทึกวิดีโอหรือถ่ายภาพเป็นหลักฐานไว้" ศาสตราจารย์เจมส์ ชิน แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโมนาช วิทยาเขตมาเลเซียกล่าว "นี่เป็นการพูดกล่าวหาผู้อื่นเพียงข้างเดียว"
ส่วนอันวาร์ก็อ้างว่าเขามีพยานรู้เห็นหลายคน ที่สามารถสนับสนุนข้อต่อสู้ของเขาว่า เขาไม่ได้อยู่ที่อพาร์ตเมนต์หรูในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในเวลาที่เดียวกับที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าทั้งสองมีเพศสัมพันธ์กัน
ตัวอัยการสูงสุดเองก็อาจต้องพิจารณาทบทวนเรื่องการนำตัวอันวาร์ขึ้นสู่ศาลเช่นกัน เพราะการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ย่อมกินเวลานานและเป็นประเด็นถกเถียงยืดเยื้อ ดังในกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1998 ซึ่งชาวมาเลย์ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศออกมาประท้วงด้วยความโกรธแค้นเพราะทำให้บุคคลที่เป็นวีรบุรุษในใจต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
ยิ่งกว่านั้น นายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี ก็ประสบความยากลำบากในการฟื้นฟูความน่าเชื่อถือและความเป็นอิสระของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระบวนการยุติธรรมที่แปดเปื้อนจากการเมืองในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้การตัดสินคดีว่ามีความผิดมีความเป็นไปได้น้อยมาก
ศาสตราจารย์ชินเห็นว่า อันวาร์นั้นอยู่ในสถานการ์ที่มีแต่ได้กับได้ "ถ้าหากเขาถูกฟ้อง เขาสามารถอ้างว่าเป็นการเรื่องการเมือง และใช้เป็นประเด็นในการระดมผู้สนับสนุนเขา แต่ถ้าหากรัฐบาลตัดสินใจไม่ฟ้อง เขาก็สามารถกลับไปบอกกับผู้สนับสนุนว่า นี่เป็นการกลั่นแกล้งเขา"
แต่ไม่ว่าจะออกมาเช่นไร การช่วงชิงอำนาจก็จะเกิดขึ้นและเป็นการเร่งจังหวะก้าวทางการเมืองให้เร็วขึ้นด้วย นักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่าอันวาร์ไม่ทีทางอื่นนอกจากโต้กลับอย่างหนักเพื่อช่วงชิงอำนาจการเมืองมาให้ได้
ก่อนหน้านี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านได้จับมือกันแย่งที่นั่งในรัฐสภามาได้มากเกินคาดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคม โดยถ้าได้อีก 30 ที่นั่งก็จะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของทั้งสภาที่มีรวม 222 ที่นั่ง แถมมีชัยได้เป็นผู้ปกครองท้องถิ่นถึง 5 รัฐจาก 13 รัฐ และพันธมิตรฝ่ายค้านยังพยายามดึงตัวสมาชิกรัฐสภาในฟากรัฐบาลมาเป็นพวก โดยตั้งเป้าจะครองเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาให้ได้ในกลางเดือนกันยายนปีนี้
ในระหว่างนี้ อับดุลเลาะห์จึงพยายามแก้ปัญหาภาวะผู้นำของเขาในขณะที่พรรคอัมโน เกิดการแตกแยกกันภายในรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งรองนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ก็กล่าวเป็นนัยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เขาอาจลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในการประชุมเลือกหัวหน้าพรรคในเดือนธันวาคมนี้ด้วย