ผู้จัดการรายวัน - "ภัทรียา" ยอมรับผลงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ครึ่งแรกปี 51 พลาดเป้า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยแค่ 1.9 หมื่นล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 2.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีหุ้นน้องใหม่เข้าจดทะเบียนแค่ 12 ราย หลุดเป้าไป 8 ราย ระบุพิษเงินเฟ้อพุ่ง ฉุดเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว พร้อมประกาศแผนงานเร่งเครื่องครึ่งปีหลัง เตรียมออกสินค้าใหม่ เพิ่มสภาพคล่องให้คึกคัก หวัง "เบียร์ช้าง" ทำดูอัลลิสติ้ง ด้าน "วิเชฐ" แจงบริษัทเลื่อนขายหุ้นครึ่งแรกยันเข้าจดทะเบียนปีนี้ส่งผลไตรมาส3-4 กระจุกตัว
ตลอดระยะเวลา 6 เดือนแรกของปี 2551 ภาวะเศรษฐกิจโลกต่างชะลอตัวจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวแตะ 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้กดดันให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น จนกลายเป็นวิกฤตที่หลายฝ่ายกังวล ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเองอยู่ในช่วงขาขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนได้
ส่วนปัจจัยเรื่องปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพของสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจจะคลี่คลายไปแล้วนั้น กลับประทุเข้ามาอีกรอบ เพราะผลการดำเนินงานของสถาบันการขนาดใหญ่ยังประสบปัญหาขาดทุนจำนวนมหาศาล และอาจทำให้ต้องมีการเพิ่มทุนขนานใหญ่เร็วๆ นี้
จากปัญหาที่รุมเร้าดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่ตั้งสิ้นปี 2550 ที่ปิดในระดับ 858.10 จุด ล่าสุด (30 มิ.ย.) อยู่ที่ 768.59 จุด ลดลง 89.51 จุด หรือคิดเป็น 10.43% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 19,384.53 ล้านบาทต่อวัน โดยมีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้นกว่า 50,339 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก2551ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งในด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยที่ตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 22,000 ล้านบาทต่อวัน แต่ 6 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 19,384.53 ล้านบาทต่อวัน และมีบริษัทใหม่ที่เข้ามาระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แค่ 12 แห่ง
โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่ำกว่าประมาณการที่กำหนดไว้ เกิดจากปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวพุ่งสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง ซ้ำเติมให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยและมูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงเช่นกัน
นางภัทรียา กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพยายามเร่งการดำเนินงานให้ผลงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะมีการออกสินค้าใหม่ๆ อาทิ กองทุนอิควิตี้อีทีเอฟ ฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับทองคำ (Gold Futures) และฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับหุ้นสามัญ (Stock Futures) ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในสินค้าใหม่และจะทำให้บรรยากกาศการลงทุนดีขึ้น และทำให้มูลค่าการซื้อขายปรับตัวมากขึ้นเช่นกัน
"การทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น ยอมรับว่ามีความกังวลบ้างในช่วงครึ่งปีแรก แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนั้นเราจะเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งในด้านของวอลุ่มการซื้อขาย การนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียน รวมถึงการออกตราสารทางการเงินใหม่ๆ ที่อ้างอิงกับหุ้น เพื่อที่จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ"
สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองนั้นนักลงทุนต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด แต่คาดว่าสถานการณ์ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศจะคลี่คลายลงทำให้บรรยากาศการลงทุนปรับตัวดีขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากสถานการณ์ไม่นิ่งตลาดลหลักทรัพย์ฯ จะพยายามทำงานให้ดีที่สุด โดยในเรื่องการนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนนั้น ทีมงานได้เข้าพบบริษัทเพื่อเชิญชวนให้เข้ามาจดทะเบียน แต่จากภาวะตลาดไม่ดีนั้นอาจจะทำให้มีบางบริษัทชะลอแผนการระดมทุนออกไปก่อน
ส่วนแผนรับมือในกรณีที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงนั้น นางภัทรียา กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้โอกาสนี้ชักชวนบริษัทที่มีแผนเข้าไประดมทุนในประเทศเวียดนามเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแทน ซึ่งทางสายงานด้านศูนย์ระดมทุนได้มีการหารือถึงแผนการดำเนินงานที่จะเชิญชวนให้บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทยทั้งในเวียดนามและลาวเข้ามาจดทะเบียน
"เรามีเป้าหมายที่จะดึงบริษัทเวียดนามและลาวเข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทย ขณะที่การนำบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในลักษณะการจดทะเบียน 2 ตลาด (ดูอัลลิสติ้ง)นั้นขณะนี้ต้องรอความพร้อมและจังหวะเหมาะสมก่อน"
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าบริษัทใหม่เข้ามาจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกจำนวน 20 บริษัท แต่เข้ามาจดทะเบียนได้เพียง 12 บริษัท ซึ่งอีก 8 บริษัทนั้นได้มีการชะลอออกไป เนื่องจากเศรษฐกิจมีการชะลอตัว เงินเฟ้อ ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งผลต่อกระทบต่อภาวะตลาดไม่ดี และกระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัท จากมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมายทำให้ลดความน่าสนใจที่จะให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท
"แม้ว่าบริษัทที่ชะลอแผนระดมทุนและจดทะเบียนในครึ่งแรกของปี หลังจากภาวะการลงทุนไม่เอื้ออำนวย แต่ทุกบริษัทยังคงยืนยันว่าจะมีการเข้าจดทะเบียนแน่นอนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ทำให้หุ้นไอพีโอมีการกระจุกตัวในการเข้าระดมทุนในช่วงไตรมาส 3 -ไตรมาส 4 นี้ ซึ่งมั่นใจว่าปีนี้จะมีบริษัทใหม่เข้ามาจดทะเบียนตามเป้าหมายที่ 37 บริษัท"
นายวิเชฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้จะมีสถานการณ์กระทบต่อการลงทุนบ้าง แต่วอลุ่มการซื้อขายถือว่าอยู่ในระดับที่ดี เพราะในช่วงสถานการณ์ไม่ดีนั้นนักลงทุนได้พยายามหาโอกาสในการลงทุนว่าในช่วงที่ตลาดไม่ดีจะลงทุนอะไรได้บ้าง ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองได้จัดงานให้ข้อมูลนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้มุ่งเน้นให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนทันที แต่จะเน้นให้นักลงทุนมีข้อมูลมากที่สุดเพื่อที่จะประกอบการตัดสินใจการลงทุนที่ถูกต้อง
ตลอดระยะเวลา 6 เดือนแรกของปี 2551 ภาวะเศรษฐกิจโลกต่างชะลอตัวจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวแตะ 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้กดดันให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น จนกลายเป็นวิกฤตที่หลายฝ่ายกังวล ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเองอยู่ในช่วงขาขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนได้
ส่วนปัจจัยเรื่องปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพของสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจจะคลี่คลายไปแล้วนั้น กลับประทุเข้ามาอีกรอบ เพราะผลการดำเนินงานของสถาบันการขนาดใหญ่ยังประสบปัญหาขาดทุนจำนวนมหาศาล และอาจทำให้ต้องมีการเพิ่มทุนขนานใหญ่เร็วๆ นี้
จากปัญหาที่รุมเร้าดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่ตั้งสิ้นปี 2550 ที่ปิดในระดับ 858.10 จุด ล่าสุด (30 มิ.ย.) อยู่ที่ 768.59 จุด ลดลง 89.51 จุด หรือคิดเป็น 10.43% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 19,384.53 ล้านบาทต่อวัน โดยมีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้นกว่า 50,339 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก2551ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งในด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยที่ตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 22,000 ล้านบาทต่อวัน แต่ 6 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 19,384.53 ล้านบาทต่อวัน และมีบริษัทใหม่ที่เข้ามาระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แค่ 12 แห่ง
โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่ำกว่าประมาณการที่กำหนดไว้ เกิดจากปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวพุ่งสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง ซ้ำเติมให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยและมูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงเช่นกัน
นางภัทรียา กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพยายามเร่งการดำเนินงานให้ผลงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะมีการออกสินค้าใหม่ๆ อาทิ กองทุนอิควิตี้อีทีเอฟ ฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับทองคำ (Gold Futures) และฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับหุ้นสามัญ (Stock Futures) ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในสินค้าใหม่และจะทำให้บรรยากกาศการลงทุนดีขึ้น และทำให้มูลค่าการซื้อขายปรับตัวมากขึ้นเช่นกัน
"การทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น ยอมรับว่ามีความกังวลบ้างในช่วงครึ่งปีแรก แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนั้นเราจะเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งในด้านของวอลุ่มการซื้อขาย การนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียน รวมถึงการออกตราสารทางการเงินใหม่ๆ ที่อ้างอิงกับหุ้น เพื่อที่จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ"
สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองนั้นนักลงทุนต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด แต่คาดว่าสถานการณ์ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศจะคลี่คลายลงทำให้บรรยากาศการลงทุนปรับตัวดีขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากสถานการณ์ไม่นิ่งตลาดลหลักทรัพย์ฯ จะพยายามทำงานให้ดีที่สุด โดยในเรื่องการนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนนั้น ทีมงานได้เข้าพบบริษัทเพื่อเชิญชวนให้เข้ามาจดทะเบียน แต่จากภาวะตลาดไม่ดีนั้นอาจจะทำให้มีบางบริษัทชะลอแผนการระดมทุนออกไปก่อน
ส่วนแผนรับมือในกรณีที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงนั้น นางภัทรียา กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้โอกาสนี้ชักชวนบริษัทที่มีแผนเข้าไประดมทุนในประเทศเวียดนามเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแทน ซึ่งทางสายงานด้านศูนย์ระดมทุนได้มีการหารือถึงแผนการดำเนินงานที่จะเชิญชวนให้บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทยทั้งในเวียดนามและลาวเข้ามาจดทะเบียน
"เรามีเป้าหมายที่จะดึงบริษัทเวียดนามและลาวเข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทย ขณะที่การนำบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในลักษณะการจดทะเบียน 2 ตลาด (ดูอัลลิสติ้ง)นั้นขณะนี้ต้องรอความพร้อมและจังหวะเหมาะสมก่อน"
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าบริษัทใหม่เข้ามาจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกจำนวน 20 บริษัท แต่เข้ามาจดทะเบียนได้เพียง 12 บริษัท ซึ่งอีก 8 บริษัทนั้นได้มีการชะลอออกไป เนื่องจากเศรษฐกิจมีการชะลอตัว เงินเฟ้อ ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งผลต่อกระทบต่อภาวะตลาดไม่ดี และกระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัท จากมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมายทำให้ลดความน่าสนใจที่จะให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท
"แม้ว่าบริษัทที่ชะลอแผนระดมทุนและจดทะเบียนในครึ่งแรกของปี หลังจากภาวะการลงทุนไม่เอื้ออำนวย แต่ทุกบริษัทยังคงยืนยันว่าจะมีการเข้าจดทะเบียนแน่นอนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ทำให้หุ้นไอพีโอมีการกระจุกตัวในการเข้าระดมทุนในช่วงไตรมาส 3 -ไตรมาส 4 นี้ ซึ่งมั่นใจว่าปีนี้จะมีบริษัทใหม่เข้ามาจดทะเบียนตามเป้าหมายที่ 37 บริษัท"
นายวิเชฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้จะมีสถานการณ์กระทบต่อการลงทุนบ้าง แต่วอลุ่มการซื้อขายถือว่าอยู่ในระดับที่ดี เพราะในช่วงสถานการณ์ไม่ดีนั้นนักลงทุนได้พยายามหาโอกาสในการลงทุนว่าในช่วงที่ตลาดไม่ดีจะลงทุนอะไรได้บ้าง ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองได้จัดงานให้ข้อมูลนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้มุ่งเน้นให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนทันที แต่จะเน้นให้นักลงทุนมีข้อมูลมากที่สุดเพื่อที่จะประกอบการตัดสินใจการลงทุนที่ถูกต้อง