ผู้จัดการรายวัน- ไรมอนแลนด์ฯรับเงินกู้ก้อนโต 5,000 ล้านบาท จาก 3 ธนาคารพาณิชย์ไทยและเทศ เพื่อก่อสร้างโครงการเดอะริเวอร์ มูลค่าขาย 13,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้า 4 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้านบาทเน้นตามหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก
นายไนเจิล จอห์น คอร์นิค กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กล่าวว่า ทางบริษัทฯได้รับการสนับสนุนเงินกู้จำนวน 5,000 ล้านบาท สำหรับในการพัฒนาโครงการ เดอะริเวอร์ ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าขายสูงสุดในปัจจุบันประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยมีธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นแกน และมีธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมปล่อยกู้
สำหรับโครงการ “เดอะริเวอร์” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีมูลค่าขายประมาณ 13,000 ล้านบาท โครงการได้เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2550 โดยการตอกเสาเข็มลึก 250 เมตรได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายแล้วกว่า 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 54% ของมูลค่าโครงการ
“ในภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศอยู่ในภาวะที่คลุมเครือ บริษัทและผู้ร่วมทุนในโครงการ “เดอะริเวอร์” ยังสามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาโครงการ “เดอะริเวอร์” ได้ถึง 5,000 ล้านบาท โดยโครงการมีแผนที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนให้กับลูกค้าได้ในปี 2554” นายไนเจิลกล่าว
สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทฯในปีนี้ วางเป้าเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เดอะ ล็อฟท์ เซาท์ชอร์ พัทยา โครงการคอนโดฯบนพื้นที่พัฒนาโครงการ 6 ไร่ อาคารชุด 2 อาคาร จำนวน 733 ยูนิต ใช้งบลงทุน 3,600 ล้านบาท มูลค่าขายรวม 4,700 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส2 ของปี
ส่วนในไตรมาสที่ 3 จะเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ โดยจะเป็นคอนโดฯ ภายใต้ชื่อ “185 ราชดำริ” บนเนื้อที่ 4 ไร่ ในย่านถนนราชดำริ โดยจะพัฒนาเป็นอาคารชุด 1 อาคาร จำนวน 200 ยูนิต ใช้งบลงทุน 6,700 ล้านบาท มูลค่าขายรวม 9,800 ล้านบาท โครงการที่ 2 คือ โครงการวิลล่า “อมัลฟี” ในจ.ภูเก็ต มีพื้นที่การพัฒนาโครงการรวม 40 ไร่ จำนวน18-20ยูนิต คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 3,300 ล้านบาท และมีมูลค่าการขายรวม 4,000 ล้านบาท
และโครงการที่ 4 จะเปิดตัวในช่วงปลายปี โดยเป็นโครงการคอนโดฯในเมืองพัทยา ซึ่งจะใช้ชื่อโครงการว่า “The EDGE” มีพื้นที่ในการพัฒนาโครงการรวม 4 ไร่ จำนวน200 ยูนิต มูลค่าการลงทุน 2,900 ล้านบาท มูลค่าการขายรวม 3,700 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 51 ตามงบการเงินรวมมีจำนวนประมาณ 49.08 ล้านบาท ในขณะที่ในไตรมาสแรกของปี 2550 นั้น บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 49.56 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ในไตรมาสที่ 1 ของปี 51 บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้มากกว่า ปีก่อนจำนวน 376.43 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทและบริษัทย่อยสามารถรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาฯ จำนวน 691.33 ล้านบาท (เป็นการรับรู้รายได้จากโครงการ เดอะไฮทส์ ภูเก็ต จำนวน 155.56 ล้านบาท โครงการนอร์ทพ้อยท์ จำนวน 292.99 ล้านบาท โครงการนอร์ทชอร์ จำนวน 80.00 ล้านบาท โครงการเดอะล็อฟท์ เย็นอากาศ จำนวน 60.59 ล้านบาท และโครงการเดอะ ริเวอร์ จำนวน 102.19 ล้านบาท) ในขณะที่ในไตรมาสแรกของปีที่แล้วบริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการขายโครงการของบริษัทได้เพียง 314.90 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทขอเรียนว่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทและบริษัทย่อยมียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้จากโครงการใหม่จำนวนประมาณ 8,562.56 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
นายไนเจิล จอห์น คอร์นิค กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กล่าวว่า ทางบริษัทฯได้รับการสนับสนุนเงินกู้จำนวน 5,000 ล้านบาท สำหรับในการพัฒนาโครงการ เดอะริเวอร์ ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าขายสูงสุดในปัจจุบันประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยมีธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นแกน และมีธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมปล่อยกู้
สำหรับโครงการ “เดอะริเวอร์” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีมูลค่าขายประมาณ 13,000 ล้านบาท โครงการได้เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2550 โดยการตอกเสาเข็มลึก 250 เมตรได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายแล้วกว่า 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 54% ของมูลค่าโครงการ
“ในภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศอยู่ในภาวะที่คลุมเครือ บริษัทและผู้ร่วมทุนในโครงการ “เดอะริเวอร์” ยังสามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาโครงการ “เดอะริเวอร์” ได้ถึง 5,000 ล้านบาท โดยโครงการมีแผนที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนให้กับลูกค้าได้ในปี 2554” นายไนเจิลกล่าว
สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทฯในปีนี้ วางเป้าเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เดอะ ล็อฟท์ เซาท์ชอร์ พัทยา โครงการคอนโดฯบนพื้นที่พัฒนาโครงการ 6 ไร่ อาคารชุด 2 อาคาร จำนวน 733 ยูนิต ใช้งบลงทุน 3,600 ล้านบาท มูลค่าขายรวม 4,700 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส2 ของปี
ส่วนในไตรมาสที่ 3 จะเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ โดยจะเป็นคอนโดฯ ภายใต้ชื่อ “185 ราชดำริ” บนเนื้อที่ 4 ไร่ ในย่านถนนราชดำริ โดยจะพัฒนาเป็นอาคารชุด 1 อาคาร จำนวน 200 ยูนิต ใช้งบลงทุน 6,700 ล้านบาท มูลค่าขายรวม 9,800 ล้านบาท โครงการที่ 2 คือ โครงการวิลล่า “อมัลฟี” ในจ.ภูเก็ต มีพื้นที่การพัฒนาโครงการรวม 40 ไร่ จำนวน18-20ยูนิต คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 3,300 ล้านบาท และมีมูลค่าการขายรวม 4,000 ล้านบาท
และโครงการที่ 4 จะเปิดตัวในช่วงปลายปี โดยเป็นโครงการคอนโดฯในเมืองพัทยา ซึ่งจะใช้ชื่อโครงการว่า “The EDGE” มีพื้นที่ในการพัฒนาโครงการรวม 4 ไร่ จำนวน200 ยูนิต มูลค่าการลงทุน 2,900 ล้านบาท มูลค่าการขายรวม 3,700 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 51 ตามงบการเงินรวมมีจำนวนประมาณ 49.08 ล้านบาท ในขณะที่ในไตรมาสแรกของปี 2550 นั้น บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 49.56 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ในไตรมาสที่ 1 ของปี 51 บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้มากกว่า ปีก่อนจำนวน 376.43 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทและบริษัทย่อยสามารถรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาฯ จำนวน 691.33 ล้านบาท (เป็นการรับรู้รายได้จากโครงการ เดอะไฮทส์ ภูเก็ต จำนวน 155.56 ล้านบาท โครงการนอร์ทพ้อยท์ จำนวน 292.99 ล้านบาท โครงการนอร์ทชอร์ จำนวน 80.00 ล้านบาท โครงการเดอะล็อฟท์ เย็นอากาศ จำนวน 60.59 ล้านบาท และโครงการเดอะ ริเวอร์ จำนวน 102.19 ล้านบาท) ในขณะที่ในไตรมาสแรกของปีที่แล้วบริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการขายโครงการของบริษัทได้เพียง 314.90 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทขอเรียนว่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทและบริษัทย่อยมียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้จากโครงการใหม่จำนวนประมาณ 8,562.56 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้