นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชน (พปช.) ออกมาระบุว่าข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรค ปชป. เป็นข้อมูลที่บางเบามาก ว่า พรรคพปช. ควรจะฟังเสียงของประชาชนมากกว่าเสียงภายในพรรคของตัวเอง เพราะภายในพรรค พปช.ไม่ค่อยมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะคอยรับฟังเสียงคำบงการจากเจ้าของพรรคตัวจริงมากกว่าที่จะฟังเสียงแท้จริงของคนที่เป็นสมาชิกพรรค
ขอยืนยันว่า เสียงของประชาชนส่วนหนึ่ง สะท้อนได้จากโพลสำรวจต่างๆ ขณะนี้ที่ออกมาชื่นชมว่า พรรคปชป.เตรียมการนำเสนอข้อมูลได้เป็นอย่างดี ประชาชนพึงพอใจ จะเห็นได้ว่า เรื่องข้อมูลนั้นคงไม่เป็นความจริงที่ว่าเราไม่ข้อมูล เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 วัน พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า พรรคปชป. มีข้อมูลอภิปรายอย่างเพียงพอ
**ซัด"หมัก"ชอบฟังแต่เสียงป้อยอ
นายองอาจ กล่าวว่า จากการที่พรรคปชป. มีข้อมูลการอภิปราย ทำให้เกิดกระแสการปรับ ครม. ซึ่งสื่อมวลชนได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้มาก จนกระทั่งนายสมัคร ออกมาจวกสื่อว่า มาสาระแน กุข่าวการปรับครม. และเยาะเย้ยว่า ระวังจะหน้าแตก ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ตนอยากบอกว่า นายกฯ ควรรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อ เพราะสื่อมวลชนเป็นกระจกเงา สะท้อนถึงสถานการณ์ทางการเมือง และสะท้อนความต้องการของประชาชนส่วนหนึ่ง การที่สื่อมวลชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการปรับ ครม.นั้น ไม่ใช่เรื่องที่สื่อมวลชนมาสาระแน แต่สื่อกำลังเสนอสาระมากกว่า สาระแน ซึ่งเป็นสาระที่สะท้อนความจริงของสังคม ประชาชน และสภาพการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
"เพียงแต่นายกฯ ไม่ค่อยอยากฟังความจริง แต่ชอบฟังเสียงป้อยอของคนรอบข้าง หรือคนที่เห็นด้วยกับท่านเป็นหลัก และคิดว่าเรื่องการปรับครม. ไม่ใช่เรื่องที่นายกฯ จะต้องมาทำให้สื่อหน้าแตก หรือไม่ แต่นายกฯ ควรคำนึงถึงหน้าตาของประเทศไทย และประชาชนคนไทยที่ควรจะมีรัฐบาลที่มีหน้าตาดีกว่าในปัจจุบัน เพราะถ้าเรามี ครม. และรัฐมนตรีที่ดี ก็จะมีส่วนสำคัญช่วยทำให้การแก้ไขปัญหาของประชาชนดีขึ้น และภาพลักษณ์ของรัฐบาล ก็ดีด้วย จึงอยากให้รัฐบาลยอมรับความจริงในเรื่องการปรับครม." นายองอาจ กล่าว
**อัด 3 นักการเมืองทำรามฯเสื่อมเสีย
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าในฐานะที่ตนเป็นอดีตผู้นำนักศึกษา ม.รามคำแหง ต้องการที่จะปกป้องสถาบัน ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน จึงอยากจะเรียกร้องให้ศิษย์เก่าของ ม.รามฯ ช่วยกันปกป้องเกียรติยศ ชื่อเสียงของสถาบันด้วย อย่างน้อยก็มีศิษย์เก่าที่กำลังมีเรื่องอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้ 3 คน คือนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ซึ่งทั้ง 3 คน จะต้องแสดงท่าทีทางการเมืองให้ชัดเจน เช่น นายสันติ ต้องพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจาก รมว.คมนาคม เพราะขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี ด้านคุณธรรมและจริยธรรมอย่างรุนแรงที่มีประวัติโกงข้อสอบ
ส่วนนายจตุพร ต้องแสดงความรับผิดชอบที่ได้ประกาศกลางสภา ท้าทายพ.อ.วินัย สมพงษ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ที่เอาตำแหน่งเดิมพัน วันนี้ปรากฏชัดว่าข้อมูลของ พ.อ.วินัย เป็นความจริง จึงอยากให้นายจตุพร ออกมารับผิดชอบเพื่อไม่ให้สภาเสื่อมเสียอักด้วย
ส่วนกรณีของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไม่อยากที่จะให้อ้างอิงเอาสถาบันรามฯ มาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของรัฐมนตรี เพราะจะทำให้สถาบันฯ เสื่อมเสียไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนายสันติและนายจตุพร ถ้าได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองแล้วก็ถือว่า ได้ช่วยกันปกป้องศักดิ์ศรีของสภาไม่ให้ตกต่ำไปในสายตาของประชาชน
ส่วนกรณี ร.ท. กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ออกมาแสดงความเห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลไปไหนไม่ได้ ต้องกอดขาพรรคพลังประชาชนร่วมรัฐบาลต่อไป แสดงให้เห็นถึงการดูถูกเหยียดยามพรรคร่วมรัฐบาลอย่างชัดเจน เพราะพฤติกรรมแบบนี้ได้แสดงให้เห็นตั้งแต่ก่อนลงมติไม่ไว้วางใจมาครั้งหนึ่งแล้วว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลไปไหนไมได้ เหมือนปลาคาร์ปที่ว่ายวยเวียนอยู่หน้าสภา จึงไม่ทราบว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะมีความรู้สึกอย่างใดต่อท่าทีของพรรคแกนนำ ข้อตกลงที่ให้โหวตไว้วางใจไปก่อนแล้วค่อยปรับ ครม.ภายหลัง ก็กำลังถูกเบี้ยวและท้าทายจากนายกฯว่า ถ้าไม่ปรับครม.แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้อยากถามพรรคร่วมรัฐบาลว่า ยังอยู่ร่วมรัฐบาลอย่างมีความสุขดีอยู่หรือ เมื่อเขาดูถูกดูแคลนของการเป็นพรรคร่วม และหักหลังทางการเมืองจะทนอยู่ร่วมรัฐบาลกันได้อย่างไร
**เรียกร้องตุลาการภิวัฒน์จัดการแม้ว
สำหรับคำนำทายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าสถานการณ์หลังวันที่ 2 ก.ค. เหตุการณ์บ้านเมืองจะดีขึ้นนั้น ก็น่าจะดีเฉพาะตัวพ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น เพราะหลังจากวันที่ 30 มิ.ย. คตส.ก็จะสิ้นสภาพไป คดีความต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะถูกถ่ายโอนไปยังป.ป.ช. ก็เป็นการยืดอายุทางคดีของพ.ต.ท.ทักษิณไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งการพิจารณาของป.ป.ช. คงต้องใช้เวลานานพอสมควร พ.ต.ท.ทักษิณคงต้องใช้ช่วงจังหวะเวลานี้ผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญจนสำเร็จ และทำให้คดีของตัวเองหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา วันนี้สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดของพ.ต.ท.ทักษิณ คือกลัวตัวเองจะติดคุกตามข้อกล่าวหาของ คตส. จึงดิ้นหนีสุดชีวิต ในขณะเดียวกัน ก็เป็นความโชคร้ายของประชาชน ตามที่โหรคนอื่นทำนายไว้ และเชื่อว่าจะต้องมีขบวนการตุลาการภิวัฒน์รอบ 2 เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อหาทางออกให้กับสังคมที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ขณะนี้
**แม้วพบหมักไม่เกี่ยวปรับ ครม.
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการปรับครม. ที่นายสมัคร สุทรเวช นายกรัฐมนตรี และพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้พบกันในงานแต่งงานบุตรสาว พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมองกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ามาเกี่ยวข้องในการปรับครม.ว่า ช่วงที่เจอกันในงานแต่งงานตนก็อยู่ด้วย เจอกกันก็สวัสดีกันแป๊บเดียว และนายกฯ ก็นั่งคุยกันสองสามคำเท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็แยกไปนั่งอีกเก้าอี้ เพื่อให้นายกฯนั่งในที่ที่คิดว่าเหมาะสม ไม่มีการพูดเรื่องปรับครม. และไม่ได้นัดกันเพื่อพูดเรื่องอะไร ต่างคนต่างไปงานตามคำเชิญของพล.ต.สนั่น ไม่มีอะไรเลย ยืนยันได้และพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยมายุ่ง
ส่วนที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ออกมาระบุว่า ถึงอย่างไรก็ต้องปรับครม.นั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีที่จะเป็นผู้พูดเรื่องนี้
เมื่อถามว่า ประเมินว่ารัฐบาลจะอยู่อีกนานหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ขอถามว่ารัฐบาลที่อยู่ ทำอะไรเสียหายไหม อย่างตนอยู่กระทรวงศึกษาธิการ ก็ทำงานมาตลอด เรื่องกองทุนกู้ยืม เรียนฟรี ส่งเสริมการเรียนในภาคใต้ ส่งเสริมการเรียนคนพิการ ผู้เจ็บป่วย และเรื่องวิทยฐานะของครู กระทรวงอื่นๆ ก็ทำงาน ถามว่ามีอะไรที่ผิดพลาดร้ายแรงทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายหรือไม่ เราคิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นเงื่อนไข เราทำงานกันตามปกติ ถามว่ามีใครทุจริต คอร์รัปชั่นหรือไม่ ก็ยังไม่เห็นมี
"ผมคิดว่าระยะเวลาที่มาเป็นรัฐบาล แค่ยังไม่ถึง 6 เดือน จะมาประเมินว่าไร้สมรรถภาพยังยากอยู่ เอาสักครึ่งเทอม หรือปีหนึ่ง ก็ยังดี ดูว่าเป็นอย่างไร โดยเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนๆด้วยนะ เรื่องกองทุน SML ก็ทำไปแล้ว รถไฟฟ้าทั้งบนดิน และใต้ดิน น้ำ โครงการมีแล้ว หลังจากการประเมินให้ประชาชนเป็นคนมองดู ประชาชนเป็นคนตัดสิน และวิธีตัดสินที่ดีที่สุดคือ พอหมดเทอมเข้าคูหาไปกาเลย ไม่พอใจก็กาคนอื่น พอใจก็กาคนเดิม นี่คือระบบประชาธิปไตย แต่พอมาถึงแค่สองสามวัน พูดไม่ถูกหู เป็นการตัดสินใจเร็วเกินไปหรือเปล่า" นายสมชาย กล่าวและว่าตามรัฐธรรมนูญรัฐบาลจะมีวาระถึง 4 ปี
ขอยืนยันว่า เสียงของประชาชนส่วนหนึ่ง สะท้อนได้จากโพลสำรวจต่างๆ ขณะนี้ที่ออกมาชื่นชมว่า พรรคปชป.เตรียมการนำเสนอข้อมูลได้เป็นอย่างดี ประชาชนพึงพอใจ จะเห็นได้ว่า เรื่องข้อมูลนั้นคงไม่เป็นความจริงที่ว่าเราไม่ข้อมูล เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 วัน พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า พรรคปชป. มีข้อมูลอภิปรายอย่างเพียงพอ
**ซัด"หมัก"ชอบฟังแต่เสียงป้อยอ
นายองอาจ กล่าวว่า จากการที่พรรคปชป. มีข้อมูลการอภิปราย ทำให้เกิดกระแสการปรับ ครม. ซึ่งสื่อมวลชนได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้มาก จนกระทั่งนายสมัคร ออกมาจวกสื่อว่า มาสาระแน กุข่าวการปรับครม. และเยาะเย้ยว่า ระวังจะหน้าแตก ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ตนอยากบอกว่า นายกฯ ควรรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อ เพราะสื่อมวลชนเป็นกระจกเงา สะท้อนถึงสถานการณ์ทางการเมือง และสะท้อนความต้องการของประชาชนส่วนหนึ่ง การที่สื่อมวลชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการปรับ ครม.นั้น ไม่ใช่เรื่องที่สื่อมวลชนมาสาระแน แต่สื่อกำลังเสนอสาระมากกว่า สาระแน ซึ่งเป็นสาระที่สะท้อนความจริงของสังคม ประชาชน และสภาพการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
"เพียงแต่นายกฯ ไม่ค่อยอยากฟังความจริง แต่ชอบฟังเสียงป้อยอของคนรอบข้าง หรือคนที่เห็นด้วยกับท่านเป็นหลัก และคิดว่าเรื่องการปรับครม. ไม่ใช่เรื่องที่นายกฯ จะต้องมาทำให้สื่อหน้าแตก หรือไม่ แต่นายกฯ ควรคำนึงถึงหน้าตาของประเทศไทย และประชาชนคนไทยที่ควรจะมีรัฐบาลที่มีหน้าตาดีกว่าในปัจจุบัน เพราะถ้าเรามี ครม. และรัฐมนตรีที่ดี ก็จะมีส่วนสำคัญช่วยทำให้การแก้ไขปัญหาของประชาชนดีขึ้น และภาพลักษณ์ของรัฐบาล ก็ดีด้วย จึงอยากให้รัฐบาลยอมรับความจริงในเรื่องการปรับครม." นายองอาจ กล่าว
**อัด 3 นักการเมืองทำรามฯเสื่อมเสีย
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าในฐานะที่ตนเป็นอดีตผู้นำนักศึกษา ม.รามคำแหง ต้องการที่จะปกป้องสถาบัน ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน จึงอยากจะเรียกร้องให้ศิษย์เก่าของ ม.รามฯ ช่วยกันปกป้องเกียรติยศ ชื่อเสียงของสถาบันด้วย อย่างน้อยก็มีศิษย์เก่าที่กำลังมีเรื่องอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้ 3 คน คือนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ซึ่งทั้ง 3 คน จะต้องแสดงท่าทีทางการเมืองให้ชัดเจน เช่น นายสันติ ต้องพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจาก รมว.คมนาคม เพราะขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี ด้านคุณธรรมและจริยธรรมอย่างรุนแรงที่มีประวัติโกงข้อสอบ
ส่วนนายจตุพร ต้องแสดงความรับผิดชอบที่ได้ประกาศกลางสภา ท้าทายพ.อ.วินัย สมพงษ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ที่เอาตำแหน่งเดิมพัน วันนี้ปรากฏชัดว่าข้อมูลของ พ.อ.วินัย เป็นความจริง จึงอยากให้นายจตุพร ออกมารับผิดชอบเพื่อไม่ให้สภาเสื่อมเสียอักด้วย
ส่วนกรณีของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไม่อยากที่จะให้อ้างอิงเอาสถาบันรามฯ มาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของรัฐมนตรี เพราะจะทำให้สถาบันฯ เสื่อมเสียไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนายสันติและนายจตุพร ถ้าได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองแล้วก็ถือว่า ได้ช่วยกันปกป้องศักดิ์ศรีของสภาไม่ให้ตกต่ำไปในสายตาของประชาชน
ส่วนกรณี ร.ท. กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ออกมาแสดงความเห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลไปไหนไม่ได้ ต้องกอดขาพรรคพลังประชาชนร่วมรัฐบาลต่อไป แสดงให้เห็นถึงการดูถูกเหยียดยามพรรคร่วมรัฐบาลอย่างชัดเจน เพราะพฤติกรรมแบบนี้ได้แสดงให้เห็นตั้งแต่ก่อนลงมติไม่ไว้วางใจมาครั้งหนึ่งแล้วว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลไปไหนไมได้ เหมือนปลาคาร์ปที่ว่ายวยเวียนอยู่หน้าสภา จึงไม่ทราบว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะมีความรู้สึกอย่างใดต่อท่าทีของพรรคแกนนำ ข้อตกลงที่ให้โหวตไว้วางใจไปก่อนแล้วค่อยปรับ ครม.ภายหลัง ก็กำลังถูกเบี้ยวและท้าทายจากนายกฯว่า ถ้าไม่ปรับครม.แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้อยากถามพรรคร่วมรัฐบาลว่า ยังอยู่ร่วมรัฐบาลอย่างมีความสุขดีอยู่หรือ เมื่อเขาดูถูกดูแคลนของการเป็นพรรคร่วม และหักหลังทางการเมืองจะทนอยู่ร่วมรัฐบาลกันได้อย่างไร
**เรียกร้องตุลาการภิวัฒน์จัดการแม้ว
สำหรับคำนำทายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าสถานการณ์หลังวันที่ 2 ก.ค. เหตุการณ์บ้านเมืองจะดีขึ้นนั้น ก็น่าจะดีเฉพาะตัวพ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น เพราะหลังจากวันที่ 30 มิ.ย. คตส.ก็จะสิ้นสภาพไป คดีความต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะถูกถ่ายโอนไปยังป.ป.ช. ก็เป็นการยืดอายุทางคดีของพ.ต.ท.ทักษิณไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งการพิจารณาของป.ป.ช. คงต้องใช้เวลานานพอสมควร พ.ต.ท.ทักษิณคงต้องใช้ช่วงจังหวะเวลานี้ผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญจนสำเร็จ และทำให้คดีของตัวเองหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา วันนี้สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดของพ.ต.ท.ทักษิณ คือกลัวตัวเองจะติดคุกตามข้อกล่าวหาของ คตส. จึงดิ้นหนีสุดชีวิต ในขณะเดียวกัน ก็เป็นความโชคร้ายของประชาชน ตามที่โหรคนอื่นทำนายไว้ และเชื่อว่าจะต้องมีขบวนการตุลาการภิวัฒน์รอบ 2 เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อหาทางออกให้กับสังคมที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ขณะนี้
**แม้วพบหมักไม่เกี่ยวปรับ ครม.
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการปรับครม. ที่นายสมัคร สุทรเวช นายกรัฐมนตรี และพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้พบกันในงานแต่งงานบุตรสาว พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมองกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ามาเกี่ยวข้องในการปรับครม.ว่า ช่วงที่เจอกันในงานแต่งงานตนก็อยู่ด้วย เจอกกันก็สวัสดีกันแป๊บเดียว และนายกฯ ก็นั่งคุยกันสองสามคำเท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็แยกไปนั่งอีกเก้าอี้ เพื่อให้นายกฯนั่งในที่ที่คิดว่าเหมาะสม ไม่มีการพูดเรื่องปรับครม. และไม่ได้นัดกันเพื่อพูดเรื่องอะไร ต่างคนต่างไปงานตามคำเชิญของพล.ต.สนั่น ไม่มีอะไรเลย ยืนยันได้และพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยมายุ่ง
ส่วนที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ออกมาระบุว่า ถึงอย่างไรก็ต้องปรับครม.นั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีที่จะเป็นผู้พูดเรื่องนี้
เมื่อถามว่า ประเมินว่ารัฐบาลจะอยู่อีกนานหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ขอถามว่ารัฐบาลที่อยู่ ทำอะไรเสียหายไหม อย่างตนอยู่กระทรวงศึกษาธิการ ก็ทำงานมาตลอด เรื่องกองทุนกู้ยืม เรียนฟรี ส่งเสริมการเรียนในภาคใต้ ส่งเสริมการเรียนคนพิการ ผู้เจ็บป่วย และเรื่องวิทยฐานะของครู กระทรวงอื่นๆ ก็ทำงาน ถามว่ามีอะไรที่ผิดพลาดร้ายแรงทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายหรือไม่ เราคิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นเงื่อนไข เราทำงานกันตามปกติ ถามว่ามีใครทุจริต คอร์รัปชั่นหรือไม่ ก็ยังไม่เห็นมี
"ผมคิดว่าระยะเวลาที่มาเป็นรัฐบาล แค่ยังไม่ถึง 6 เดือน จะมาประเมินว่าไร้สมรรถภาพยังยากอยู่ เอาสักครึ่งเทอม หรือปีหนึ่ง ก็ยังดี ดูว่าเป็นอย่างไร โดยเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนๆด้วยนะ เรื่องกองทุน SML ก็ทำไปแล้ว รถไฟฟ้าทั้งบนดิน และใต้ดิน น้ำ โครงการมีแล้ว หลังจากการประเมินให้ประชาชนเป็นคนมองดู ประชาชนเป็นคนตัดสิน และวิธีตัดสินที่ดีที่สุดคือ พอหมดเทอมเข้าคูหาไปกาเลย ไม่พอใจก็กาคนอื่น พอใจก็กาคนเดิม นี่คือระบบประชาธิปไตย แต่พอมาถึงแค่สองสามวัน พูดไม่ถูกหู เป็นการตัดสินใจเร็วเกินไปหรือเปล่า" นายสมชาย กล่าวและว่าตามรัฐธรรมนูญรัฐบาลจะมีวาระถึง 4 ปี