ผู้จัดการรายวัน -เจพีมอร์แกนอัดแบงก์ชาติถ่วงเวลาประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยท่ามกลางเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงในไทย จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนแอมากขึ้น อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงให้กับต้นทุนการนำเข้าในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาก คาดบาทอ่อนค่าแตะ 34 บาท/ดอลลาร์ ภายใน ก.ย.นี้
เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค แสดงความเห็นว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลื่อนเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปจะทำให้ค่าเงินบาทมีความเสี่ยงที่จะอ่อนแอมากขึ้น อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงให้กับต้นทุนการนำเข้าในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทั้งนี้ ค่าเงินบาทที่ร่วงลงราว 3% ในเดือนนี้เป็นสถิติที่ร่วงลงหนักสุดในบรรดา 11 สกุลเงินหลักๆ ในเอเชีย เนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภค ที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้กลุ่มกองทุนเทขายในตลาดหุ้นไทย โดย ธปท.ได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยอาร์พี 1 วันเอาไว้ที่ 3.25% มาตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแตะระดับ 7.6% ในเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่พุ่งขึ้นถึง 2 เท่า และในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ไทยมียอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบ 21 เดือน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเป็นสองเท่า
"ธปท.ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ความเสี่ยงในขณะนี้ก็คือกระแสคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อและดุลการชำระเงินอันอ่อนแอที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอีก" ซิง เบง ออง นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนในสิงคโปร์กล่าว
ด้าน เจิ้น ปิง โฮ นักยุทธศาสตร์ด้านปริวรรตเงินตราของเจพีมอร์แกนในสิงคโปร์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงมาจากเหตุการณ์ประท้วงในประเทศไทยที่ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มปลีกตัวออกจากตลาด ซึ่งผู้ชุมนุมประท้วงต้องการให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำหน่ง
"สถานการณ์การเมืองของไทยเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้น ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่ไหลออกไปเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมานั้น ธปท.มุ่งแต่แทรกแซงตลาดเงินเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของดอลลาร์" เจิ้น ปิง โฮ กล่าว
ขณะที่ อีธาน แฮร์ริส หัวหน้านักวิเคราะห์จากเลห์แมน บราเธอร์ส คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจส่งสัญญาณในการประชุมซึ่งจะเสร็จสิ้นในคืนวันที่ 25 มิ.ย.ว่า เฟดจะหันไปจับตาดูประเด็นเงินเฟ้อมากกว่าประเด็นเศรษฐกิจถดถอยและภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นที่ 2.00% นับเป็นการสิ้นสุดการปรับลดดอกเบี้ยที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 20 ปีของเฟด
"เฟดกำลังจับตาดูความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น และคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" แฮร์ริสกล่าว
สำหรับเมืองไทย แม้ว่าท่าที ธปท.ในช่วงที่ผ่านมาจะมีการส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ย แต่ในส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงสงวนท่าทีต่อเรื่องดังกล่าว โดยจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 16 ก.ค. หลายฝ่ายคาดว่า กนง.น่าจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่กระทรวงการคลังโดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นอกจากไม่ต้องการให้ ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยแล้วยังอยากเห็นการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ.
เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค แสดงความเห็นว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลื่อนเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปจะทำให้ค่าเงินบาทมีความเสี่ยงที่จะอ่อนแอมากขึ้น อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงให้กับต้นทุนการนำเข้าในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทั้งนี้ ค่าเงินบาทที่ร่วงลงราว 3% ในเดือนนี้เป็นสถิติที่ร่วงลงหนักสุดในบรรดา 11 สกุลเงินหลักๆ ในเอเชีย เนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภค ที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้กลุ่มกองทุนเทขายในตลาดหุ้นไทย โดย ธปท.ได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยอาร์พี 1 วันเอาไว้ที่ 3.25% มาตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแตะระดับ 7.6% ในเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่พุ่งขึ้นถึง 2 เท่า และในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ไทยมียอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบ 21 เดือน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเป็นสองเท่า
"ธปท.ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ความเสี่ยงในขณะนี้ก็คือกระแสคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อและดุลการชำระเงินอันอ่อนแอที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอีก" ซิง เบง ออง นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนในสิงคโปร์กล่าว
ด้าน เจิ้น ปิง โฮ นักยุทธศาสตร์ด้านปริวรรตเงินตราของเจพีมอร์แกนในสิงคโปร์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงมาจากเหตุการณ์ประท้วงในประเทศไทยที่ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มปลีกตัวออกจากตลาด ซึ่งผู้ชุมนุมประท้วงต้องการให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำหน่ง
"สถานการณ์การเมืองของไทยเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้น ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่ไหลออกไปเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมานั้น ธปท.มุ่งแต่แทรกแซงตลาดเงินเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของดอลลาร์" เจิ้น ปิง โฮ กล่าว
ขณะที่ อีธาน แฮร์ริส หัวหน้านักวิเคราะห์จากเลห์แมน บราเธอร์ส คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจส่งสัญญาณในการประชุมซึ่งจะเสร็จสิ้นในคืนวันที่ 25 มิ.ย.ว่า เฟดจะหันไปจับตาดูประเด็นเงินเฟ้อมากกว่าประเด็นเศรษฐกิจถดถอยและภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นที่ 2.00% นับเป็นการสิ้นสุดการปรับลดดอกเบี้ยที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 20 ปีของเฟด
"เฟดกำลังจับตาดูความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น และคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" แฮร์ริสกล่าว
สำหรับเมืองไทย แม้ว่าท่าที ธปท.ในช่วงที่ผ่านมาจะมีการส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ย แต่ในส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงสงวนท่าทีต่อเรื่องดังกล่าว โดยจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 16 ก.ค. หลายฝ่ายคาดว่า กนง.น่าจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่กระทรวงการคลังโดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นอกจากไม่ต้องการให้ ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยแล้วยังอยากเห็นการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ.
