วานนี้ (25 มิ.ย) นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แถลงหลังการประชุมใหญ่คตส.ว่า ได้พิจารณาคำร้องขอพิสูจน์ทรัพย์ของ 1. สำนักงานกฏหมาย สมพร แอนด์แอสโซซิเอท จำกัด 2. นายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ3. คณะบุคคลวิวิต วอนบริษัทแชมเปอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่รับปรึกษา โดยนางปราณี พงษ์สุวรรณ รวมมูลค่า 100 ล้านบาท ที่คตส.ได้เคยมีมติสั่งอายัดทรัพย์จำนวนดังกล่าวไว้ ซึ่งพิจารณาแล้วน่าเชื่อว่า ทั้ง 3 ราย ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฏหมาย ทนายความ ซึ่งเงินดังกล่าวจึงถือเป็นค่าตอบแทนที่สุจริต โดยคตส.จะดำเนินการแจ้งให้สถาบันการเงินทราบ และเพิกถอนการอายัดทรัพย์จำนวนดังกล่าวภายในวันที่ 26 มิ.ย.นี้
ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการคตส. ในฐานะอนุกรรมการไต่สวนกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตน ครอบครัวและพวกพ้อง แถลงว่า ที่ประชุม คตส. มีมติให้ชี้มูลในคดีอาญา แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีที่คงถือหุ้นบริษัทชินคอปอร์เรชั่น โดยจะยื่นฟ้อง 2 กระทง ผิดมาตรา 100 ของกฎหมาย ป.ป.ช. มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง และยังคงถือหุ้นดังกล่างไว้ทั้ง 2 ครั้ง ผ่านบุตร และพี่น้อง โดยคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ไม่มีความเกี่ยวข้อง
2. กรณีการเอื้อประโยชน์ ในการแก้ไขสัญญา ลดค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือให้กับบริษัท เอไอเอส ไม่พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสั่งการ แต่กลับพบว่ามี 2 กรณี ที่เกี่ยวข้อง คือ การปล่อยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก ( เอ็กซิมแบงก์ ) 4000 ล้านบาท และการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต 49.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมติ คตส.สรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังถือหุ้นสัมปทานของชินคอร์ป และแปลงสัมปทานจริง ผิด มาตรา 152 , 157 ของกกหมายอาญา โดยมีหลักฐานว่าเป็นผู้สั่งการให้กลไกของรัฐศึกษาการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และให้คณะรัฐมนตรี มีมติให้ตรากฏหมายเป็นพระราชกำหนด ให้เก็บภาษีและลดค่าสัมปทานจากบริษัทเอกชนลง ส่อเจตนาชัดเจน อีกทั้งการลดค่าสัมปทานก็ทำโดยการแก้ไขสัญญา ไม่เป็นไปตามมติครม. ที่แจ้งไว้ เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหายจึงเห็นควรให้กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดทางอาญา
" เรื่องนี้ได้ทำมาตั้งแต่การพิจารณาคดียึดอายัดทรัพย์แล้ว เพราะมีหลักฐานเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน โดยคดีนี้ได้ส่งฟ้องทางแพ่งไปแล้ว แต่ขณะนี้คตส.มีมติให้ฟ้องในทางอาญาไปด้วย ไม่ใช่ตาลี ตาเหลือก ตั้งหลักฐานขึ้นมา ในช่วงสุดท้าย แต่ความจริงมีข้อมูลตั้งแต่คดียึดทรัพย์แล้ว" นายแก้วสรร กล่าว
ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการคตส. ในฐานะอนุกรรมการไต่สวนกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตน ครอบครัวและพวกพ้อง แถลงว่า ที่ประชุม คตส. มีมติให้ชี้มูลในคดีอาญา แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีที่คงถือหุ้นบริษัทชินคอปอร์เรชั่น โดยจะยื่นฟ้อง 2 กระทง ผิดมาตรา 100 ของกฎหมาย ป.ป.ช. มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง และยังคงถือหุ้นดังกล่างไว้ทั้ง 2 ครั้ง ผ่านบุตร และพี่น้อง โดยคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ไม่มีความเกี่ยวข้อง
2. กรณีการเอื้อประโยชน์ ในการแก้ไขสัญญา ลดค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือให้กับบริษัท เอไอเอส ไม่พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสั่งการ แต่กลับพบว่ามี 2 กรณี ที่เกี่ยวข้อง คือ การปล่อยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก ( เอ็กซิมแบงก์ ) 4000 ล้านบาท และการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต 49.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมติ คตส.สรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังถือหุ้นสัมปทานของชินคอร์ป และแปลงสัมปทานจริง ผิด มาตรา 152 , 157 ของกกหมายอาญา โดยมีหลักฐานว่าเป็นผู้สั่งการให้กลไกของรัฐศึกษาการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และให้คณะรัฐมนตรี มีมติให้ตรากฏหมายเป็นพระราชกำหนด ให้เก็บภาษีและลดค่าสัมปทานจากบริษัทเอกชนลง ส่อเจตนาชัดเจน อีกทั้งการลดค่าสัมปทานก็ทำโดยการแก้ไขสัญญา ไม่เป็นไปตามมติครม. ที่แจ้งไว้ เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหายจึงเห็นควรให้กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดทางอาญา
" เรื่องนี้ได้ทำมาตั้งแต่การพิจารณาคดียึดอายัดทรัพย์แล้ว เพราะมีหลักฐานเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน โดยคดีนี้ได้ส่งฟ้องทางแพ่งไปแล้ว แต่ขณะนี้คตส.มีมติให้ฟ้องในทางอาญาไปด้วย ไม่ใช่ตาลี ตาเหลือก ตั้งหลักฐานขึ้นมา ในช่วงสุดท้าย แต่ความจริงมีข้อมูลตั้งแต่คดียึดทรัพย์แล้ว" นายแก้วสรร กล่าว