คตส.ชี้มูลคดีอาญา “แม้ว” เพิ่มอีก 3 คดี ทั้งเรื่องปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า 4 พันล้าน-ใช้อำนาจออกนโยบายเอื้อประโยชน์ชินคอร์ปและแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ คาดส่งอัยการดำเนินการต่อ 27 มิ.ย.นี้ ขณะเดียวกัน สั่งเพิกถอนอายัดเงินทีมทนาย 100 ล้านบาท
วานนี้ (25 มิ.ย) นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อมให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แถลงหลังการประชุมใหญ่ คตส.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาคำร้องขอพิสูจน์ทรัพย์ของ 1.สำนักงานกฎหมายสมพร แอนด์แอสโซซิเอท จำกัด 2.นายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ 3.คณะบุคคลวิวิต วอน บริษัท แชมเปอร์ ซึ่งเป็นบบริษัทที่รับปรึกษา โดยนางปราณี พงษ์สุวรรณ รวมมูลค่า 100 ล้านบาท ที่ คตส.ได้เคยมีมติสั่งอายัดทรัพย์จำนวนดังกล่าวไว้ ซึ่งพิจารณาแล้วน่าเชื่อว่า ทั้ง 3 รายทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ทนายความ ซึ่งเงินดังกล่าวจึงถือเป็นค่าตอบแทนที่สุจริต โดย คตส.จะดำเนินการแจ้งให้สถาบันการเงินทราบและเพิกถอนการอายัดทรัพย์จำนวนดังกล่าวภายในวันที่ 26 มิ.ย.นี้
ด้าน นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. ในฐานะอนุกรรมการไต่สวนกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัวและพวกพ้อง แถลงว่า ที่ประชุม คตส. มีมติให้ชี้มูลในคดีอาญาแก่ พ.ต.ท.ทักษิณกรณีถือหุ้นบริษัท ชินคอเปอเรชั่น โดยจะยื่นฟ้อง 2 กระทงความผิดมาตรา 100 ของกฎหมาย ป.ป.ช.มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง และยังคงถือหุ้นดังกล่างไว้ทั้ง 2 ครั้ง ผ่านบุตรและพี่น้อง โดย คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาไม่มีความเกี่ยวข้อง 2.กรณีการเอื้อประโยชน์ ในการแก้ไขสัญญาลดค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือให้กับบริษัท เอไอเอส ไม่พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสั่งการ แต่กลับพบว่ามี 2 กรณีที่เกี่ยวข้อง คือ การปล่อยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก (เอ็กซิมแบงก์) 4000 ล้านบาท และการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต 49.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมติคตส.สรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังถือหุ้นสัมปทานของชินคอร์ป และแปลงสัมปทานจริง ผิดมาตรา 152, 157 ของกฎหมายอาญา
นายแก้วสรร ระบุว่า มีหลักฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้สั่งการให้กลไกของรัฐศึกษาการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ตรากฏหมายเป็นพระราชกำหนดให้เก็บภาษีและลดค่าสัมปทานจากบริษัทเอกชนลง ส่อเจตนาชัดเจน อีกทั้งการลดค่าสัมปทานก็ทำโดยการแก้ไขสัญญา ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่แจ้งไว้ เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย จึงเห้นควรให้กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดทางอาญา
“เรื่องนี้ได้ทำมาตั้งแต่การพิจารณาคดียึดอายัดทรัพย์แล้ว เพราะมีหลักฐานเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน โยคดีนี้ได้ส่งฟ้องทางแพ่งไปแล้ว แต่ขณะนี้ คตส.มีมติให้ฟ้องในทางอาญาไปด้วย ไม่ใช่ตาลีตาเหลือกตั้งหลักฐานขึ้นมาในช่วงสุดท้าย แต่ความจริงมีข้อมูลตั้งแต่คดียึดทรัพย์แล้ว” นายแก้วสรร กล่าว และว่าจะมีการส่งสำนวนเสนออัยการวันที่ 27 มิ.ย.นี้
วานนี้ (25 มิ.ย) นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อมให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แถลงหลังการประชุมใหญ่ คตส.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาคำร้องขอพิสูจน์ทรัพย์ของ 1.สำนักงานกฎหมายสมพร แอนด์แอสโซซิเอท จำกัด 2.นายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ 3.คณะบุคคลวิวิต วอน บริษัท แชมเปอร์ ซึ่งเป็นบบริษัทที่รับปรึกษา โดยนางปราณี พงษ์สุวรรณ รวมมูลค่า 100 ล้านบาท ที่ คตส.ได้เคยมีมติสั่งอายัดทรัพย์จำนวนดังกล่าวไว้ ซึ่งพิจารณาแล้วน่าเชื่อว่า ทั้ง 3 รายทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ทนายความ ซึ่งเงินดังกล่าวจึงถือเป็นค่าตอบแทนที่สุจริต โดย คตส.จะดำเนินการแจ้งให้สถาบันการเงินทราบและเพิกถอนการอายัดทรัพย์จำนวนดังกล่าวภายในวันที่ 26 มิ.ย.นี้
ด้าน นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. ในฐานะอนุกรรมการไต่สวนกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัวและพวกพ้อง แถลงว่า ที่ประชุม คตส. มีมติให้ชี้มูลในคดีอาญาแก่ พ.ต.ท.ทักษิณกรณีถือหุ้นบริษัท ชินคอเปอเรชั่น โดยจะยื่นฟ้อง 2 กระทงความผิดมาตรา 100 ของกฎหมาย ป.ป.ช.มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง และยังคงถือหุ้นดังกล่างไว้ทั้ง 2 ครั้ง ผ่านบุตรและพี่น้อง โดย คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาไม่มีความเกี่ยวข้อง 2.กรณีการเอื้อประโยชน์ ในการแก้ไขสัญญาลดค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือให้กับบริษัท เอไอเอส ไม่พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสั่งการ แต่กลับพบว่ามี 2 กรณีที่เกี่ยวข้อง คือ การปล่อยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก (เอ็กซิมแบงก์) 4000 ล้านบาท และการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต 49.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมติคตส.สรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังถือหุ้นสัมปทานของชินคอร์ป และแปลงสัมปทานจริง ผิดมาตรา 152, 157 ของกฎหมายอาญา
นายแก้วสรร ระบุว่า มีหลักฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้สั่งการให้กลไกของรัฐศึกษาการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ตรากฏหมายเป็นพระราชกำหนดให้เก็บภาษีและลดค่าสัมปทานจากบริษัทเอกชนลง ส่อเจตนาชัดเจน อีกทั้งการลดค่าสัมปทานก็ทำโดยการแก้ไขสัญญา ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่แจ้งไว้ เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย จึงเห้นควรให้กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดทางอาญา
“เรื่องนี้ได้ทำมาตั้งแต่การพิจารณาคดียึดอายัดทรัพย์แล้ว เพราะมีหลักฐานเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน โยคดีนี้ได้ส่งฟ้องทางแพ่งไปแล้ว แต่ขณะนี้ คตส.มีมติให้ฟ้องในทางอาญาไปด้วย ไม่ใช่ตาลีตาเหลือกตั้งหลักฐานขึ้นมาในช่วงสุดท้าย แต่ความจริงมีข้อมูลตั้งแต่คดียึดทรัพย์แล้ว” นายแก้วสรร กล่าว และว่าจะมีการส่งสำนวนเสนออัยการวันที่ 27 มิ.ย.นี้