นอกจากจะเป็นมื้อสำคัญที่สุดแล้ว งานวิจัยใหม่ยังบ่งชี้ว่ายิ่งกินอาหารเช้ามากเท่าไหร่ ผู้หญิงยิ่งลดน้ำหนักได้มากและยั่งยืนขึ้นเท่านั้น
ผลวิจัยจากอเมริการะบุว่า ผู้หญิงที่กินอาหารเช้าในปริมาณราวครึ่งหนึ่งของจำนวนแคลอรีที่ได้รับตลอดทั้งวัน มีแนวโน้มลดน้ำหนักในระยะยาวได้มากกว่าผู้หญิงที่เริ่มต้นมื้อแรกของวันด้วยอาหารแค่หยิบมือ แถมมีแนวโน้มว่าไขมันส่วนเกินจะไม่กลับมาเกาะรอบเอวอีกครั้ง
ดร. แดเนียลา จาคูโบวิซ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย คอมมอนเวลท์ สหรัฐฯ เชื่อว่าอาหารเช้าที่อุดมด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ช่วยลดความอยากของหวานหรืออาหารประเภทแป้งในระหว่างวัน รวมทั้งกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
นักวิจัยได้ศึกษาว่าพฤติกรรมการกินอาหารเช้ามีผลอย่างไรต่อน้ำหนักตัวผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนเกือบ 100 คน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มๆ แรกกินอาหารวันละ 1,085 แคลอรี่ ประกอบด้วยโปรตีนและไขมันเป็นหลัก และกินอาหารเช้าเพียง 290 แคลอรี่ โดยมีคาร์โบไฮเดรตเพียง 7 กรัม
ขณะที่อีกกลุ่มกินอาหารวันละ 1,240 แคลอรี่ โดยลดสัดส่วนของไขมันลง และเพิ่มคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนแทน ส่วนอาหารเช้า 610 แคลอรี่ ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 58 กรัม อาหารกลางวันและเย็น 395 และ 235 แคลอรี่ตามลำดับ
ผ่านไปครึ่งทางของโครงการศึกษาและติดตามผลระยะเวลา 8 เดือน ปรากฏว่ากลุ่มที่กินอาหารเช้าเพียงเล็กน้อยน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 12.7 กิโลกรัม มากกว่าอีกกลุ่ม 2.27 กิโลกรัม
แต่หลังจากแปดเดือน กลุ่มที่กินอาหารเช้าเพียงเล็กน้อยน้ำหนักตัวตีกลับเฉลี่ย 8.17 กิโลกรัม ในทางตรงข้าม กลุ่มที่กินอาหารเช้าหนักกว่ามื้ออื่นๆ ยังคงลดน้ำหนักได้อีกเฉลี่ย 7.5 กิโลกรัม
เมื่อสิ้นสุดการศึกษา กลุ่มที่กินอาหารเช้าเต็มที่น้ำหนักตัวลดลงกว่า 21% เทียบกับแค่ 4.5% ของอีกกลุ่ม นอกจากนั้นยังรู้สึกหิวน้อยลง โดยเฉพาะมื้อกลางวัน และอยากอาหารประเภทแป้งน้อยลง
ดร.จาคูโบวิซ ซึ่งแนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารเช้ามากๆ มากว่า 15 ปี บอกว่า สูตรควบคุมอาหารที่ได้รับความนิยมที่จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไม่ช่วยลดความอยากอาหารประเภทแป้งลง
อนึ่ง ต้นปีนี้ มีการศึกษาชาย-หญิงอังกฤษราว 1,000 คน ซึ่งพบว่าคนที่กินอาหารเช้ามากที่สุดกลับมีน้ำหนักขึ้นน้อยที่สุดในระยะเวลา 5 ปี แม้มีแนวโน้มว่าจะกินอาหารเกือบทุกประเภทตลอดทั้งวันก็ตาม
งานวิจัยสรุปว่า การงดมื้อเช้าทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร จึงกระตุ้นให้กินอาหารกลางวันและอาหารเย็นมากขึ้น อันเป็นที่มาของความอ้วน ขณะที่มื้อเช้าที่มีปริมาณแคลอรีครึ่งหนึ่งของที่ร่างกายได้รับตลอดทั้งวัน ทำให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญอาหารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผลวิจัยจากอเมริการะบุว่า ผู้หญิงที่กินอาหารเช้าในปริมาณราวครึ่งหนึ่งของจำนวนแคลอรีที่ได้รับตลอดทั้งวัน มีแนวโน้มลดน้ำหนักในระยะยาวได้มากกว่าผู้หญิงที่เริ่มต้นมื้อแรกของวันด้วยอาหารแค่หยิบมือ แถมมีแนวโน้มว่าไขมันส่วนเกินจะไม่กลับมาเกาะรอบเอวอีกครั้ง
ดร. แดเนียลา จาคูโบวิซ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย คอมมอนเวลท์ สหรัฐฯ เชื่อว่าอาหารเช้าที่อุดมด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ช่วยลดความอยากของหวานหรืออาหารประเภทแป้งในระหว่างวัน รวมทั้งกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
นักวิจัยได้ศึกษาว่าพฤติกรรมการกินอาหารเช้ามีผลอย่างไรต่อน้ำหนักตัวผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนเกือบ 100 คน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มๆ แรกกินอาหารวันละ 1,085 แคลอรี่ ประกอบด้วยโปรตีนและไขมันเป็นหลัก และกินอาหารเช้าเพียง 290 แคลอรี่ โดยมีคาร์โบไฮเดรตเพียง 7 กรัม
ขณะที่อีกกลุ่มกินอาหารวันละ 1,240 แคลอรี่ โดยลดสัดส่วนของไขมันลง และเพิ่มคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนแทน ส่วนอาหารเช้า 610 แคลอรี่ ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 58 กรัม อาหารกลางวันและเย็น 395 และ 235 แคลอรี่ตามลำดับ
ผ่านไปครึ่งทางของโครงการศึกษาและติดตามผลระยะเวลา 8 เดือน ปรากฏว่ากลุ่มที่กินอาหารเช้าเพียงเล็กน้อยน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 12.7 กิโลกรัม มากกว่าอีกกลุ่ม 2.27 กิโลกรัม
แต่หลังจากแปดเดือน กลุ่มที่กินอาหารเช้าเพียงเล็กน้อยน้ำหนักตัวตีกลับเฉลี่ย 8.17 กิโลกรัม ในทางตรงข้าม กลุ่มที่กินอาหารเช้าหนักกว่ามื้ออื่นๆ ยังคงลดน้ำหนักได้อีกเฉลี่ย 7.5 กิโลกรัม
เมื่อสิ้นสุดการศึกษา กลุ่มที่กินอาหารเช้าเต็มที่น้ำหนักตัวลดลงกว่า 21% เทียบกับแค่ 4.5% ของอีกกลุ่ม นอกจากนั้นยังรู้สึกหิวน้อยลง โดยเฉพาะมื้อกลางวัน และอยากอาหารประเภทแป้งน้อยลง
ดร.จาคูโบวิซ ซึ่งแนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารเช้ามากๆ มากว่า 15 ปี บอกว่า สูตรควบคุมอาหารที่ได้รับความนิยมที่จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไม่ช่วยลดความอยากอาหารประเภทแป้งลง
อนึ่ง ต้นปีนี้ มีการศึกษาชาย-หญิงอังกฤษราว 1,000 คน ซึ่งพบว่าคนที่กินอาหารเช้ามากที่สุดกลับมีน้ำหนักขึ้นน้อยที่สุดในระยะเวลา 5 ปี แม้มีแนวโน้มว่าจะกินอาหารเกือบทุกประเภทตลอดทั้งวันก็ตาม
งานวิจัยสรุปว่า การงดมื้อเช้าทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร จึงกระตุ้นให้กินอาหารกลางวันและอาหารเย็นมากขึ้น อันเป็นที่มาของความอ้วน ขณะที่มื้อเช้าที่มีปริมาณแคลอรีครึ่งหนึ่งของที่ร่างกายได้รับตลอดทั้งวัน ทำให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญอาหารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น