ผู้จัดการรายวัน - "ปกรณ์" ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ยอมรับแค่ช่วง 1 เดือนเศษนักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยกว่า 4 หมื่นล้านบาท มีสาเหตุหลักจากปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้มีการเทขายหุ้นทั้งภูมิภาค ไม่เกี่ยวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องที่ดีได้ข้อสรุปที่ชัดเจนทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล ด้าน "ภัทรียา" มั่นใจเกณฑ์ "เทิร์นโอเวอร์ลิสต์" ที่มีผลบังคับใช้ 1 ก.ค.นี้ไม่มีผลต่อมูลค่าการซื้อขายหุ้น ขณะที่โบรกเกอร์แนะให้จับตาผลการประชุมเฟด-ตลาดหุ้นโลก
ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24 มิ.ย.) ดัชนีปิดที่ 763.75 จุด ปรับลดลง 5.15 จุด คิดเป็น 0.67% โดยระหว่างวันทำจุดสูงสุดที่ 771.30 จุด และต่ำสุดที่ 762.62 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,507.85 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,546.12 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 839.68 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 706.44 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศได้ขายสุทธิหุ้นไทยเกือบ 40,000 ล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต่างชาติมีการขายหุ้นในตลาดหุ้นภูมิภาค โดยอัตราเงินเฟ้อในประเทศอินเดียอยู่ที่ 11% เป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ประเทศจีนเงินเฟ้ออยู่ที่ 8% ทำให้ดัชนีหุ้นตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวลดลง 50% และดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามลดลง 60%
ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 15% ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา และมีหุ้นที่มีพื้นฐานดี ราคาต่ำที่น่าลงทุน
สำหรับประเด็นเรื่องของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีความยืดเยื้อ และทำให้การเมืองมีความเสี่ยงมากขึ้นนั้น ได้ส่งผลต่อความกังวลต่อนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน แต่ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายสุทธิออกมา
"การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยืดเยื้อต่อเนื่อง ทำให้ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองมากขึ้น แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมา โดยปัจจัยหลักคือนักลงทุนกังวลให้ความสำคัญคือ เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ต่างชาติมีการขายหุ้นในแถบเอเชียออกมาจำนวนมากทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวลดลงต่ำกว่าภูมิภาคจากที่ราคาหุ้นไทยเคลื่อนไหวไม่หวือหวา" นายปกรณ์ กล่าว
ส่วนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้านและวุฒิสมาชิกถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทั้ง ส.ว.และ ส.ส.จะได้อภิปรายข้อคิดเห็นต่างๆ ขณะที่รัฐบาลจะได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยที่น่าจะเป็นประโยชน์
ทั้งนี้ หากปัญหาทางการเมืองในประเทศมีความชัดเจน จะทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยขณะนี้ถือว่าปรับตัวลดลงมาใกล้จะถึงระดับต่ำสุดแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะเหมาะสมที่นักลงทุนระยะยาวจะเข้ามาทยอยซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ติดตามการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ พบว่าช่วงที่ผ่านมามีแรงเทขายค่อนข้างมาก แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีแรงซื้อเข้ามาบ้างเช่นกัน แม้จะต่ำกว่าแรงเทขาย โดยนักลงทุนต่างชาติกังวลสถานการณ์การเมือง ซึ่งคงจะต้องใช้ระยะเวลาในการคลี่คลาย ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงจะดูแลให้ดีที่สุด โดยยอมรับว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้ยาก เนื่องจากเงินเฟ้อขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมัน
สำหรับประเด็นที่กังวลเม็ดเงินจะไหลออกจากประเทศไทยนั้น ต้องรอดูทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีการฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน และคงต้องดูแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แม้ว่านักวิเคราะห์จะคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยุติการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ยังไม่ชัดเจนพราะต้องอิงอยู่กับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก
ส่วนเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเริ่มบังคับใช้เกณฑ์ดูแลหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นหมุนเวียนสูง (เทิร์นโอเวอร์ลิสต์) ในวันที่ 1 กรกฎาคม 51 นั้น คงไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนและมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากได้ติดตามบรรยากาศการลงทุนมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากหลักเกณฑ์หุ้น Turnover list ได้ผ่อนคลายมากขึ้น คือ หุ้นที่จะติด Turnover list ต้องมี P/E เกิน 50 เท่า มีผลการดำเนินงานขาดทุนและปริมาณการหมุนเวียนของหุ้นมากจนผิดปกติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่หุ้นทุกตัวจะติด Turnover list
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นภูมิภาค ขณะที่หุ้นพลังงานถูกแรงขายออกมา ตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ แม้ราคาน้ำมันดิบจะบวกอีก 0.9% ใกล้ระดับ 136 เหรียญต่อบาร์เรลล์ ตามความกังวลต่อการผละงานในไนจีเรีย ทั้งๆ ที่ซาอุดิอาระเบียประกาศเพิ่มกำลังการผลิต 2 แสนบาร์เรลล์ และเงินดอล์ลาร์/ยูโรแข็งขึ้นเล็กน้อย
"การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ขึ้นอยู่กับการทำ Window Dressing หากเป็นการขายทำกำไรจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงทั้งสัปดาห์ แต่เป็นลักษณะการพยุงราคาหุ้นมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนในลักษณะปรับขึ้นหนึ่งวันปรับลงหนึ่งวันสลับกัน ขณะเดียวกันนักลงทุนยังรอผลการประชุมเฟด แม้จะคาดการณ์ว่าไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้ แต่ต้องติดตามผลการประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป"
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ นักลงทุนระยะสั้นให้ขายทำกำไรหรือรอดูสถานการณ์จากภาพรวมตลาดหุ้นไทยระยะสั้นยังคงดูไม่ดี ประกอบกับนักลงทุนรอผลการประชุมเฟด และคาดว่าการเมืองภายในประเทศปลายสัปดาห์นี้จะเข้มข้นขึ้น เมื่อหมดการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน โดยทางเทคนิคดัชนีที่ 760 จุด มีนัยสำคัญสูงมาก หากรับไม่อยู่มีโอกาสสูงที่สัปดาห์นี้ดัชนีจะร่วงไปถึง 740 จุด แต่ถึงแม้ดัชนีจะยืนได้ก็เชื่อว่าจะปรับขึ้นไม่เกิน 770 จุด
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยปิดตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อย ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง ถ่วงให้ดัชนีปิดตลาดติดลบตามไปด้วย ซึ่งน่าจะมาจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบรรยากาศการลงทุนถูกกดดันจากความกังวลในภาคสถาบันการเงินสหรัฐฯ หลังซิตี้กรุ๊ปประกาศจะเลิกจ้างพนักงานในส่วนวาณิชธนกิจ 10% หลังประสบภาวะขาดทุนมากกว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันนักลงทุนยังรอดูผลการประชุมเฟด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย และการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนอะไรทางการเมืองหรือไม่ โดยประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้จะแกว่างตัวในกรอบแคบ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ มีแนวรับที่ 754-758 จุด และแนวต้านที่ 771 จุด กลยุทธ์ระยะสั้นถ้าดัชนีปรับตัวขึ้นรอขายที่ 780 จุด แต่หากดัชนีปรับตัวลดลง แนะนำซื้อได้ ส่วนระยะกลางแนะนำถือต่อ
ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24 มิ.ย.) ดัชนีปิดที่ 763.75 จุด ปรับลดลง 5.15 จุด คิดเป็น 0.67% โดยระหว่างวันทำจุดสูงสุดที่ 771.30 จุด และต่ำสุดที่ 762.62 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,507.85 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,546.12 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 839.68 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 706.44 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศได้ขายสุทธิหุ้นไทยเกือบ 40,000 ล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต่างชาติมีการขายหุ้นในตลาดหุ้นภูมิภาค โดยอัตราเงินเฟ้อในประเทศอินเดียอยู่ที่ 11% เป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ประเทศจีนเงินเฟ้ออยู่ที่ 8% ทำให้ดัชนีหุ้นตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวลดลง 50% และดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามลดลง 60%
ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 15% ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา และมีหุ้นที่มีพื้นฐานดี ราคาต่ำที่น่าลงทุน
สำหรับประเด็นเรื่องของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีความยืดเยื้อ และทำให้การเมืองมีความเสี่ยงมากขึ้นนั้น ได้ส่งผลต่อความกังวลต่อนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน แต่ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายสุทธิออกมา
"การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยืดเยื้อต่อเนื่อง ทำให้ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองมากขึ้น แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมา โดยปัจจัยหลักคือนักลงทุนกังวลให้ความสำคัญคือ เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ต่างชาติมีการขายหุ้นในแถบเอเชียออกมาจำนวนมากทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวลดลงต่ำกว่าภูมิภาคจากที่ราคาหุ้นไทยเคลื่อนไหวไม่หวือหวา" นายปกรณ์ กล่าว
ส่วนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้านและวุฒิสมาชิกถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทั้ง ส.ว.และ ส.ส.จะได้อภิปรายข้อคิดเห็นต่างๆ ขณะที่รัฐบาลจะได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยที่น่าจะเป็นประโยชน์
ทั้งนี้ หากปัญหาทางการเมืองในประเทศมีความชัดเจน จะทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยขณะนี้ถือว่าปรับตัวลดลงมาใกล้จะถึงระดับต่ำสุดแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะเหมาะสมที่นักลงทุนระยะยาวจะเข้ามาทยอยซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ติดตามการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ พบว่าช่วงที่ผ่านมามีแรงเทขายค่อนข้างมาก แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีแรงซื้อเข้ามาบ้างเช่นกัน แม้จะต่ำกว่าแรงเทขาย โดยนักลงทุนต่างชาติกังวลสถานการณ์การเมือง ซึ่งคงจะต้องใช้ระยะเวลาในการคลี่คลาย ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงจะดูแลให้ดีที่สุด โดยยอมรับว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้ยาก เนื่องจากเงินเฟ้อขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมัน
สำหรับประเด็นที่กังวลเม็ดเงินจะไหลออกจากประเทศไทยนั้น ต้องรอดูทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีการฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน และคงต้องดูแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แม้ว่านักวิเคราะห์จะคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยุติการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ยังไม่ชัดเจนพราะต้องอิงอยู่กับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก
ส่วนเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเริ่มบังคับใช้เกณฑ์ดูแลหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นหมุนเวียนสูง (เทิร์นโอเวอร์ลิสต์) ในวันที่ 1 กรกฎาคม 51 นั้น คงไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนและมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากได้ติดตามบรรยากาศการลงทุนมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากหลักเกณฑ์หุ้น Turnover list ได้ผ่อนคลายมากขึ้น คือ หุ้นที่จะติด Turnover list ต้องมี P/E เกิน 50 เท่า มีผลการดำเนินงานขาดทุนและปริมาณการหมุนเวียนของหุ้นมากจนผิดปกติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่หุ้นทุกตัวจะติด Turnover list
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นภูมิภาค ขณะที่หุ้นพลังงานถูกแรงขายออกมา ตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ แม้ราคาน้ำมันดิบจะบวกอีก 0.9% ใกล้ระดับ 136 เหรียญต่อบาร์เรลล์ ตามความกังวลต่อการผละงานในไนจีเรีย ทั้งๆ ที่ซาอุดิอาระเบียประกาศเพิ่มกำลังการผลิต 2 แสนบาร์เรลล์ และเงินดอล์ลาร์/ยูโรแข็งขึ้นเล็กน้อย
"การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ขึ้นอยู่กับการทำ Window Dressing หากเป็นการขายทำกำไรจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงทั้งสัปดาห์ แต่เป็นลักษณะการพยุงราคาหุ้นมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนในลักษณะปรับขึ้นหนึ่งวันปรับลงหนึ่งวันสลับกัน ขณะเดียวกันนักลงทุนยังรอผลการประชุมเฟด แม้จะคาดการณ์ว่าไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้ แต่ต้องติดตามผลการประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป"
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ นักลงทุนระยะสั้นให้ขายทำกำไรหรือรอดูสถานการณ์จากภาพรวมตลาดหุ้นไทยระยะสั้นยังคงดูไม่ดี ประกอบกับนักลงทุนรอผลการประชุมเฟด และคาดว่าการเมืองภายในประเทศปลายสัปดาห์นี้จะเข้มข้นขึ้น เมื่อหมดการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน โดยทางเทคนิคดัชนีที่ 760 จุด มีนัยสำคัญสูงมาก หากรับไม่อยู่มีโอกาสสูงที่สัปดาห์นี้ดัชนีจะร่วงไปถึง 740 จุด แต่ถึงแม้ดัชนีจะยืนได้ก็เชื่อว่าจะปรับขึ้นไม่เกิน 770 จุด
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยปิดตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อย ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง ถ่วงให้ดัชนีปิดตลาดติดลบตามไปด้วย ซึ่งน่าจะมาจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบรรยากาศการลงทุนถูกกดดันจากความกังวลในภาคสถาบันการเงินสหรัฐฯ หลังซิตี้กรุ๊ปประกาศจะเลิกจ้างพนักงานในส่วนวาณิชธนกิจ 10% หลังประสบภาวะขาดทุนมากกว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันนักลงทุนยังรอดูผลการประชุมเฟด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย และการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนอะไรทางการเมืองหรือไม่ โดยประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้จะแกว่างตัวในกรอบแคบ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ มีแนวรับที่ 754-758 จุด และแนวต้านที่ 771 จุด กลยุทธ์ระยะสั้นถ้าดัชนีปรับตัวขึ้นรอขายที่ 780 จุด แต่หากดัชนีปรับตัวลดลง แนะนำซื้อได้ ส่วนระยะกลางแนะนำถือต่อ