นักลงทุนต่างชาติ-สถาบันแห่ทิ้งหุ้นไทย ฉุดดัชนีร่วงต่ออีก 7 จุด หวั่นเศรษฐกิจถดถอยหลังราคาน้ำมันพุ่งทำสถิติรอบใหม่กดดันเงินเฟ้อสูงขึ้น บวกกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อมจับตากระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือนมิ.ย. วันนี้ คาดทรงตัวในระดับสูงที่ 8-9% กดดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงต่อ โบรกเกอร์ คาดราคาน้ำมันแตะ 170 เหรียญต่อบาร์เรล-แนะถือเงินสด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (30 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าแต่มีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงบ่ายนักลงทุนกังวลเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น จากราคาน้ำมันดิบทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ กดดัชนีปิดที่ 768.59 จุด ลดลง 7.14 จุด หรือลดลง 0.92% ระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 781.97 จุด ปรับตัวลดลงต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 765.51 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 16,120.78 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,538.74 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 322.73 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,861.47 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ แม้ช่วงเช้าดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 6.24 จุด แต่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ จากนักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมา จากความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 140 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล บวกกับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัว
พร้อมกันนี้ ได้มีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปรับตัวลดง 2.08% อสังหาริมทรัพย์ลดลง 1.92% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานมีแรงขายออกมานิดหน่อยในช่วงท้ายตลาดหลังจากพยุงดัชนีวันนี้ปรับตัวไม่แรงจากที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
"นักลงทุนยังกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ว่าแบงก์ชาติได้ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี เนื่องจากการที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดทำสถิติใหม่ที่ 140 เหรียญฯต่อบาร์เรล โดยมีผลทำให้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัว" นางสาวสุภากร กล่าวว่า
สำหรับประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ ประจำเดือนมิถุนายน ในวันนี้ (1ก.ค.) ที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8-9% ได้ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลและขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง กดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลง และมองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 150-170 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการที่ค่าเงินดอลลาร์มีการ่อนค่าลงและปัญหาในเรื่องการผลิตน้ำมันจากปัญหาอิสราเรล
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันพุธ (2 ก.ค.) คาดว่าดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนการลงทุน ขณะที่ยังคงได้รับแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามแนะให้นักลงทุนติดตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ ประกอบด้วย เนื่องจากอาจส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนโดยประเมินแนวรับที่ระดับ 753-760 จุด แนวต้านที่ระดับ 780-790 จุด
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีปรับลดลงจากความกังวลปัญหาเงินเฟ้อ หลังราคาน้ำมันปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้นักลงทุนมีแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา เพื่อถือครองเงินสด ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยกว่าถือหุ้นในช่วงเงินเฟ้อสูงและผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถดถอยลง
ขณะที่ การทำราคาปิด (Window Dressing) ของกองทุนนั้น ไม่มีผลช่วยสนับสนุน เพราะแม้ว่าเป็นวันสุดท้ายของปิดงวดบัญชีไตรมาส 2/2551 แต่กองทุนไม่จำเป็นต้องมีการทำ Window Dressing หากภาวะตลาดฯ ไม่เอื้ออำนวย การเสี่ยงเข้าทำราคาหุ้นปิดงวดบัญชีช่วงนี้คงไม่ส่งผลดีต่อพอร์ตการลงทุน
ส่วนการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วันนี้ แม้โดยรวมจะออกมาเติบโตดี แต่ได้ส่งสัญญาณว่าระดับเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง โดยระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเงินเฟ้อขึ้นไปถึง 2 หลัก หากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเงินเฟ้อมีน้ำหนักกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในวันพุธนี้ (2 ก.ค.51) คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อ เพราะความกังวลปัญหาเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ผลักดันให้ต้นทุนการบริโภคของประชาชนเพิ่มขึ้น และลดความสามารถในการใช้จ่าย และเชื่อว่าทางบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ และปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยบริษัทประเมินแนวรับที่ระดับ 760 จุด แนวต้านที่ระดับ 778 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (30 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าแต่มีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงบ่ายนักลงทุนกังวลเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น จากราคาน้ำมันดิบทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ กดดัชนีปิดที่ 768.59 จุด ลดลง 7.14 จุด หรือลดลง 0.92% ระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 781.97 จุด ปรับตัวลดลงต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 765.51 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 16,120.78 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,538.74 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 322.73 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,861.47 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ แม้ช่วงเช้าดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 6.24 จุด แต่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ จากนักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมา จากความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 140 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล บวกกับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัว
พร้อมกันนี้ ได้มีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปรับตัวลดง 2.08% อสังหาริมทรัพย์ลดลง 1.92% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานมีแรงขายออกมานิดหน่อยในช่วงท้ายตลาดหลังจากพยุงดัชนีวันนี้ปรับตัวไม่แรงจากที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
"นักลงทุนยังกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ว่าแบงก์ชาติได้ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี เนื่องจากการที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดทำสถิติใหม่ที่ 140 เหรียญฯต่อบาร์เรล โดยมีผลทำให้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัว" นางสาวสุภากร กล่าวว่า
สำหรับประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ ประจำเดือนมิถุนายน ในวันนี้ (1ก.ค.) ที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8-9% ได้ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลและขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง กดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลง และมองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 150-170 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการที่ค่าเงินดอลลาร์มีการ่อนค่าลงและปัญหาในเรื่องการผลิตน้ำมันจากปัญหาอิสราเรล
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันพุธ (2 ก.ค.) คาดว่าดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนการลงทุน ขณะที่ยังคงได้รับแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามแนะให้นักลงทุนติดตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ ประกอบด้วย เนื่องจากอาจส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนโดยประเมินแนวรับที่ระดับ 753-760 จุด แนวต้านที่ระดับ 780-790 จุด
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีปรับลดลงจากความกังวลปัญหาเงินเฟ้อ หลังราคาน้ำมันปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้นักลงทุนมีแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา เพื่อถือครองเงินสด ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยกว่าถือหุ้นในช่วงเงินเฟ้อสูงและผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถดถอยลง
ขณะที่ การทำราคาปิด (Window Dressing) ของกองทุนนั้น ไม่มีผลช่วยสนับสนุน เพราะแม้ว่าเป็นวันสุดท้ายของปิดงวดบัญชีไตรมาส 2/2551 แต่กองทุนไม่จำเป็นต้องมีการทำ Window Dressing หากภาวะตลาดฯ ไม่เอื้ออำนวย การเสี่ยงเข้าทำราคาหุ้นปิดงวดบัญชีช่วงนี้คงไม่ส่งผลดีต่อพอร์ตการลงทุน
ส่วนการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วันนี้ แม้โดยรวมจะออกมาเติบโตดี แต่ได้ส่งสัญญาณว่าระดับเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง โดยระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเงินเฟ้อขึ้นไปถึง 2 หลัก หากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเงินเฟ้อมีน้ำหนักกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในวันพุธนี้ (2 ก.ค.51) คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อ เพราะความกังวลปัญหาเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ผลักดันให้ต้นทุนการบริโภคของประชาชนเพิ่มขึ้น และลดความสามารถในการใช้จ่าย และเชื่อว่าทางบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ และปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยบริษัทประเมินแนวรับที่ระดับ 760 จุด แนวต้านที่ระดับ 778 จุด