ทัพสินค้าอุปโภคบริโภค งัดกลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง ย่อบรรจุภัณฑ์เล็กแก้เกมกำลังซื้อหด เพอร์ซันนัลแคร์กระหน่ำลดขนาด ดัชมิลล์ ดาหน้าคลอด 8 บาท ด้าน "วีไวต์" อัดฉีดกว่า 100 ล้านบาท แตกไลน์สติ๊กหวังเปิดแนวรบครบทุกเซกเมนต์เพื่อโค่นเรโซน่า ปีหน้ารั้งเบอร์ 2 ครองแชร์กว่า 20% ส่วนปีนี้ผงาดเบอร์ 2 ทุกเซกเมนต์กวาดแชร์ 15% จาก 9%
นางสาวศิริสุภา ยิ่งเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไบโอ คอนซูเมอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายวีไวต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่าผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคใช้กลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง ด้วยการผลิตสินค้าที่มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงโดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวและค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้น ตลอดจนการกระจายสินค้าที่สามารถเข้าถึงช่องทางจำหน่ายได้หลากหลาย
ทั้งนี้พบว่าสินค้ากลุ่มเพอร์ซันนัลแคร์ออกสินค้าขนาดเล็กลงเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เช่น ทรอส วีไวต์ และทเวลฬพลัส เป็นต้น และจากการสำรวจของผู้สื่อข่าวพบว่า นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าที่งัดกลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง อาทิ ดัชมิลล์ เปิดตัวนมเปรี้ยวบรรจุภัณฑ์ 8 บาท คอมฟอร์ท ส่งบรรจุภัณฑ์ซอง หรือกระทั่งนีเวียส่งสกินแคร์ในรูปแบบซองราคา 10 บาท
**2 ปีสอยบัลลังก์เรโซน่าขึ้นเบอร์2**
นางสาวศิริสุภา กล่าวว่า บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายวีไวต์รูปแบบสติ๊ก ส่งผลให้กลายเป็นแบรนด์ที่มีสินค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยแผนการตลาดบริษัทจะมุ่งเน้นกลยุทธ์ราคา โดยจำหน่ายในราคาถูกกว่าสินค้าคู่แข่ง 25% ในขนาด 10 กรัม จากราคา 20 บาท เหลือ 15 บาท ในช่วงแนะนำสินค้าเมื่อเทียบกับเรโซน่า ราคา 20 บาท นอกจากนี้ยังเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ถึง 3 ขนาด ได้แก่ 10 กรัม 20 กรัม และ 40 กรัม
พร้อมกันนี้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ ชมพู-อารยา เอ ฮาร์เก็ต เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ขณะเดียวกันยังส่งสูตรใหม่ วีไวต์ ไวท์เทนนิ่ง ไวท์แอนด์ดราย 4 IN 1 ในทุกเซกเมนต์ ได้แก่ โรลออน สเปรย์ และสติ๊ก และปิดช่องทางด้วยการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วโรลออน และจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่า 10% เพื่อชนกับคู่แข่งนีเวีย อีกทั้งยังเป็นเป็นบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายดีในห้างสรรพสินค้า
แนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายมูลค่า 1,535 ล้านบาท ปีนี้เติบโต 11% แบ่งเป็น โรลออน มูลค่า 1,011 ล้านบาท โต 4% สติ๊ก มูลค่า 441 ล้านบาท โต 93% มาจากการผลักดันตลาดของเรโซน่า และสเปรย์ มูลค่า 82 ล้านบาท ไม่เติบโต
สำหรับเป้าหมายของการทำตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายต้องการให้วีไวต์ขึ้นเป็นอันดับ 2 แทนที่เรโซน่าซึ่งมีส่วนแบ่ง 33% ด้วยการครองส่วนแบ่งกว่า 20% ในปี 2552 จากปัจจุบันมี 9% ส่วนผู้นำตลาดนีเวีย 39% ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจเพราะจากการวางโพซิชันนิ่งในความเป็นธรรมชาติและจุดขายความขาว ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งทั้ง 2 แบรนด์วางโพซิชันนิงเป็นด้านวิทยาศาสตร์ แห้งเร็วและความขาว
นางสาวศิริสุภา กล่าวต่อว่า จากการรุกตลาดอย่างหนักในปีนี้ตั้งเป้าจะขึ้นเป็นอันดับ 2 ของทุกเซกเมนต์ของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นด้วยการเติบโต 40% ได้แก่ โรลออนเพิ่มส่วนแบ่งจาก 8 เป็น 12% แทนที่เรโซน่ามีส่วนแบ่ง 10.6% นีเวีย 49.9% จากมูลค่า 1,011 ล้านบาท และเซกเมนต์สติ๊กปีแรกตั้งเป้า มีส่วนแบ่ง 15% แทนที่นีเวียมีส่วนแบ่ง 7.4% ส่วนเรโซน่า 91% ส่วนทั้งปีตั้งเป้าส่วนแบ่งเพิ่มจาก 9% เป็น 15% สำหรับผลประกอบการโดยรวมครึ่งปีแรกเติบโต 3% โดยกลุ่มวีไวต์คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 12% จากรายได้รวม
นางสาวศิริสุภา ยิ่งเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไบโอ คอนซูเมอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายวีไวต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่าผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคใช้กลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง ด้วยการผลิตสินค้าที่มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงโดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวและค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้น ตลอดจนการกระจายสินค้าที่สามารถเข้าถึงช่องทางจำหน่ายได้หลากหลาย
ทั้งนี้พบว่าสินค้ากลุ่มเพอร์ซันนัลแคร์ออกสินค้าขนาดเล็กลงเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เช่น ทรอส วีไวต์ และทเวลฬพลัส เป็นต้น และจากการสำรวจของผู้สื่อข่าวพบว่า นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าที่งัดกลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง อาทิ ดัชมิลล์ เปิดตัวนมเปรี้ยวบรรจุภัณฑ์ 8 บาท คอมฟอร์ท ส่งบรรจุภัณฑ์ซอง หรือกระทั่งนีเวียส่งสกินแคร์ในรูปแบบซองราคา 10 บาท
**2 ปีสอยบัลลังก์เรโซน่าขึ้นเบอร์2**
นางสาวศิริสุภา กล่าวว่า บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายวีไวต์รูปแบบสติ๊ก ส่งผลให้กลายเป็นแบรนด์ที่มีสินค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยแผนการตลาดบริษัทจะมุ่งเน้นกลยุทธ์ราคา โดยจำหน่ายในราคาถูกกว่าสินค้าคู่แข่ง 25% ในขนาด 10 กรัม จากราคา 20 บาท เหลือ 15 บาท ในช่วงแนะนำสินค้าเมื่อเทียบกับเรโซน่า ราคา 20 บาท นอกจากนี้ยังเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ถึง 3 ขนาด ได้แก่ 10 กรัม 20 กรัม และ 40 กรัม
พร้อมกันนี้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ ชมพู-อารยา เอ ฮาร์เก็ต เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ขณะเดียวกันยังส่งสูตรใหม่ วีไวต์ ไวท์เทนนิ่ง ไวท์แอนด์ดราย 4 IN 1 ในทุกเซกเมนต์ ได้แก่ โรลออน สเปรย์ และสติ๊ก และปิดช่องทางด้วยการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วโรลออน และจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่า 10% เพื่อชนกับคู่แข่งนีเวีย อีกทั้งยังเป็นเป็นบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายดีในห้างสรรพสินค้า
แนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายมูลค่า 1,535 ล้านบาท ปีนี้เติบโต 11% แบ่งเป็น โรลออน มูลค่า 1,011 ล้านบาท โต 4% สติ๊ก มูลค่า 441 ล้านบาท โต 93% มาจากการผลักดันตลาดของเรโซน่า และสเปรย์ มูลค่า 82 ล้านบาท ไม่เติบโต
สำหรับเป้าหมายของการทำตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายต้องการให้วีไวต์ขึ้นเป็นอันดับ 2 แทนที่เรโซน่าซึ่งมีส่วนแบ่ง 33% ด้วยการครองส่วนแบ่งกว่า 20% ในปี 2552 จากปัจจุบันมี 9% ส่วนผู้นำตลาดนีเวีย 39% ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจเพราะจากการวางโพซิชันนิ่งในความเป็นธรรมชาติและจุดขายความขาว ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งทั้ง 2 แบรนด์วางโพซิชันนิงเป็นด้านวิทยาศาสตร์ แห้งเร็วและความขาว
นางสาวศิริสุภา กล่าวต่อว่า จากการรุกตลาดอย่างหนักในปีนี้ตั้งเป้าจะขึ้นเป็นอันดับ 2 ของทุกเซกเมนต์ของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นด้วยการเติบโต 40% ได้แก่ โรลออนเพิ่มส่วนแบ่งจาก 8 เป็น 12% แทนที่เรโซน่ามีส่วนแบ่ง 10.6% นีเวีย 49.9% จากมูลค่า 1,011 ล้านบาท และเซกเมนต์สติ๊กปีแรกตั้งเป้า มีส่วนแบ่ง 15% แทนที่นีเวียมีส่วนแบ่ง 7.4% ส่วนเรโซน่า 91% ส่วนทั้งปีตั้งเป้าส่วนแบ่งเพิ่มจาก 9% เป็น 15% สำหรับผลประกอบการโดยรวมครึ่งปีแรกเติบโต 3% โดยกลุ่มวีไวต์คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 12% จากรายได้รวม